ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 676 ด้านบนพระจันทร์สีม่วง
บทที่ 676 ด้านบนพระจันทร์สีม่วง
สวี่ชิงเวลานี้สภาพไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาไม่รู้ว่าร่างกายของตนตอนนี้เป็นกายเนื้อที่จำแลงมา หรือจิตวิญญาณหลุดออกจากร่าง
การตายสามครั้งก่อนหน้า ทำให้เขาเหมือนผ่านวัฏจักรนับครั้งไม่ถ้วน
ตอนนี้ความคิดค่อนข้างตื้นเขิน ความทรงจำมากมายล้วนอยู่ในความเลือนราง มีเพียงพิธีกรรมและบ้านที่อยู่ใต้เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะในตอนนั้นที่ชัดเจนอย่างยิ่ง
ในความคลุมเครือนี้ เสียงร้องงิ้วนั้นราวกับดังก้องอยู่ข้างหู
“ชาติก่อนไม่มา วนหาเกิดใหม่เสมอ ตัดขาดความเพ้อคะนึงวาดละอองฝุ่น…”
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น มองศิลาจารึกเบื้องหน้า จู่ๆ เขาก็เข้าใจชื่อพิธีที่ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวถึง
อาสัญสู่เทวา
นี่คือพิธีสำเร็จเทพ แต่ไม่ใช่เพียงหนึ่งเดียว
นี่เป็นตัวเลือกของชื่อหมู่ และเป็นตัวเลือกของหญิงสาวในอุโมงค์ภูตด้วย และฝ่ายหลัง…เห็นได้ชัดว่าทำพิธีนี้มานานแสนนานแล้ว
‘เทพเจ้าที่หลับใหลอยู่ในอุโมงค์ภูตคือเป้าหมายที่นางจะแย่งชิง นางอยากใช้องค์ท่านสำเร็จกายทิพย์เทพเจ้าของตัวเอง
‘ห้าธาตุในพิธีอาสัญสู่เทวานี้ แบ่งเป็นทองคือการคว้านท้อง ไม้คือการแขวนคอ น้ำคือจมน้ำ ไฟคือเผาไหม้ ดินคือฝังกลบ
‘เช่นนั้นข้าหลังจากนี้ก็คือดินกับไฟ’
สีหน้าสวี่ชิงแน่วแน่ ยกมือขึ้น เขียนชื่อตัวเองลงไปบนศิลาจารึกตรงหน้าต่อ
เขียนคำว่าสวี่เสร็จแล้ว ยังมีคำว่าชิงอีก
เขาสัมผัสได้ว่าชื่อบนศิลาจารึกนี้ไม่เกี่ยวกับลายมือ ต่อให้จะเขียนหวัด ก็ต้องผ่านบทลงโทษจากธาตุทั้งห้าเหมือนเดิม
หลังจากที่เขียนตัวอักษรทั้งสองเสร็จ ร่างของสวี่ชิงก็แตกสลายทันที รอบด้านมีดินมหาศาลปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ท่วมทับร่างของเขา ไม่อาจต้านทาน หลบเลี่ยงไม่ได้
ชั่วพริบตา ร่างเงาของสวี่ชิงหายไป แทนที่ด้วยสุสานเดียวดายแห่งหนึ่ง
สุสานนี้มีป้ายหลุมศพ แต่กลับไม่มีชื่อ
เห็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญในคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ แต่ละคนจับจ้องไม่วางตา ในใจเกิดระลอกคลื่น ภาพนี้สำหรับทุกคนแล้วเป็นภยันตรายร้ายแรง
พิธีเช่นนี้เหนือความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว มีเพียงรองเจ้าตำหนักสี่รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กี่คนของเขา ที่รู้เรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
‘ทัณฑ์เทพเจ้า!’ รองเจ้าตำหนักสี่สูดลมหายใจลึก แต่เขาไม่เข้าใจว่าต้นกำเนิดทุกอย่าง มีพิธีในตำนานนี้ปรากฏขึ้นได้อย่างไร
พวกหนิงเหยียนยิ่งเป็นเช่นนี้ หลิงเอ๋อร์ทนไม่ไหวอยากเดินไปหาหลายครั้ง แต่ถูกโยวจิงขวางไว้
ช่วงที่อยู่ในร้านยา โยวจิงมองหลิงเอ๋อร์เด็กสาวผู้นี้แตกต่างไปจากเดิม
ขณะที่ทุกคนสภาพจิตใจโหมซัด กลางอากาศด้านนอกศิลาจารึกสีทองนั่น ดินหลุมศพสั่นสะเทือน มือข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากด้านใน ค่อยๆ ปีนป่ายออกมา
