ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 670 เทพเจ้าลงมาเยือนสู่ทะเลทราย
บทที่ 670 เทพเจ้าลงมาเยือนสู่ทะเลทราย
สุดท้ายสวี่ชิงก็จากไป
เขาไม่ได้แสดงตัวว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า แต่ในใจก็อดรู้สึกอยากดูแลผู้ติดตามของตัวเองเหล่านี้ขึ้นมาไม่ได้
อย่างไรเสียพวกเขาเดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาที่นี่ อีกทั้งยังติดตามสรรเสริญปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าเป็นอย่างยิ่ง…ส่วนชื่อเสียงของลูกกลอนเก้าเหตุที่ยิ่งระบือเลื่องลือในตำหนักขบถจันทร์ ก็เกี่ยวพันกับการการป่าวประกาศบอกเล่าของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ดังนั้น ก่อนจาก สวี่ชิงได้ทิ้งเนตรเงาไว้ในเงาของหญิงสาวคนนั้น
เช่นนั้นหากพวกเขาเจอกับอันตรายอะไร สวี่ชิงก็สามารถรู้ในทันที และไปช่วยได้
และการเตือนของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้พูดเฉยๆ ความจริงในช่วงหลายวันนี้ จากการพ่ายแพ้ถี่ขึ้นของกองทัพต่อต้านข้างนอก สถานการณ์โดยรวมก็นับว่าตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกำราบเอาไว้ได้แล้ว
ขั้วอำนาจต่อต้านที่ถูกตีแตกพ่ายเหล่านั้น ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดก็ไม่ได้สนใจเท่าไร อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญบางส่วนในตำหนักเทพพระพระจันทร์สีชาดก็หวังว่าจำนวนของสิ่งมีชีวิตที่จะถูกสังเวยนั้นเหลือมากสักหน่อยเป็นการดี
แต่ว่าจากการแตกพ่ายของกองทัพต่อต้านโลกภายนอก ทะเลทรายที่นี่ก็ย่อมเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะการมาถึงของรองเจ้าตำหนักที่สี่นำคนมาด้วย ยิ่งทำให้ที่นี่เปลี่ยนมาสะดุดตา
กระทั่งว่าสวี่ชิงได้รับรายงานจากอู๋เจี้ยนอู ลูกๆ ที่เขาจัดให้เป็นหน่วยสอดแนมอยู่ข้างนอก พบว่าช่วงนี้มักมีผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดลองบุกเข้ามาในทะเลทรายเป็นประจำ
แม้จะมีพายุขวางกั้น พื้นที่ที่เข้ามาได้มีจำกัด แต่จากการสอดแนมของนกแก้ว นอกทะเลทราย…ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดจำนวนมหาศาลกำลังรวมตัวกัน
แต่ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดเหล่านี้ไม่ได้บุ่มบ่าม พวกเขากำลังรอ
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนต่างตื่นตัวระมัดระวังมากขึ้น และการรอคอยของผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาด หลังจากผ่านไปเจ็ดแปดวัน คนที่พวกเขารอคอยก็มาถึง
คนผู้นี้เป็นชายชรา สวมชุดคลุมยาวสีแดงชาด สวมกวานจักรพรรดิ เป็นจักรพรรดิตำหนักระดับเตรียมสู่เทวะของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดนั่นเอง
นั่นเป็นเงาพระจันทร์สีชาด หลังจากที่ปรากฏบนท้องฟ้าก็ทำให้ทะเลทรายทั้งผืนเกิดปฏิกิริยาน้ำขึ้นน้ำลง
เพียงพริบตา ลมพายุในทะเลทรายก็ถูกรบกวน ภูเขาแต่ละแห่งๆ พังทลาย เม็ดทรายนับไม่ถ้วนหอบม้วนตลบ ยิ่งมีเสียงระเบิดสะท้านฟ้าดินดังกึกก้อง
ทันทีที่ดังไปในจิตใจของคนทั้งหลายในเทือกเขาทนทุกข์ ดาวพระจันทร์สีชาดบนท้องฟ้า แสงจันทร์ที่สาดส่องแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดงนับไม่ถ้วน ฟาดลงมาจากท้องฟ้าโจมตีมายังทะเลทราย
ทั้งทะเลทรายสั่นสะเทือน ลมพายุเกิดสัญญาณถูกฉีกทึ้ง พลังพระจันทร์สีชาดในพริบตานี้เริ่มรุกรานทะเลทราย
การรุกรานนี้แข็งแกร่งทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ทุกที่ที่ผ่าน เม็ดทรายแหลกสลาย กลายเป็นดินสีชาด
