ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 680 จิตสังหารขบถจันทร์คับฟ้าดิน
บทที่ 680 จิตสังหารขบถจันทร์คับฟ้าดิน
ไม่ว่าจะเสียงเย่อหยิ่งของนายกองหรือคำพูดของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ล้วนยิ่งใหญ่ ราวกับล่องลอยอยู่กลางนภาไม่ร่วงสู่พื้น
จะเคยกัดชื่อหมู่ก็ดี ช่วงชิงต้นกำเนิดพระจันทร์สีชาดก็ดี แม้จะช่วยเหลือบุตรชายหญิงของเจ้าเหนือหัว ทั้งหมดนี้…สำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไปตำหนักขบถจันทร์ แม้จะน่าตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาใกล้ชิดนัก
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร นั่นล้วนเป็นเรื่องใต้เท้าระดับสูง แม้จะปลุกใจ แม้จะห้าวหาญ แต่ความรู้สึกเช่นนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งกระทบกับจิตใจโดยตรงอยู่ดี
สิ่งนี้คือนิสัยมนุษย์อย่างหนึ่ง ผู้คนมักกังวลแค่ความปลอดภัยของตัวเอง มักกังวลแค่เรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น
เหมือนผู้คนในเขตปกครองผนึกสมุทรตอนนั้น ใครจะเป็นเจ้าเขตปกครอง อันที่จริงก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ที่พวกเขาใส่ใจคือเรื่องที่ตนติดพิษ และตอนนั้นสวี่ชิงก็ใช้จุดนี้ รวบรวมดวงชะตาของคนในเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทรสนับสนุน
ในตำหนักขบถจันทร์ก็เช่นกัน
ดังนั้น ประโยคสุดท้ายของสวี่ชิง เมื่อเปิดเผยฐานะของเก้าลูกกลอน สำหรับทุกคนแล้วมันพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
สั่นสะเทือนยิ่งกว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้ ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์แทบจะทั้งหมดใจสั่นสะท้าน จิตใจมีคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ มองไปทางสวี่ชิงอย่างไม่อยากเชื่อ
เก้าลูกกลอนชื่อนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์มีความหมายอย่างยิ่ง
การปรากฏตัวขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์เห็นความหวัง
เขาใช้พยายามปรับปรุงสรรพคุณของลูกกลอนบรรเทาทุกข์ ทำให้ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ซึ่งเป็นลูกกลอนหายากราคาสูงเกินจริงนั้นกลายเป็นยาลูกกลอนที่ใครก็สามารถกินได้ ราคาร่วงลงมานับสิบนับร้อยเท่า
การกระทำนี้ถือเป็นมหากุศล สร้างแรงสั่นสะเทือน ทำให้ผู้บำเพ็ญมากมายที่คำสาปปะทุบรรเทาความเจ็บปวดที่ทรมานร่างกายและจิตใจ พวกเขารู้สึกขอบคุณลูกกลอนเก้าจากใจจริง
จะระดับสูงของตำหนักขบถจันทร์ หรือผู้บำเพ็ญระดับล่างของตำหนัก ล้วนเคารพลูกกลอนเก้า
กระทั่งรองเจ้าตำหนักสามที่สงสัยคุณสมบัติของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ เขาก็เคยตามหาปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าอยู่หลายครั้ง และยังทิ้งข้อความไว้ในศาลเจ้าลูกกลอนเก้าด้วย อ้อนวอนให้ลูกกลอนเก้าเข้าร่วมกับเขา
คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ พูดได้ว่าเกือบจะหกส่วนล้วนเคยกินยาลูกกลอนของลูกกลอนเก้าทั้งสิ้น
โดยเฉพาะลูกกลอนปลดคำสาปที่ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าสร้างขึ้น ยิ่งเป็นเหมือนกับทัณฑ์สวรรค์ สั่นสะเทือนไปทั้งตำหนักขบถจันทร์ในตอนนั้น นี่เป็นยาลูกกลอนที่ลดคำสาปได้อย่างแท้จริง
เมื่อลูกกลอนนี้ออกมา ก็ทำให้ชื่อเสียงของลูกกลอนเก้าเลื่องลือถึงขีดสุด และคุณธรรมของปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าก็มีการเล่าลือ ไม่ได้แพร่อยู่เพียงตำหนักขบถจันทร์เท่านั้น กระทั่งผู้บำเพ็ญโลกภายนอกก็รู้จัก ล้วนได้ยินกันหมด
ต่อให้ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ดังนั้น จากเสียงสวี่ชิงที่สะท้อนก้อง เสียงอุทานเสียงหลง ดังก้องไปทั้งฟ้าดินนี้
“ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า!”
