ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 679 ข้าไร้คุณสมบัติเช่นนั้นหรือ!
บทที่ 679 ข้าไร้คุณสมบัติเช่นนั้นหรือ!
เทือกเขาทนทุกข์ สนามรบโหดเหี้ยม ทุกชั่วขณะล้วนเกิดความตาย ทะเลเลือดบนพื้นแห้งเหือด เกิดเป็นหลุมลึกขนาดมหึมา
เพลิงสวรรค์ปกคลุมมัน แผ่ไปทั่วฟ้า
รูปสลักที่มาจากตำหนักขบถจันทร์ ภายใต้การเพิ่มพลังจากสมบัติแดนสงคราม กำลังรบน่าครั่นคร้ามนัก
ต่อให้ตาย แต่เสี้ยวขณะต่อมา จากการสั่นสะเทือนของตำหนักขบถจันทร์ในเสี้ยวขณะต่อมา ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ก็เดินออกมาจากศาลเจ้าในกระจก พุ่งไปในสนามรบอีกครั้ง ทำการฆ่าล้างสังหารต่อไป
เช่นนี้แล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์สำแดงวิชาคำสาป แต่มีตำหนักขบถจันทร์อยู่ ในเวลาสั้นๆ ก็สามารถสะกดได้ ทำให้สงครามครั้งนี้เริ่มเอนเอียงไปทางฝั่งตำหนักขบถจันทร์อย่างรวดเร็ว
ผู้บำเพ็ญเก่าแก่ยี่สิบกว่าคนที่ผลึกคลายลงเหล่านั้น ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะศักราชตัวเองทั้งสิ้น ในขณะที่วิชาของพวกเขาแปลกประหลาด ประสบการณ์สังหารของตัวเองก็โชกโชนเช่นกัน
ล้วนมีพลังสยบระดับเดียวกัน ทุกที่ที่พาดผ่าน ผู้แข็งแกร่งพระจันทร์สีชาดล้วนจำต้องถอย
ส่วนพลังกดดันทางจักรพรรดิตำหนักก็หนักหน่วงเช่นกัน คนที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยคือสองผู้บำเพ็ญที่ผนึกคลายแล้วที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักขบถจันทร์ โดยเฉพาะเสินเชวี่ยจื่อ หญิงต่างเผ่าคนนั้น เปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นในมือของนาง สีสันผันเปลี่ยน
ทุกครั้งที่เปลี่ยน พลังจะน่าครั่นคร้ามขึ้นหลายส่วน การลงมือของนาง ฟ้าดินลุกไหม้พร้อมกัน ยิ่งมาพร้อมด้วยพลังระดับเตรียมสู่เทวะ ทำให้ทางจักรพรรดิตำหนักต้องตื่นตะลึงไปเช่นกัน
แต่หากเป็นเพียงแค่คนผู้นี้คนเดียว จักรพรรดิตำหนักยังจัดการได้ แต่การมีตัวตนอยู่ของหลี่เซียวซาน ความรู้สึกกดดันที่นำมาให้เขาก็น่าครั่นคร้ามเช่นกัน
ดาบของหลี่เซียวซานไม่ได้ฟาดลงมาทุกชั่วขณะ เขาวนไปรอบๆ จักรพรรดิตำหนัก ลากดาบวนไปไม่หยุด ท่ามกลางเสียงเคร้ง ความเร็วของเขาน่าตื่นตะลึง
และการฟาดฟันลงมาทุกครั้งของดาบ ล้วนทำให้มิติแหลกละเอียด เกิดเป็นประกายดาบน่ากลัว ทำให้ทางจักรพรรดิตำหนักในใจยิ่งเคร่งเครียด
‘ศึกนี้ไม่ควรสู้ต่อ!’
