ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 668 แม้ใต้เท้าอายุยังน้อย แต่ก็ผ่านอะไรมามาก
บทที่ 668 แม้ใต้เท้าอายุยังน้อย แต่ก็ผ่านอะไรมามาก
ตัวตนของหญิงสาวที่ท่วงท่าองอาจผู้นี้ ก็คือเพื่อนบ้านของสวี่ชิงในตำหนักขบถจันทร์นั่นเอง
รูปสลักในตำหนักขบถจันทร์ ไม่ได้ปกปิดเพียงหน้าตา แต่ยังรวมถึงเพศอีกด้วย
การต่อต้านที่ปะทุขึ้นก่อนหน้านี้ ไม่มีใครรู้ว่าในรูปสลักชายกำยำเปลือยครึ่งท่อนผู้นั้น จริงๆ แล้วเป็นสตรี
และนิสัยของสตรีผู้นี้ก็แทบไม่แตกต่างกับบุรุษ มองจากคำพูดที่องอาจของนางออกได้
ในฐานะที่นางเป็นผู้ติดตามแรกเริ่มของปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า และยังได้สดับฟังท่วงทำนองเต๋ามาถึงสองเดือน ประกอบกับที่เป็นผู้ริเริ่มสร้างกลุ่มผู้ติดตามขึ้นมา คุณสมบัติและประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้เพื่อนบ้านสวี่ชิงผู้นี้มีชื่อเสียงมาก
โดยเฉพาะที่หญิงสาวคนนี้ค่อนข้างมีฝีมือในการตั้งกลุ่ม จึงกลายเป็นกลุ่มที่มีผู้ติดตามนับพันคนได้เช่นนี้
และส่วนเหล่านี้ก็เป็นแค่แกนนำ ยังมีผู้ติดตามอีกมากที่กระจายอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ส่วนผู้บำเพ็ญที่รู้จักและเชื่อมั่นลูกกลอนเก้ายังมีมากกว่านี้
ตอนนี้ ขณะที่คนเหล่านี้กับเหล่าใต้บังคับบัญชาของรองเจ้าตำหนักสี่เข้าใกล้ทะเลทรายคราม บรรพจารย์โม่กุยก็ขอเข้าพบสวี่ชิง
แม้พวกรัฐทายาทจะจากไป แต่อำนาจควบคุมก็อยู่ที่สวี่ชิง ส่วนบรรพจารย์โม่กุยในฐานะที่เป็นพนักงานของร้านยา ไม่ว่าจะพิจารณาด้านใด ก็ไม่กล้าประมาทอย่างเปิดเผย
ทว่าในใจ จะมากน้อยก็ยังไม่ยอมรับอยู่บ้าง
นี่ไม่ใช่เพราะฐานะของสวี่ชิง แต่เป็นเพราะอายุของสวี่ชิง
สำหรับบรรพจารย์โม่กุย การจัดการเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนเดียวจะทำได้
“นายน้อย ครั้งนี้ค่อนข้างแตกต่างกับก่อนหน้านี้ขอรับ”
ในร้านยา บรรพจารย์โม่กุยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยกับสวี่ชิง
“ครั้งที่แล้วพวกรัฐทายาทคอยควบคุม ดังนั้นพวกเราจึงเปิดการป้องกัน แล้วให้พวกรองเจ้าตำหนักสี่เข้ามาได้ แต่ตอนนี้…” บรรพจารย์โม่กุยมองไปทางสวี่ชิง
“และด้านหลังรองเจ้าตำหนักสี่ กองทัพใหญ่พระจันทร์สีชาดก็กำลังไล่ตามมา ดังนั้นข้าแนะนำว่า ครั้งนี้จะเปิดสายลมป้องกันสีเทาไม่ได้”
ในร้านยา เนื่องจากคำพูดของบรรพจารย์โม่กุย บรรยากาศจึงเปลี่ยนเป็นตึงเครียด หนิงเหยียนเลิกถูพื้น อู๋เจี้ยนอูก็เลิกร่ายกลอน หลี่โหยวเฝ่ยรวมถึงโยวจิงล้วนมองมาทางสวี่ชิง