ผู้ที่ปีนออกมาเป็นสวี่ชิงนั่นเอง ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ จากการที่สวี่ชิงปีนออกมา ลวดลายบนดินหลุมศพนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับสวี่ชิงกับหลุมศพนี้ไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน
ส่วนสวี่ชิงที่ปีนออกมา ร่างกายก็เลือนราง ราวกับจะจางหายไปได้ตลอดเวลา เขาเดินไปที่หน้าศิลาจารึกทีละก้าวด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
การตายนับครั้งไม่ถ้วนในจิตสำนึกนี้ ทำให้สวี่ชิงเหนื่อยล้าถึงขีดสุด ความทรงจำของเขาก็พร่าเลือน พลังชีวิตหม่นหมอง
ตอนนี้คล้ายเหลือเพียงสัญชาตญาณ ยกมือขึ้นด้านหน้าศิลาจารึกนั้น ค่อยๆ เขียนเส้นขีดที่เหลือขีดสุดท้าย
ยังไม่ได้จรดลงไป ทะเลเพลิงผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนร่างเขา ท่ามกลางการลุกไหม้อย่างรุนแรง ร่างกายของสวี่ชิงดำมะเมี่ยมไปทั้งตัว ค่อยๆ ล้มลงไปกลายเป็นซากศพซากหนึ่ง
นี่คือศพไหม้เกรียมจากห้าธาตุ!
บนศิลาจารึก คำว่าสวี่ชิง เหลือเพียงขีดสุดท้าย
ทิศทั้งห้ารอบๆ คราบร่างก่อนเป็นเทพแต่ละร่าง วิธีตายที่แตกต่างกัน ฉายความแปลกประหลาดออกมา ไม่ขยับเขยื้อน
จนพริบตาต่อมา ดวงตานายกองทางนั้นเปล่งประกาย ขณะที่ยกสองมือขึ้น คทาเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือ ชี้ไปยังคราบร่างก่อนเป็นเทพทั้งห้าร่างใต้ศิลาจารึก ร่ายบทสวดออกมา
“พระบัญชาเทพเทวา เหนือกว่าจิตวิญญาณมนุษย์อย่างเจ้า คราบร่างก่อนเป็นเทพฟื้นคืน ภูตผีวิญญาณทุกตน ห้าชีวันได้รับพระเมตตา”
จากเสียงร่ายบทสวดที่สะท้อนก้อง นายกองเดินไปใกล้ศิลาจารึก อ้อมคราบร่างก่อนเป็นเทพทั้งห้าของสวี่ชิง เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฟ้าดินผืนนี้เปลี่ยนสี ลมโหมเมฆทะลัก
“ผู้จมน้ำก้าวข้ามผ่าน ผู้คว้านท้องลอยเลื่อน ผู้แขวนคอคลี่คลาย ผู้ฝังกลบหลุดพ้น ผู้ไหม้เกรียมรอดชีวิต”
เสี้ยวขณะนี้ เหมือนความเป็นตายกำลังถูกหมุนย้อนกลับ กระทั่งม่านฟ้าคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ก็ส่งเสียงครืนครัน ลมฝนอัสนี ตะวันจันทราดวงดารา ยิ่งกระตุ้นเสียงพึมพำดังไปรอบๆ ราวกับเทพเจ้าคำรามต่ำ
คราบร่างก่อนเป็นเทพห้าร่างของสวี่ชิงสั่นเทิ้ม คล้ายมีพลังแปลกประหลาดวูบหนึ่งฟื้นตื่นขึ้นในศพของพวกเขาเลาๆ
ส่วนนายกองก็เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแทบมองไม่เห็นร่างเงาของเขา เหลือเพียงเงาคงค้างเวียนรอบศิลาจารึกรวมถึงคราบร่างก่อนเป็นเทพของสวี่ชิง เดินวนเป็นรอบๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงคำรามต่ำ ราวกับทัณฑ์สวรรค์กัมปนาท
“ราชโองการช่วยราษฎร เร่งร้อนให้กลับมากำเนิด ปลดเปลื้องทะเลแห่งทุกข์ทน หวนมาอีกชาติภพ”
พริบตาที่กล่าวจบ ร่างของนายกองก็ไปหยุดอยู่ด้านหลังคราบร่างก่อนเป็นเทพของสวี่ชิง มองไกลๆ นายกองแปลงเป็นห้าร่าง เวลานี้มือร่างทั้งห้าชูคทาขึ้น พลันวาดลงมาบนคราบร่างก่อนเป็นเทพของสวี่ชิง
เสียงครืนครัน ดังสนั่นหวั่นไหวทันที
“กลับมา!”