จักรพรรดิหรี่ตา ยกมือขวาขึ้นชี้ไปข้างกาย เงาโลกมายากลุ่มหนึ่งก่อขึ้นข้างหน้านิ้วของเขา สกัดกั้นดาบยาวที่ฟาดมา
ท่ามกลางเสียงระเบิด มือซ้ายจักรพรรดิตำหนักคว้าไปยังท้องฟ้า คราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
การลงมาเยือนอีกครั้งขององค์ท่านทำให้ฟ้าดินบิดเบี้ยว สงครามเดือดพล่าน ขณะเดียวกัน สวี่ชิงทางนี้สายตาจ้องเพ่ง สิ่งที่เขาป้องกันอยู่ในตำหนักขบถจันทร์ก็คือคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่
ตอนนี้เห็นคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง สวี่ชิงรีบแผ่อำนาจออกทันที นายกองอยู่ข้างๆ ก็ลงมือเช่นกัน ทั้งสองอาศัยฐานะเจ้าตำหนักขบถจันทร์ควบคุมตำหนักขบถจันทร์ ทำให้กระจกบานมหึมากะพริบแสงพร่างพรายวูบวาบ
แสงนี้สาดส่องไปทั่วทุกสารทิศ ต่อต้านพลังคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอีกครั้ง เสียงกึกก้องสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดลมพายุพัดกวาดม่านฟ้า ท่ามกลางความเดือดพล่าน ผู้บำเพ็ญที่ต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็ต่างแยกออกจากกันภายใต้พลังปะทุรุนแรงนี้ ต่างถอยหลังไป
จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงฉายวาบ กำลังจะควบคุมตำหนักขบถจันทร์สำแดงพลังสมบัติลับแดนสงครามอีกครั้ง แต่ในตอนนี้เอง บนฟ้ามีลมพัดมา
ลมนี้มาพร้อมด้วยกลิ่นคาวเลือด เพียงพริบตาก็ตลบอวลไปทั่วสนามรบ สิ่งที่มาพร้อมกับลมด้วยยังมีเสียงเยือกเย็นน่าขนลุก เหมือนว่ามีคนพึมพำอยู่ข้างหู
“กาลครั้งหนึ่งมีตุ๊กตาตัวใหญ่…”
เสียงนี้เป็นเพลงเด็กแปลกประหลาดที่ดังในตำหนักบุตรเทวะนั่นเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวี่ชิงได้ยิน ก่อนหน้านี้ในตอนที่ช่วยท่านย่าห้า ในหมู่บ้านแห่งนั้น เขาเคยได้ยินมันมาแล้ว
และสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขาคือประโยคสุดท้ายประโยคนั้น
“ตุ๊กตาตัวที่สี่หายไปไม่กลับมา”
ประโยคนี้ดังก้องไปทั่วทุกทิศ ท้องฟ้าพลิกหมุนในเสี้ยวขณะนี้ เปลี่ยนมาเป็นสีแดงชาดอีกครั้ง แล้วค่อยๆ มีทะเลสาบเลือดผืนหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับฉายภาพสะท้อนมาบนท้องฟ้า
ทะเลสาบเลือดนั่นเดือดพล่าน คล้ายว่าในนั้นมีตัวตนที่น่ากลัวอะไรบางอย่างคิดจะคลานขึ้นมาจากในนั้น
กลิ่นอายน่ากลัว ในเสี้ยวพริบตาก็พุ่งขึ้นมาบนสนามรบเช่นกัน
สวี่ชิงและนายกองสีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกัน ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น ในใจของทุกคนในเสี้ยวขณะนี้เกิดคลื่นมหาศาล ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่ผนึกคลายแล้วเหล่านั้นก็เช่นกัน
ดาบในมือของหลี่เซียวซานหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ไฟของเสินเชวี่ยจื่อไหววูบเบาๆ
สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง จับจ้องไปยังทะเลสาบเลือดนั่นเขม็ง
แต่เทียบกับพวกเขา ผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดต่างถอนหายใจโล่งอก มีเพียงจักรพรรดิตำหนักที่ขมวดคิ้ว มองไปทางทะเลสาบเลือด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็กลบเสียงเพลงเด็ก ราวเสียงสายฟ้าฟาดลงมา
นั่นคือเสียงหัวใจเต้น
ตุบๆ ตุบๆ!
การดังมาของเสียงนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์จำนวนไม่น้อยร้องโหยหวน รูปสลักเทพนับไม่ถ้วนระเบิดออกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนว่าเสียงนี้ดังมา สามารถทำลายได้ทุกอย่าง
จากนั้น ท่ามกลางการเดือดพล่านที่ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมของทะเลสาบสีเลือดบนท้องฟ้า มือยักษ์สีดำที่มีรยางค์เต็มไปหมดข้างหนึ่ง ก็ยื่นมาจากในม่านฟ้าช้าๆ มาพร้อมด้วยพลังสยบฟ้าดินน่าครั่นคร้าม ทำให้โลกสั่นคลอน
มือนี้เจ็ดนิ้วเต็มไปด้วยหนามกระดูก รยางค์พวกนั้นขยับไหว ทุกที่ที่ผ่านท้องฟ้าพังทลาย ตอนนี้ดูเหมือนฟาดลงมาช้าๆ แต่ความจริงแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
ไม่อาจต้านทาน ขวางกั้นไม่ได้
การปรากฏขึ้นของมือนี้ทำให้ไอพลังประหลาดที่นี่พวยพุ่งขึ้นมา ทุกคนจำต้องถอยไป
สุดท้ายมือยักษ์สีดำที่ราวกับเทพเจ้าก็คว้าท้องฟ้าบริเวณที่ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดอยู่
ในนี้รวมจักรพรรดิตำหนักและคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ด้วย ภายใต้การคว้ามาของมือยักษ์สีดำนี้ ถูกมันกำไว้ข้างใน
จากนั้นมันก็ลอยขึ้นช้าๆ นำคนทั้งหลายจมไปในทะเลสาบเลือดบนท้องฟ้า
การมาเยือนของมันไม่อาจสกัดกั้นการจากไปของมันไม่อาจขัดขวางได้
ทุกคนรวมถึงสวี่ชิงและนายกองรวมอยู่ในนั้นด้วย ต่างมองมือยักษ์หายไปในทะเลสาบเลือดตาปริบๆ จวบจนในทะเลสาบเลือดมีดวงตามีทองคู่หนึ่งลืมขึ้นผ่านน้ำทะเลสาบ มองมายังผืนดิน และมองไปทางท้องฟ้าที่ไกล
จากนั้นดวงตาสีทองคู่นั้นก็ปิดลง ภาพสะท้อนทะเลสาบเลือดสลายตามไปด้วย
ศึกนี้สิ้นสุดแล้ว
หลังจากท้องฟ้าฟื้นคืนเป็นปกติ พลังกดดันและพันธนาการที่มาจากมือเทพเจ้าข้างนั้นก็หายไปในทันที แต่ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจของคนทั้งหลายไม่ได้สลายไป แต่กลับเป็นเพราะดวงตาสีทองคู่นั้น ทำให้ทุกคนกดดันไปตามสัญชาตญาณ
“นั่นเป็นใครกัน…”
ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ต่างเงียบนิ่ง ทว่าในใจกลับมีคำถามนี้ผุดขึ้นมาไปตามธรรมชาติ
และคำตอบ ความจริงพวกเขานั้นนั้นรู้กันหมด เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อเท่านั้นเอง
“บุตรเทวะ…” หลี่เซียวซานเอ่ยเสียงแหบแห้ง
“บุตรเทวะที่ข้าได้เจอในศักราชนั้นไม่ได้น่ากลัวขนาดนี้” เสินเชวี่ยจื่อขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“เขาทำให้ข้ารู้สึกว่า เข้าใกล้เทพเจ้ามามากแล้ว”
รอบๆ เงียบสนิท
ทั้งๆ ที่เป็นชัยชนะ แต่การปรากฏขึ้นมาของมือบุตรเทวะในทะเลสาบเลือด กลับทำให้ในใจของคนทั้งหลายเกิดความรู้สึกไร้กำลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นแต่ละคนจึงมองไปทางสวี่ชิงและนายกองตามสัญชาตญาณ
แต่ไม่นานนักในสายตาเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ฉายความสิ้นหวังและอับจนหนทางออกมา
ตำหนักขบถแม้จะมีเจ้าตำหนักขบถจันทร์แล้ว แต่เจ้าตำหนักรุ่นนี้…พลังบำเพ็ญอ่อนแอนัก
คนหนึ่งระดับสมบัติวิญญาณ คนหนึ่งระดับปราณก่อกำเนิด
พลังบำเพ็ญเช่นนี้ จะดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักขบถจันทร์ได้อย่างไร จะนำผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์เดินไปบนเส้นทางพลิกชะตาเส้นนี้ไปได้อย่างไร…