ในบรรดานี้มีเพียงหลี่โหยวเฝ่ยที่กระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนิงเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม เขาตอนอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทรเดิมทีก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสวี่ชิง รับรู้เรื่องที่สวี่ชิงเคยประสบมาฉากแล้วฉากเล่า ยิ่งเคยเห็นสวี่ชิงสร้างคุณูปการครั้งใหญ่รวมถึงสั่นสะเทือนเผ่าขั้วอำนาจต่างๆ ในเขตปกครองผนึกสมุทรมากับตา
ดังนั้นเขารู้ดีว่าการจัดการเรื่องพวกนี้ สวี่ชิงมีประสบการณ์และมีทักษะ
แม้อู๋เจี้ยนอูจะไม่รู้รายละเอียดเช่นหนิงเหยียน แต่เขาก็เคยได้ยินมา ส่วนโยวจิง ตอนนั้นนางเห็นสวี่ชิงในสนามรบมากับตา จากนั้นก็ยังได้ยินเรื่องการเปลี่ยนแปลงปลัดเขตปกครองผนึกสมุทร จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น
แต่ปรมาจารย์โม่กุยนั้นไม่รู้ เมื่อพูดจบ เขาก็มองสวี่ชิงแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“โปรดนายน้อยตัดสินใจด้วย!”
สีหน้าปรมาจารย์โม่กุยเคร่งขรึม เพราะสถานการณ์โลกภายนอกมาถึงช่วงสำคัญแล้วจริงๆ แต่หากปิดการป้องกัน ความปลอดภัยของทะเลทรายก็จะมีความเสี่ยงที่จะถูกสั่นคลอนทันที
ในสายตาทุกคน สวี่ชิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่รัฐทายาทเคยนั่ง หลับตาลงครุ่นคิด
หลิงเอ๋อร์ทราบดีว่าสถานการณ์วิกฤต จึงยืนอยู่ด้านหลังสวี่ชิงอย่างเชื่อฟัง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป สวี่ชิงไม่พูดอะไร รัศมีอำนาจไร้รูปร่างวูบหนึ่ง ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนตัวเขา
เขาในตอนนี้ ประหนึ่งกลับไปเมื่อครั้งเขตปกครองผนึกสมุทร ควบคุมวังครองกระบี่แทนเจ้าวังคนเก่า ไม้ตายที่เขามีในตอนนั้น น้อยกว่าตอนนี้มากถึงมากที่สุด แต่เขาก็ยังอยู่ในระดับที่พลิกฟ้าพลิกดินได้เช่นกัน
“กำลังทหารของพวกเราตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชิงลืมตา ถามขึ้นอย่างสงบ
“เดิมทีทั้งทะเลทรายพลังก็อ่อนแอมากอยู่แล้ว แม้จะมีสายลมสีเทาปรากฏขึ้นเป็นเกราะป้องกัน แต่ยังไม่แข็งแกร่ง นับข้าด้วยทั้งทะเลทรายมีหวนสู่อนัตตาอยู่เพียงสามคน
“ส่วนสมบัติวิญญาณมีเก้าคน รวมเผ่าคุ้มครองวายุแล้ว
“ปราณก่อกำเนิดอีกร้อยกว่าคน ที่เหลือล้วนเป็นผู้บำเพ็ญระดับต่ำ
“ไม่นับร้านยาของพวกเรา”
บรรพจารย์โม่กุยรู้สึกแปลกใจกับความสงบนิ่งของสวี่ชิง แต่ก็เอ่ยเตือนเล็กน้อย
“พลังเหล่านี้ เทียบกับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดแล้วไม่มีค่าให้กล่าวถึง เว้นเสียแต่รัฐทายาทจะกลับมา…ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจต้านทานไหว”
บรรพจารย์โม่กุยกำลังจะพูดต่อ แต่จู่ๆ ก็ล้วงแผ่นหยกออกมา ก้มหน้าอ่าน สีหน้าฉายแววเกินคาด