นายกองตะโกน ลมหยินพัดโบกไปรอบด้าน เย็นยะเยือกถึงขีดสุด เมื่อกระทบกับร่างกายก็หนาวสั่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ยิ่งราวกับยมโลกถูกเปิดออก ณ ระหว่างฟ้าดิน เสียงภูตผีนับไม่ถ้วนร้องระงม
ชั่วพริบตา คราบร่างก่อนเป็นเทพทั้งห้าของสวี่ชิงก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน แม้แต่ดินที่ฝังศพก็ถล่มลงไป เผยให้เห็นดวงตาทั้งสองของร่างที่ถูกฝังไว้
จากนั้น คราบร่างก่อนเป็นเทพทั้งห้านี้ต่างลุกขึ้นยืน เข้าประชิดกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่แตะต้องกัน ก็ซ้อนทับกัน
จนศพทั้งห้ารวมตัวกัน ระหว่างที่ขยุกขยิกไม่หยุด ก็กลายเป็นร่างของสวี่ชิงที่แท้จริงหลับตาอยู่
เขาในเสี้ยวขณะนี้คล้ายจะไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังยากจะบรรยายออกมา หลังจากที่ลืมตาขึ้นมา เขาก็สูดลมหายใจลึก ระลอกคลื่นในใจกระหน่ำซัดไม่หยุด
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงการอยู่ในห้วงแห่งความตาย รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในโลกที่มืดมิดใบหนึ่ง ลืมเลือนตัวเอง จนกลายเป็นหนึ่งในจิตวิญญาณคนตายนับไม่ถ้วน
กระทั่งข้างหูมีเสียงร่ายบทสวดของศิษย์พี่ใหญ่ดังก้อง เขาจึงฟื้นคืนชีพและเดินกลับมาจากการชี้นำของบทสวดนั้น แต่ตอนนี้ความคิดยังสับสน
นายกองตะคอกเสียงต่ำ
“ศิษย์น้องเล็ก ยังไม่ไปวาดเส้นขีดสุดท้ายของเจ้าอีกหรือ!”
สวี่ชิงได้ยินก็เงยหน้าขึ้น มองไปทางศิลาจารึก จับจ้องไปยังเส้นขีดสุดท้ายที่ยังขาดอยู่ ยกมือขวาขึ้นตวัดไปตามสัญชาตญาณ เติมจนสมบูรณ์
สวี่ชิงทั้งสองตัวอักษร ประทับลงไปบนศิลาจารึก
ยามนี้ ศิลาจารึกก็สั่นไหว แสงสีทองพร่างพราย มารวมบนชื่อของสวี่ชิง ทำให้สีของมันเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีทอง
สวี่ชิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ความทรงจำที่รางเลือนแจ่มชัดขึ้นมาทันที ความสับสนหายไปในพริบตา ทั้งหมดทั้งมวลล้วนผุดขึ้นมาในทันใด
“ข้ากำลังผ่านทัณฑ์เทพเจ้า!”