ในขณะเดียวกัน ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดทุกคนก็ต่างอยู่ท่ามกลางการเพิ่มพลังจากมัน ทั่วทั้งร่างแสงสีเลือดกะพริบวาบ คำอวยพรชื่อหมู่ปะทุขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายก็ฝ่าลมพายุก้าวไปในทะเลทราย ตรงไปยังเทือกเขาทนทุกข์ ล้อมเอาไว้ ประชิดเข้าไปทีละก้าวๆ
ทุกที่ที่ผ่าน ท้องฟ้าแดงฉาน ผืนดินอาบย้อมด้วยเลือด
และลมพายุภายใต้พลังอำนาจเทพนี้ ก็ค่อยๆ ถูกย่อส่วนลง พื้นที่เล็กลงเรื่อยๆ
ดีที่พายุนี้แปลงมาจากผมของเทพเจ้า คิดจะเมินเฉยโดยสมบูรณ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นการย่างก้าวเข้ามาของผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดก็ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ในพริบตา
คิดจะเข้าประชิดเทือกเขาทนทุกข์ ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่ง
แต่ความรู้สึกบีบคั้นรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นภูเขาลูกยักษ์ไร้รูปร่างกดทับมาในใจของผู้บำเพ็ญเทือกเขาทนทุกข์ หนักอึ้ง ทำให้ทุกคนหายใจไม่ค่อยจะออก
เพียงพริบตา ทุกคนอยู่ในอันตราย ความกระวนกระวายและร้อนรนผุดขึ้นมาไม่หยุด
ดังนั้นความเงียบงันกระจายไปในเทือกเขาทนทุกข์ และส่งผลกระทบมายังร้านยาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นหนิงเหยียนหรืออู๋เจี้ยนอู หรือจะเป็นหลี่โหย่วเฝ่ย ต่างร้อนรุ่มกลุ้มใจ ขนาดโยวจิงก็ยังเป็นเช่นนี้
ลูกเจี๊ยบลานด้านหลังก็เช่นกัน
มีเพียงสวี่ชิงเท่านั้นที่อารมณ์ของเขาไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้มาถึงช่วงเวลาสำคัญ ในสมองก็กำลังจัดระเบียบเรื่องนี้อยู่
“แล้วก็ยังมีอีกอย่างคือ…เปิดประตูโถงตำหนักสูงสุดตำหนักขบถจันทร์ เป็นนายแห่งตำหนักขบถจันทร์!’
สวี่ชิงดวงตาฉายประกายวาว เขาจำรูปสลักเทพเจ้าที่ถูกผนึกใต้ทะเลสาบกระจกที่วิญญาณศัสตราตำหนักขบถจันทร์อยู่ได้มาโดยตลอด รูปสลักเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญที่เข้ารับการทดสอบเป็นเจ้าตำหนักนับตั้งแต่การมาเยือนของพระจันทร์สีชาดครั้งที่แล้วจนถึงตอนนี้
ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา ส่วนผู้แข็งแกร่งระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสี่เหมือนกับรองเจ้าตำหนักสี่ก็มีอยู่หลายคน
พลังกลุ่มนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากปรากฏในทะเลทราย ก็จะมีส่วนช่วยคลี่คลายวิกฤตในทะเลทรายเป็นอย่างมาก
หากอยากปลดปล่อยพวกเขาก็ต้องเป็นนายแห่งตำหนักขบถจันทร์
และพลังของเจ้าตำหนักขบถจันทร์ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น จากการที่สวี่ชิงพูดคุยและเพียรพยายามในช่วงนี้ พวกเขาก็เดาออกว่า ทันทีที่กลายเป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์ เช่นนั้นก็จะทำให้ตำหนักขบถจันทร์เป็นของจริงจากภาพมายาได้
ถึงตอนนั้นตำหนักขบถจันทร์…ก็จะไม่ใช่ตำหนักขบถจันทร์อีกต่อไป แต่จะเป็นของล้ำค่าของเจ้าเหนือหัว!
ความยิ่งใหญ่ของพลานุภาพสามารถสั่นคลอนแผ่นดินใหญ่ได้
‘นั่นคือสมบัติแดนสงคราม!
‘นอกจากนี้ หากเป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์ก็จะครองอำนาจสูงสุด สามารถคลายผนึกของรองเจ้าตำหนักหนึ่งได้ทันที ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์เหมือนกับแต่ก่อน ร่างจริงสามารถเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ ฟื้นฟูความคล่องตัว หลบหลีกการไล่ล่าสังหารได้
‘ดังนั้น รัฐทายาทจะกลับมาหรือไม่ เรื่องนี้ไม่อาจควบคุมได้ แต่เจ้าตำหนักขบถจันทร์…หากได้มา ทุกอย่างก็จะคลี่คลายได้!’