“นายน้อย ข้าเพิ่งได้รับแจ้งว่ากองทัพของรองเจ้าตำหนักสี่เปลี่ยนทิศทางแล้ว พวกเขาไม่ได้มาหาพวกเรา แต่ตรงไปทางอื่นด้านนอกอาณาเขตทะเลทราย กำลังไกลออกไป คล้ายจะหาที่อื่นเปิดศึกเป็นตายกับกองทัพพระจันทร์สีชาดที่ไล่ตามมา
“คงเพราะไม่อยากให้พวกเราลำบาก…”
โม่กุยเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน และจนใจ
สวี่ชิงพยักหน้า หยิบจอกชาขึ้น ไม่ได้ดื่ม แต่วางไว้ในมือ จ้องเพ่งน้ำชาด้านใน เขาคล้ายเห็นร่างที่อยู่ในส่วนลึกของความทรงจำจากในน้ำชานี้เลาๆ
ตอนนั้น คนผู้นั้นยืนอยู่ที่ชายแดนเขตปกครองผนึกสมุทร แผดเผาตัวเอง ต้านทานกองทัพศัตรูด้วยตัวคนเดียวจนกลายเป็นความนิรันดร์กาล
ตอนนั้น สวี่ชิงใจสั่นสะท้านและเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่เขาก็ไร้กำลัง ไม่มีวิธีใดที่จะช่วยได้แม้แต่น้อย
บัดนี้…เขาเห็นคนคนเดียวกัน
ครู่ต่อมาก็เอ่ยขึ้นอย่างสงบ
“หนึ่ง นำผู้บำเพ็ญทะเลทรายทั้งหมดมารวมกันที่เทือกเขาทนทุกข์ ใช้ที่นี่เป็นศูนย์กลาง ไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามออกไปด้านนอกโดยเด็ดขาด”
“สอง แจ้งรองเจ้าตำหนักสี่ว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทาง ให้มาที่ทะเลทราย”
สวี่ชิงพูดพลางลุกขึ้นยืน
บรรพจารย์โม่กุยฟังถึงตรงนี้ ก็ค่อนข้างลังเล
สวี่ชิงเงยหน้ามองโม่กุย สีหน้าเรียบเฉย เอ่ยขึ้นช้าๆ
“ดาวพระจันทร์สีชาดลอยอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว ห่างจากช่วงมหันตภัยมาเยือนไม่กี่เดือน หากไม่สนใจรองเจ้าตำหนักสี่ที่ต้องปะทะกับผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาด การขบถจันทร์นี้ก็ไร้ความหมาย
“ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่คนของรองเจ้าตำหนักสี่ถูกจับกุมถูกสังหาร ตำหนักพระจันทร์สีชาดจะปล่อยทะเลทรายใกล้ๆ ไปหรือ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมาย หรือจะเป็นเหตุผลในการพึ่งพาอาศัยกันและกัน พวกเรา…ล้วนจำเป็นต้องลงมือ
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องหารืออีก!
“หนิงเหยียน!”
“ขอรับ!” หนิงเหยียนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ก้าวไปด้านหน้า ราวกับกลับไปที่เขตปกครองผนึกสมุทร ยืนอย่างองอาจผึ่งผาย
“เจ้าไปเป็นอาลักษณ์ ติดตามผู้อาวุโสโม่กุย คอยประกาศถ้อยคำของข้า”
“รับทราบ!” หนิงเหยียนขานรับเสียงดัง
“อู๋เจี้ยนอู!”
“ขอรับ!” อู๋เจี้ยนอูถูกบรรยากาศพาไป รีบร้อนตอบกลับ
“ปล่อยทายาททั้งหมดของเจ้าออกมา โดยเฉพาะเจ้านกแก้ว แยกย้ายไปลาดตระเวนทั่วทะเลทราย!”
อู๋เจี้ยนอูไม่กล้าไม่ทำตาม รีบร้อนพยักหน้า
“โยวจิง!”