เห็นสวี่ชิงฟื้นตื่นขึ้นมา นายกองก็โล่งอก รีบเอ่ยว่า
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่มีเพลิงเทวะ นี่ก็ไม่ใช่ทัณฑ์เทพเจ้าที่แท้จริง ดังนั้นพิธีจำลองนี้ในตอนท้ายจึงไม่สมบูรณ์ แต่ไม่เป็นไร ศิลาจารึกนี้มีพื้นฐานในการสำเร็จเป็นเทพ ช่วงชิงพลังแห่งเทพเจ้ามาได้ ล้ำค่าอย่างยิ่ง ของชิ้นนี้ ก็คือวาสนาครั้งใหญ่ที่สุดของเจ้า
“ตอนนี้พวกเราข้ามเพลิงเทวะไปก่อน นำศิลาจารึกที่มีชื่อของเจ้า…
“ส่งเข้าไปในคราบร่างก่อนเป็นเทพชื่อหมู่!”
“ทำให้องค์ท่านกลายเป็นเทพเจ้าโบราณ ทิ้งตราประทับของเจ้าไว้ แม้ตอนนี้จะยังควบคุมคราบร่างก่อนเป็นเทพนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าอนาคตอาจมีวันหนึ่งที่ควบคุมได้”
ดวงตานายกองฉายแววคุ้มคลั่ง
“ศิษย์น้องเล็ก โอกาสนี้หาได้ยากยิ่งนัก!”
สวี่ชิงเงยหน้ามองม่านฟ้าที่แปรมาจากคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ ดวงตาฉายแววคุ้มคลั่งยิ่งกว่านายกอง แล้วส่ายหน้า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าจะส่งศิลาจารึกนี้เข้าไปในคราบร่างก่อนเป็นเทพชื่อหมู่ค่อนข้างสิ้นเปลือง ถึงอย่างไรคราบร่างก่อนเป็นเทพก็เป็นแค่คราบร่างก่อนเป็นเทพ
“ครั้งนี้ ในเมื่อเป้าหมายของพวกเราคือชื่อหมู่ เช่นนั้นข้าก็จะเก็บศิลาจารึกนี้ไว้ก่อน หาโอกาส…ส่งเข้าไปในดาวพระจันทร์สีชาด และใช้สิ่งนี้ยึดครองพระจันทร์สีชาดที่ชื่อหมู่ต้องการจะผสานรวมดีกว่า!
“อำนาจพระจันทร์สีชาด มีนายได้เพียงหนึ่ง!”
เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา นายกองทางนั้นก็ดวงตาเปล่งประกาย ต่อให้เป็นเขา ในเสี้ยวขณะนี้ก็สัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งในความคิดของสวี่ชิง
และเมื่อสวี่ชิงกล่าวจบ เขาโบกมือ สมบัติลับมายาพลันจำแลงขึ้นด้านหลัง ขณะที่โคจรครืนครัน พระจันทร์สีม่วงในนั้นก็ส่องแสงวูบวาบ ทะเลเลือดไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมพระจันทร์สีม่วง กลายเป็นคลื่นวน
คลื่นวนนี้ปะทุออกจากด้านในสมบัติลับ กลายเป็นแรงดึงดูด ปกคลุมศิลาจารึกสีทองด้านหน้าสวี่ชิง
เมื่อเริ่มดึงดูด ศิลาจารึกร้อยจั้งนี้ถูกดึงเข้าไปในพริบตา ปรากฏอยู่ในสมบัติลับพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิง ตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น จากนั้นก็มีเสียงครืนครัน
สีทองของศิลาจารึกพลันแผ่ขยายออกไป หลังจากปกคลุมพระจันทร์สีม่วงทั้งดวง คราบร่างก่อนเป็นเทพห้าร่างของสวี่ชิงที่จำแลงออกมารอบๆ ศิลาจารึก ก็ผสานกับคลื่นพลังพระจันทร์สีม่วง อาบแสงนี้ ห้าร่างห้าโทษทัณฑ์ ต่างแปลกประหลาด
หากอยู่ในโลกภายนอกแล้วมีผู้บำเพ็ญเห็น จะต้องเหมือนตอนที่สวี่ชิงเห็นรูปสลักของพระจันทร์สีชาดครั้งแรกแน่นอน รู้สึกหวาดกลัว ใจสั่นสะท้านอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือโครงสร้างเทพเจ้า
แต่ตอนนี้ ทั้งหมดอยู่ในสมบัติลับของสวี่ชิง
และจากการที่ศิลาจารึกลอยต่ำลงมา จากการที่โครงสร้างพระจันทร์สีม่วงก่อตัวขึ้น ในที่สุด…สวี่ชิงก็ผ่านทัณฑ์สำเร็จ!