สวี่ชิงดวงตาล้ำลึก นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่เดิมรัฐทายาทนั่ง วิเคราะห์ทุกอย่างในใจ
และหลังจากที่เผชิญกับเรื่องราวชุดนี้กับนายกอง ในใจของเขารู้ถึงแผนการจัดของนายกองเป็นอย่างดี
‘เป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์ รวมกับร่างชาติก่อนของศิษย์พี่และพี่น้องของรัฐทายาท รวมพลังของคนทั้งหลายทั้งแผ่นดินใหญ่ ผู้บำเพ็ญทั้งหมด ก่อนดาวพระจันทร์สีชาดมาเยือน กำราบตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก่อน ทำแผนการขั้นแรกในการจัดการชื่อหมู่ให้สำเร็จ’
สวี่ชิงเงยหน้า ความสงบนิ่งของเขาทำให้ทุกคนในร้านยาคล้อยตามไปด้วย ไม่นานนัก หลังจากที่ในใจพวกหนิงเหยียนสงบลง สวี่ชิงก็เอาเลือดบุตรเทวะที่รวมมาใหม่จากในเศษชิ้นส่วนโลกออกมา ก้าวไปในตำหนักโถงสูงสุดตำหนักขบถจันทร์ รีบทำการทำลายสัญลักษณ์ชื่อหมู่ที่ประตูกับนายกอง
ในตำหนักขบถจันทร์ ความครึกครื้นโหวกเหวกตอนนี้หายไปหมดแล้ว ภายใต้ผนึกของพวกรองเจ้าตำหนักหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญคนใดเข้ามาได้เลย
บนยอดเขาตำหนักขบถจันทร์ที่ไร้ผู้คน ศาลเจ้าทั้งหมดล้วนปิดประตูสนิท แสงตะเกียงในนั้นมืดดับ ไม่มีควันธูปแม้แต่น้อย
มีเพียงตำหนักโถงสูงสุดที่อยู่ข้างบน เสียงระเบิดยิ่งรุนแรงขึ้น ราวอัสนีสวรรค์ ดังกึกก้องไปทั่ว
ประตูใหญ่ยิ่งสั่นสะเทือนไม่หยุด คล้ายว่าจะถูกเปิดออกได้ทุกเมื่อ ยิ่งมีแสงเป็นทางๆ สาดออกมาจากช่องประตู เกิดเป็นความศักดิ์สิทธิ์
บางครั้ง ขุนเขาตำหนักขบถจันทร์ทั้งลูกก็ได้รับอิทธิพลสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน เกิดระลอกคลื่นพลัง แผ่ไปรอบๆ ไม่หยุด ทำให้มิตินอกเขาซัดโหมเดือดพล่านอยู่ตลอด
เรื่องประตูสั่นสะเทือนแม้ในศักราชนี้จะเคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่เคยรุนแรงเช่นตอนนี้
แต่น่าเสียดาย ภาพนี้ไม่มีใครได้เห็น ไม่เช่นนั้นจะต้องน่าหวาดพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่งแน่นอน
และในตำหนักโถงสูงสุด สัญลักษณ์ชื่อหมู่บนประตูใหญ่รางเลือนไปแล้วกว่าครึ่ง
นี่เกี่ยวพันกับเลือดบุตรเทวะ พวกมันเป็นสิ่งสำคัญในการลบภาพ ขณะเดียวกันก็เกี่ยวพันกับความพยายามของนายกองเป็นอย่างมาก
‘อาชิงน้อย อย่างมากห้าวัน พวกเราก็จะสามารถลบสัญลักษณ์นี้ได้โดยสมบูรณ์แล้ว’
ทันทีที่สวี่ชิงเข้ามา ในประตูก็มีเสียงตื่นเต้นฮึกเหิมของนายกองดังมา ช่วงนี้เขาทุ่มทุกอย่าง สวี่ชิงก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนวิ่งแข่งกับเวลา
‘ถึงตอนนั้น พวกเราก็จะเป็นนายแห่งตำหนักขบถจันทร์!’