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในที่ไกล ดาวพระจันทร์สีชาดยึดครองท้องฟ้าไปแล้วกว่าครึ่ง อย่างมากเดือน สองเดือนชื่อหมู่ก็จะมาเยือนแล้วจริงๆ
ถึงตอนนั้น เผชิญหน้ากับการกลืนกินของชื่อหมู่ คนทั้งหลายก็ทำได้เพียงทุกข์ทนขมขื่น ไม่มีความหวังใดๆ
ต่อให้เจ้าแห่งตำหนักทั้งสองมีอำนาจ แต่พลังบำเพ็ญเช่นนี้ยากจะทำให้คนทั้งหลายยอมรับ และยากจะทำให้ผู้คนติดตามจากใจจริง ดังนั้นสายตาของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ก็ค่อยๆ เบนจากทางสวี่ชิงทางนี้ออกไป
ส่วนหนึ่งมองไปทางรองเจ้าตำหนักสี่ ส่วนหนึ่งมองไปทางรองเจ้าตำหนักสาม บางส่วนขยับเข้ามาใกล้หลี่เซียวซาน ส่วนหนึ่งรวมตัวมาข้างกายเสินเชวี่ยจื่อ
ในนี้รวมอัจฉริยะที่ผนึกคลายไปแล้วจำนวนหนึ่งด้วย
แม้ผนึกพวกเขาจะคลายแล้ว แต่ความจริงก็มีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อเจ้าตำหนักเช่นกัน ไม่ยอมรับ สรุปแล้วพวกเขาคิดว่าพวกสวี่ชิงทั้งสองคนมีคุณสมบัติไม่พอ
“ขอบคุณเจ้าตำหนักขบถจันทร์ที่ทำให้ข้าและผู้ใต้บัญชาของข้าเข้าตำหนักขบถจันทร์ได้ในช่วงเวลาสำคัญ แต่โปรดคลายการคุ้มกันด้วย ข้าจะกลับที่ราบทางเหนือ จะร่วมใช้ชีวิตที่เหลือกับประชาชนที่นั่น”
รองเจ้าตำหนักสามมองไปทางสวี่ชิง เอ่ยเสียงสงบนิ่ง
สวี่ชิงเงียบนิ่ง รองเจ้าตำหนักสี่ทางนั้นขมวดคิ้ว เดินออกมาสามสี่ก้าว ส่งเสียงต่ำทุ้มออกมา
“รองเจ้าตำหนักสาม ตอนนี้ตำหนักขบถจันทร์มีเจ้าตำหนักแล้ว เป็นช่วงที่เราจะผงาดขึ้น ท่าน…”
“เจ้าสี่ มีความหวังหรือ” รองเจ้าตำหนักสามถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า ตัดบทรองเจ้าตำหนักสี่
“ด้วยพลังบำเพ็ญของเจ้าตำหนัก ด้วยประสบการของเจ้าตำหนัก พวกเราไม่สามารถต่อต้านพระจันทร์สีชาดได้ กระทั่งว่าพวกเราไม่รู้ที่มาที่ไปของเจ้าตำหนักด้วยซ้ำ บางทีเขาอาจจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของแผ่นดินนี้”
ประโยคนี้ดังออกมา ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์จำนวนไม่น้อยต่างตกใจสงสัย ส่วนเจ้าตำหนักสามเมื่อพูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางสวี่ชิง
“เจ้าตำหนักโปรดคลายการคุ้มกันด้วยหากไม่ประสงค์ เช่นนั้นก็ผนึกข้าไปเลยก็แล้วกัน”
คำพูดของเขาแสดงท่าทีชัดเจน เขาจะไม่ต่อต้านสวี่ชิง แต่เขาไม่ยอมรับ
รองเจ้าตำหนักสามพูดจบ ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์หมื่นกว่าคนข้างหลังเขาก็ต่างก้มหน้า พวกเขาล้วนเป็นลูกน้องใต้บัญชาของรองเจ้าตำหนักสาม ติดตามมาตลอด ตอนนี้ย่อมเลือกเส้นทางเช่นเดียวกับเขา
“ข้าก็เช่นกัน”
“เจ้าตำหนัก เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่มีความหมายแล้ว”
ในผู้บำเพ็ญที่ผนึกคลายแล้วมีเจ็ดแปดคนเอ่ยราบเรียบ
หลี่เซียวซานอ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่มองสวี่ชิงและเฉินเอ้อร์หนิวผาดหนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ
พลังบำเพ็ญต่ำเหลือเกิน
เสินเชวี่ยจื่อใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้พูดอะไร
รองเจ้าตำหนักสี่ทางนั้นลมหายใจหอบถี่ มองสวี่ชิงแล้วพลันก้าวเดินมา ยืนข้างสวี่ชิงอย่างยืนหยัด
ยิ่งมีผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์หลายคน ตอนนี้ยังไม่ขยับ ในใจของพวกเขาก็ลังเลเช่นกัน เลือกที่จะดูสถานการณ์