โยวจิงนิ่งเงียบ แต่ก็เงยหน้ามองสวี่ชิง
“ช่วยข้าคุ้มครองหลิงเอ๋อร์ ปกป้องร้านยา หลี่โหยวโฝ่ยคอยติดตาม”
“ได้” โยวจิงยอมรับ หลี่โหยวเฝ่ยเองก็รีบพยักหน้า เขาสัมผัสได้ว่าสวี่ชิงเวลานี้ แตกต่างกับก่อนหน้านี้
เมื่อสวี่ชิงแจกแจงเสร็จ ก็ล้วงแผ่นหยกอีกแผ่นออกมา ยื่นให้หลิงเอ๋อร์
“ตอนที่ท้องฟ้าด้านนอกมีแท่นประหารเทพเจ้าปรากฏขึ้นมา ก็บีบแผ่นหยกนี้เสีย!”
พูดจบ สวี่ชิงก็สาวเท้าเดินออกจากร้านยา เมื่อโบกมือกลุ่มลูกเจี๊ยบที่ลานด้านหลังก็ส่งเสียงร้อง กรูออกมาพร้อมกัน แต่ละตัวมีเปล่งแสงวูบวาบ ทยอยเปลี่ยนจากลูกเจี๊ยบกลายเป็นไก่ตัวใหญ่
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่ได้ความดีความชอบไปหลายตัวเหล่านั้น ขนเงางามอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าได้รับการเลื่อนขั้นจากความดีความชอบไม่น้อย กระทั่งมองเห็นร่างจริงที่อยู่ใต้ขน
ถ้ายังสร้างคุณูปการอีกหน่อย พวกเขาก็จะได้รับพรกลับคืนร่างเดิม และจะมีอิสระในระดับหนึ่ง
ปรมาจารย์โม่กุยเห็นภาพนี้ก็ใจสั่นเล็กน้อย เขามองออกว่าสวี่ชิงจะพาลูกเจี๊ยบกลุ่มนี้ออกไปรับด้วยตนเอง
“นี่…”
แม้โม่กุยจะยอมรับวิธีของสวี่ชิง แต่ก็ค่อนข้างลังเล จึงมองไปทางหนิงเหยียนด้วยสัญชาตญาณ สำหรับผู้บำเพ็ญระดับต่ำเหล่านี้ เขาไม่สนใจ แต่ตอนนี้ไม่มีผู้อื่นให้ถามแล้ว
“นายน้อยทางนั้น…”
“วางใจเถอะ เรื่องนี้สำหรับใต้เท้าของข้าไม่นับเป็นอันใด ตอนนั้นที่เขตปกครองผนึกสมุทร ใต้เท้าก็คลี่คลายความวุ่นวายของแดนต้องห้ามสองแห่งเพียงลำพัง รวมทหารสิบล้านไปที่แนวหน้า อย่าว่าแต่หวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งเลย ขั้นสอง ขั้นสามล้วนมีทั้งสิ้น มีเผ่าใดบ้างที่ไม่ศิโรราบให้”
หนิงเหยียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“สุดท้ายยิ่งเปิดโปงการเปลี่ยนแปลงของปลัดเขตปกครอง คืนท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพให้เขตปกครอง จักรพรรดิมนุษย์ยังมีราชโองการยอมรับ ยกตำแหน่งเจ้าเขตปกครองในอนาคตให้ เพราะในเขตปกครองสมุทร ใต้เท้าของข้า ทุกคนล้วนให้ความสำคัญ เหล่าประชาชนล้วนสนับสนุน”
โม่กุยได้ยินม่านตาก็หดเล็กลง ใจสั่นสะท้าน เขามองออกว่าหนิงเหยียนไม่ได้พูดโกหก แต่คำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยคนี้ กลับทำให้ในใจเขาโหมคลื่นลูกมหึมา
‘คลี่คลายอันตรายจากแดนต้องห้าม รวมทหารสิบล้าน? เจ้าเขตปกครองหรือ’