สวี่ชิงพยักหน้า เตรียมทำลายประตูที่นี่ร่วมกับนายกองอย่างสุดกำลัง
มองจากเวลาแล้ว ต่อให้ข้างนอกวิกฤตแค่ไหนก็เพียงพอ นอกเสียจากจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
และเหตุการณ์ไม่คาดฝันในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว
ในวันที่สามที่สวี่ชิงและนายกองทำลายประตู การล้อมจากผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็สำเร็จในขั้นแรก พื้นที่ทะเลทรายทั้งผืนถูกลดพื้นที่ลงไปกว่าครึ่ง
ทุกที่ที่ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดทั้งหมดเดินผ่าน แผ่นดินกลายเป็นสีเลือด ท้องฟ้าก็เช่นกัน
และในเวลานี้เอง จักรพรรดิตำหนักที่จัดการเรื่องทำลายล้างทะเลทรายครั้งนี้ เขาถือไม้คทาลอยขึ้นฟ้า อยู่ในฟ้าดิน แผ่กลิ่นอายท่วมฟ้าออกมา
บนพื้น ผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดทั้งหมดหมอบคารวะ ส่งเสียงสรรเสริญออกมา
แสงสีเลือดค่อยๆ ลอยขึ้น เข้มข้นจนกลายเป็นของเหลว หมุนวนเป็นคลื่นส่งเสียงครืนครันมา
หลังจากที่หมุนวนเป็นเก้าสิบเก้าวงจักรพรรดิตำหนักที่สวมชุดสีแดงนั่นก็ชูไม้คทาขึ้น
ท้องฟ้าของทะเลทรายส่งเสียงระเบิดสะท้านสะเทือน จากนั้นท้องฟ้าก็ซัดโหมหอบม้วน คล้ายว่ามีมือยักษ์ไร้รูปร่างคู่หนึ่ง ฉีกมันอย่างรุนแรง
เกิดรอยแยกขนาดยักษ์ยาวถึงหมื่นลี้
รอยแยกน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก ทันทีที่ปรากฏขึ้น เลือดสดๆ มหาศาลก็ไหลออกมาตามรอยแยก แปรเปลี่ยนเป็นฝนเลือด โปรยปรายไปทั่วทั้งทะเลทราย
ลมพายุที่ปกป้องเทือกเขาทนทุกข์ ภายใต้ฝนเลือดนี้ก็สลายไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า และที่น่าตกใจที่สุดคือ กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากในรอยแยกบนท้องฟ้า
กลิ่นอายนั่นน่ากลัวเหลือหลาย สั่นสะท้านไปทั่วสารทิศ สิ่งที่ได้รับผลกระทบไปด้วยไม่ใช่แค่ทะเลทราย แต่เป็นทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
เพียงพริบตา สรรพชีวิตในแผ่นดินใหญ่ต่างหวาดหวั่น วิญญาณและร่างสั่นสะท้าน
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะต้นกำเนิดของกลิ่นอายนี้เป็นหนังผืนหนึ่ง ค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละนิดๆ จากในรอยแยก
ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับม่านฟ้า บนนั้นจะเห็นเทือกเขาทอดตัวเป็นทิวแถว ตะวันจันทราดวงดาราประดับประดา ค่ายกลพันธนาการนับไม่ถ้วน กะพริบวูบวาบราวดวงดาวทั่วท้องฟ้า ยิ่งมีวิญญาณหมื่นเผ่าโหยหวนครวญครางอยู่ในนั้น เจ็บปวดทุกข์ทนเป็นอย่างยิ่ง
หนังผืนนี้แดงไปทั้งผืน ราวนรกสีแดง เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ คล้ายว่าความยุติธรรมและความชั่วช้า ความดีและความชั่ว เป็นและตายต่างสอดประสานอยู่ด้วยกัน เปลี่ยนเป็นความแปลกประหลาด
ท่ามกลางความรางเลือน ท้องฟ้าพร่าเลือน เหลือเพียงรอยแยกทางนี้ แผ่นดินยิ่งบิดม้วน
พลังอำนาจเทพท่วมท้นผืนฟ้า
ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดต่างหมอบเคารพอย่างคลั่งไคล้
และไม่นานนัก หนังผืนนี้ก็ม้วนช้าๆ สุดท้ายก็ม้วนเป็นรูปร่างมนุษย์ มีแขน มีร่าง…
สุดท้ายซากร่างไร้ศีรษะก็ค่อยๆ ลอยต่ำลง
ฝนเลือดกวาดโหมไปรอบๆ ไหลย้อนเป็นแม่น้ำ ล้อมรอบไปทั้งแปดทิศ คล้ายนรกมาปรากฏบนโลกมนุษย์
ยิ่งมีเสียงร้องครวญครางดังก้องมาจากซากร่างนี้ ทำให้คนจิตใจสั่นสะท้าน
ของชิ้นนี้ก็คือที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตำหนักเทพพระพระจันทร์สีชาด สามารถสยบระดับเตรียมสู่เทวะ สั่นคลอนพลังแฝงคำสาปเทวะของสรรพชีวิตทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ได้
ซากร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่!