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองเลิกคิ้วขึ้น กำลังจะเอ่ยปาก แต่สวี่ชิงก้าวออกมา มองไปทางรองเจ้าตำหนักสาม
“ข้าพลังบำเพ็ญไม่เพียงพอและไม่ใช่ผู้บำเพ็ญแผ่นดินนี้จริงๆ”
คำพูดสวี่ชิงดังออกมา ในผู้บำเพ็ญก็ตำหนักขบถจันทร์รอบๆ ก็ส่งเสียงฮือฮามาในทันที สำหรับเรื่องที่คนนอกเป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์ นี่เป็นเรื่องที่ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์เหล่านี้รับไม่ค่อยได้
“เจ้าไม่ใช่คนของแผ่นดินนี้จริงๆ ด้วย” รองเจ้าตำหนักสามมองสวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“เป็นผู้บำเพ็ญดินแดนนี้หรือไม่ไม่สำคัญ ช่วยพลิกสถานการณ์กลับมาในช่วงเวลาสำคัญ เขาก็คือเจ้าตำหนัก!” รองเจ้าตำหนักสี่สีหน้าเข้มงวด เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม ฉายแววยืนหยัด
รองเจ้าตำหนักสามได้ยินก็ส่ายหน้า
“เรื่องนี้ข้าไม่เถียงกับเจ้า และเจ้าตำหนักก็ลงแรงจริงๆ แต่เขาคุณสมบัติไม่พอ ชื่อเสียงบารมียิ่งไม่พอ ข้าไม่ยอมรับ ผู้ใต้บัญชาของข้าก็ไม่ยอมรับ สหายตำหนักขบถจันทร์มากมายก็ยากที่จะยอมรับเช่นกัน
“ถ้าเดินต่อไปเช่นนี้ ในใจข้ามีความเสียดายนัก”
รองเจ้าตำหนักสามหันหลังเดินไปทางตำหนักขบถจันทร์ เขาเลือกที่จะกลับไป
ข้างหลังเขา ผู้ใต้บัญชาของเขาติดตามไป ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์รอบๆ ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ถอนหายใจ เดินไปทางตำหนักขบถจันทร์เงียบๆ
สองเดือนสุดท้ายนี้ เทียบกับติดตามระดับสมบัติวิญญาณคนหนึ่ง เดินต่อไปอย่างไม่มีความหวัง มิสู้ไปหาที่สงบๆ สักแห่งย้อนรำลึกความหลังของตัวเองในช่วงสุดท้ายของชีวิตดีกว่า
ส่วนอยู่ในผนึกตำหนักขบถจันทร์ ความเป็นไปได้ที่จะใช้ใช้วิธีนี้หลบเลี่ยงเคราะห์ คนทั้งหลายก็ไม่ได้โง่ พวกเขารู้ว่านี่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่เช่นนั้น ทำให้ในศักราชนี้มีเพียงแค่ร่างแยกของเสินเชวี่ยจื่อที่หลงเหลือ
เห็นได้ชัดเป็นสิทธิ์ที่มีเพียงเจ้าตำหนักเท่านั้น
บรรยากาศกดดัน ในกลุ่มคนมีคนทยอยเดินไปทางตำหนักขบถจันทร์
ในนั้นยังมีผู้ติดตามของปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าบางคนด้วย รูปสลักเทพชายกำยำผู้หญิงเพื่อนบ้านคนนั้นก็อยู่ในนี้ด้วย พวกเขาไม่เห็นรูปสลักเทพของปรมาจารย์ในครั้งนี้ ในใจโศกเศร้า เข้าใจว่าปรมาจารย์แตกดับไปแล้ว จึงเรียกเข้ามาไม่ได้
และในทันทีที่คนเหล่านี้เดินไปทางตำหนักขบถจันทร์ เสียงของสวี่ชิงก็ดังขึ้นอย่างสงบนิ่ง
“เจ้าบอกว่าพลังบำเพ็ญของข้าไม่พอ ข้ารับได้ แต่บอกว่าข้าคุณสมบัติไม่พอ ชื่อเสียงบารมีไม่พอ…ข้าขอถามสักหน่อย
“อาศัยที่ข้าคลายผนึกรัฐทายาทที่ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ ปลดปล่อยองค์หญิงหมิงเหมยให้ฟื้นตื่นขึ้นจากที่ราบน้ำแข็งภาคเหนือ พอหรือไม่
“หากไม่พอ ช่วยให้องค์หญิงห้าหลุดพ้นจากใต้ภูเขาตะขาบดำ คลายผนึกองค์ชายแปดจากเผ่าสัญจรมิติ เรื่องพวกนี้ พอหรือไม่”
คำพูดของสวี่ชิงเพียงดังออกมา ผู้บำเพ็ญที่เดินไปทางตำหนักขบถจันทร์ต่างจิตใจสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต่างหันมามองสวี่ชิง ในใจเหมือนสายฟ้าปะทุระเบิดฟาดผ่ามา