และในขณะที่เขาสั่นสะเทือนตรงนี้ บนท้องฟ้าเหนือทะเลทราย สวี่ชิงยืนอยู่บนหัวของไก่ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง กำลังพุ่งหวีดหวิวไปเบื้องหน้า
ขณะที่พุ่งไป ดวงตาเขาก็กลายเป็นสีดำสนิท พลังพิษต้องห้ามแผ่ขยายในครรลองสายตาสุดกำลัง ประกอบกับลมพายุ เพียงไม่นานสายลมสีเทารอบด้านก็กลายเป็นสีดำ ปกคลุมไปทั่วสารทิศ น่าสยดสยอง
ด้านในพิษพวยพุ่ง ทำให้ลูกเจี๊ยบเหล่านั้นพากันหวาดผวา
มีเพียงสวี่ชิงที่สีหน้าไร้อารมณ์ ระหว่างที่พุ่งไปนี้ หลังจากพลังพิษต้องห้ามไปถึงขีดสุด เขาก็มาถึงชายแดนทะเลทราย
ที่นี่ จากการโบกมือของสวี่ชิง ลมทรายตรงหน้าเขาก็ครืนครันแยกออกไปทั้งสองฝั่ง
เสียงดังสนั่นเลื่อนลั่น กึกก้องไปทั่วสารทิศ
มองไกลๆ ขณะที่ลมทรายแหวกออกจนกลายเป็นหุบเขา เผยให้เห็นเส้นทางที่กว้างใหญ่เส้นหนึ่ง และด้านนอกนั้น ก็เห็นกองทัพของรองเจ้าตำหนักสี่และผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่ไล่ตามมาที่ขอบฟ้า กำลังเปิดฉากสังหารกัน
และที่ดังกระจายออกไปรวมถึงการกลายพันธุ์นี้ ก็ดึงดูดความสนใจของโลกภายนอกทั้งสองฝ่าย พวกเขาส่วนใหญ่มองมาทางสวี่ชิงในพริบตา
ในกลุ่มคน ผู้ติดตามปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า ก็มองมาเช่นกัน
พริบตาที่ทุกสายตาจับจ้องมา สวี่ชิงก็ยกมือขวาขึ้นในร่องแยกลมทรายชายแดนทะเลทรายนี้ ชี้ไปด้านหน้า เปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา
“พิษ!”
เมื่อกล่าวออกมา สายลมพิษต้องห้ามรอบตัวเขาก็พลันปะทุขึ้น พุ่งหวีดหวิวไปเบื้องหน้า รัศมีอำนาจท่วมฟ้า หมอกสีดำกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ทุกจุดที่พัดผ่านไอพลังประหลาดเข้มข้น สลัวเลือนไปหมด เกิดความรู้สึกบิดเบี้ยวขึ้นมา
ขณะที่พัดโหม สรรพสิ่งก็ยากจะหลบเลี่ยงพิษต้องห้าม พัดกลืนกองทัพพระจันทร์สีชาด
มองไกลๆ หมอกพิษนี้ราวกับมหาสมุทร แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนที่เห็นใจครืนครัน รู้สึกพรั่นพรึงขึ้นมา
แม้แต่พื้นดินยังถูกกัดกร่อนกลายเป็นสีดำสนิท กระทั่งสีเลือดบนท้องฟ้ายังไม่อาจลอดผ่านหมอกพิษผืนนี้เข้ามาได้ และความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้ามันยิ่งปริแตก
หลังจากที่สวี่ชิงผสานพิษต้องห้ามกับดวงตา บัดนี้นับว่าเป็นการปะทุออกมาอย่างแท้จริงครั้งแรก
และสวี่ชิงที่อยู่ในพิษต้องห้าม เขาสีหน้าไร้อารมณ์ มองทุกอย่างอย่างเย็นชา ความเป็นเทพในร่างกายเหมือนจะปะทุขึ้นมาในเสี้ยวขณะนี้
“ผู้บำเพ็ญเทพเจ้า!”
ในกลุ่มคน ไม่รู้ว่าใครที่อุทานอย่างสั่นเทาออกมา