ตอนนี้พลังบำเพ็ญเขาโหมซัด จากปราณก่อกำเนิดขั้นบริบูรณ์ไปสู่ระดับหล่อเลี้ยงมรรคา กลิ่นอายน่าครั่นคร้าม พลังรบก็เพิ่มขึ้นมหาศาล
สำหรับคนอื่นแล้ว ระดับหล่อเลี้ยงมรรคาต้องใช้เวลาระดับหนึ่งค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป เพราะสวี่ชิงมีวิถีสวรรค์อยู่นานแล้ว ในสมบัติลับของเขาก็แปรเป็นกฎเกณฑ์ไปนานแล้วเช่นกัน
เขาจึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
พริบตาต่อมา สมบัติลับปะทุขึ้น เริ่มโคจร ยิ่งมีนาฬิกาแดดแปรเป็นเตาขนาดยักษ์ เผาไหม้ร้อนแรง
เสียงครืนครัน สั่นฟ้าสะเทือนดิน
สมบัติลับก็แปรจากภาพมายาเป็นของจริงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตา…ก่อตัวขึ้นอย่างแท้จริง
พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงทะลุทะลวงขั้นถึงที่สุด ย่างเข้าสู่สมบัติวิญญาณขั้นที่หนึ่ง!
มองไกลๆ ผมยาวของสวี่ชิงปลิวไสว หล่อเหลาไม่ธรรมดา สมบัติลับด้านหลังแฝงโลกเอาไว้ เปลวเพลิงร้อนแรงในเตาไฟพวยพุ่งออกมา รัศมีอำนาจประดุจสายรุ้ง สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ
ในบรรดาผู้บำเพ็ญนับแสนรอบๆ ก็มีสมบัติวิญญาณอยู่เช่นกัน แต่ยามนี้พวกเขาล้วนตาค้าง ระลอกคลื่นในใจโหมสูงหมื่นจั้ง
สมบัติลับของสวี่ชิง สั่นฟ้าสะเทือนดินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ
และที่ยิ่งสั่นสะเทือนผู้บำเพ็ญทุกคนก็คือกลางอากาศด้านหลังสวี่ชิง รอบๆ ประตูใหญ่ที่เปิดออก ยามนี้เริ่มรางเลือน มีกระจกขนาดยักษ์บานหนึ่ง กำลังจำแลงออกมาอย่างรวดเร็ว
กระจกบานนี้แผ่ขยายม่านฟ้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งใหญ่น่าตกตะลึง แผ่ความเก่าแก่บรรพกาลออกมา ส่องสะท้อนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง เห็นศาลเจ้านับหมื่นแห่งในตัวภูเขา และมีเทวรูปอยู่องค์หนึ่งในทุกศาลเจ้า
รัศมีอำนาจท่วมท้น!
ในกระจกบานนั้น ยามนี้ปรากฏร่างเงาร่างหนึ่ง ร่างเงานั้นเป็นชายชรา วิญญาณศัสตราแห่งตำหนักขบถจันทร์นั่นเอง
เขาอยู่ในกระจก จ้องมองสวี่ชิงและนายกอง สุดท้ายก็ก้มหน้าลง ประสานหมัดคารวะ
“คารวะนายท่าน”
เมื่อกล่าวคำว่าคารวะนี้ออกมา ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตำหนักขบถจันทร์ก็หลั่งทะลักเข้ามาในสมองสวี่ชิงและนายกอง พวกเขาสองคนสบตากันผาดหนึ่ง เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“รูปสลักทั้งหลาย…กลับสู่ตำแหน่ง!”