ทางรองเจ้าตำหนักสามทางนั้นฝีเท้าหยุดชะงัก ดวงตาฉายประกายวาววับ มองไปทางสวี่ชิง
“เจ้ามาปรากฏตัวที่เทือกเขาทนทุกข์ได้ เรื่องนี้ข้าก็เดาเอาไว้แล้วเหมือนกัน ช่วยบุตรชายหญิงของเจ้าเหนือหัว นี่เป็นคุณงามความชอบครั้งยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถของเจ้าตำหนักเจ้า ยังไม่พอ”
สวี่ชิงฟังจบ สีหน้าไร้อารมณ์ มือขวายกขึ้นสะบัก การปกปิดทุกอย่างบนร่างหายไปจนหมด เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา เอ่ยราบเรียบ
“อาศัยที่ข้าเมื่อหลายเดือนก่อน อยู่ที่แดนเจ้าเหนือหัวประหารเทพเจ้า ผลักดันจิตวิญญาณต่อต้าน ปลุกคนทั้งหลายอย่าทิ้งความหวัง ทำให้ประกายไฟลุกไหม พอหรือไม่”
พูดจบ ท้องฟ้าแผ่ระลอกคลื่น ประกายแสงกะพริบวูบวาบ แท่นประหารเทพเจ้าทรงพลัง ปรากฏออกมาสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น ตั้งตระหง่านข้างหลังสวี่ชิง มองไกลๆ รัศมีอำนาจท่วมท้น สั่นสะท้านฟ้าดิน
รองเจ้าตำหนักสามดวงตาจ้องเพ่ง ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ทั้งหมดที่นี่ต่างสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน แต่ละคนมองใบหน้าสวี่ชิง มองแท่นประหารเทพเจ้า ภาพที่ปรากฏในสมองเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้นึกขึ้นมาอีกครั้ง
เหมือนกันทุกประการ!
“เป็นเขา!!”
“ผู้ที่ปลุกพวกเราก็คือเจ้าตำหนักหรือ!”
“นี่…ภาพในตอนนั้นทำให้พวกเราฮึกเหิมขึ้นมาจากความสิ้นหวัง!”
เสียงฮือฮา ภายใต้ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจของคนทั้งหลาย ก็ปะทุออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
และคำพูดของนายกองก็ดังขึ้นในตอนนี้เช่นกัน
“น่าสนใจ บอกว่าพวกเราคุณสมบัติไม่พอ ชื่อเสียงไม่พอหรือ
“อาศัยที่ข้าเมื่อชาติที่แล้วอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้เคยกัดชื่อหมู่หนึ่งคำพอหรือไม่
“อาศัยที่ข้าเคยเป็นมหานักร่ายระบำ หักหลังพระจันทร์สีชาดจากมา พอหรือไม่
“อาศัยที่ตำหนักเทพแยกร่างของข้า ใช้อวัยวะของข้าแบกตำหนักเทพเดินทาง พอหรือไม่”
ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นจากคำพูดของนายกองรวมไปถึงสวี่ชิง ในเสี้ยวขณะนี้ราวสายฟ้านับแสนในฟ้าดินนี้ คำรามกึกก้อง
เขย่าจิตใจของคนทั้งหลายที่นี่ ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ทั้งหมดต่างสีหน้าเปลี่ยนไปกันหมด ลมหายใจหอบถี่
รองเจ้าตำหนักสามทางในใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์รุนแรงเช่นกัน หลี่เซียวซาน เสินเชวี่ยจื่อ ทั้งยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ผนึกคลายลงแล้ว ต่างใจหวั่นไหว
สุดท้าย สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น สายตากวาดไปบนร่างของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ที่อยู่รอบๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“อาศัยที่ข้าชิงพลังต้นกำเนิดพระจันทร์สีชาดมากลุ่มหนึ่ง เอามาเป็นพลังของตัวเอง พอหรือไม่
“อาศัยที่ข้าหลอมลูกกลอนเพื่อผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์มากมาย คลายความเป็นปวดจากคำสาปของพวกเจ้า พอหรือไม่
“แล้วก็ หากเจ้าบอกว่าชื่อเสียงของข้าไม่พอ…เช่นนั้นอาศัยที่ข้าเป็นปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า ตัวตนนี้ พอหรือไม่”