“เจ้าตำหนัก….ก็คือปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า!”
“เรื่องนี้ประเมินค่าไม่ได้หรอก นี่เรื่องจริงหรือ! หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นพวกเราก็มีความหวังแล้ว!”
“หากเจ้าตำหนักเป็นปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า ข้าจะสนับสนุนเต็มที่ ชีวิตนี้ ข้าได้ยาลูกกลอนของปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าช่วยชีวิต!”
“ข้าก็สนับสนุนด้วย!”
ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์รอบๆ ทั้งหมด เสี้ยวขณะนี้ในใจครืนครัน เข้าใกล้สวี่ชิงตามสัญชาตญาณ รองเจ้าตำหนักสี่ทางนี้ในใจก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกัน มองไปทางสวี่ชิงด้วยใจสั่นสะท้านถึงขีดสุด
เวลานี้รองเจ้าตำหนักสามก็อึ้งตะลึง ข้อมูลนี้ประเมินค่าไม่ได้สำหรับเขา
ผู้ใต้บังคับบัญชาเขาก็หวั่นไหว เท้าที่เดินไปทางตำหนักขบถจันทร์ พากันหยุดลง
ในฝูงชนยังมีบางคน ที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าคนอื่นๆ เวลานี้กระทั่งร่างกายยังสั่นเทิ้ม สายตาที่มองไปทางสวี่ชิง ฉายประกายร้อนแรงออกมา
ในบรรดานี้ที่ตื่นเต้นที่สุด ก็คือเพื่อนบ้านสวี่ชิงคนนั้น หัวหน้าผู้ติดตามที่ภายนอกเป็นหญิงสาวผู้ห้าวหาญคนนี้ มองไปทางสวี่ชิงอย่างไม่อยากเชื่อ
นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน อีกฝ่ายเคยถามคำถามกับตน หากเจอกับลูกกลอนเก้าจะมองออกหรือไม่
นางยังจำคำตอบตัวเองได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่เห็น แม้สวี่ชิงจะยังไม่ได้นำหลักฐานออกมา แต่สัญชาตญาณของนางบอกว่า อีกฝ่าย…คือปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าที่ตนติดตามอยู่จริงๆ
‘สาเหตุที่ก่อนหน้านี้หาไม่เจอ สาเหตุที่ถูกดึงดูดเข้ามาแต่ก็รูปสลักของปรมาจารย์ไม่ปรากฏตัว นั่นเพราะ…ปรมาจารย์ยังมีอีกตัวตนหนึ่งนั่นเอง!’
ทุกคนสั่นสะท้าน เสียงอุทานและเสียงฮือฮาสะท้อนก้อง แต่ก็ยากจะไร้ซึ่งเหล่าคนที่ลังเลและสงสัย ถึงอย่างไรใครจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ความจริงต่างหากที่สำคัญที่สุด
จุดนี้ สวี่ชิงย่อมรู้ เขาจึงยกมือขวาขึ้นโบก เลือดเนื้อก้อนหนึ่งก็พลันลอยออกมา ตามมาด้วยหญ้าสมุนไพรอีกจำนวนมาก สวี่ชิงจะปรุงยาต่อหน้าผู้บำเพ็ญขบถจันทร์ทุกคน
จากการโบกมือทั้งสอง ลูกกลอนปลดคำสาปก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา
ลูกกลอนนี้ สวี่ชิงหลอมมาแล้วหลายครั้ง คุ้นเคยนานแล้ว ไม่นานก็มียาลูกกลอนเก้าเม็ดปรากฏขึ้น ด้วยสายตาพิษต้องห้ามของสวี่ชิง สรรพคุณด้านในก็ยิ่งเปลี่ยนไปในพริบตา
นี่ไม่ใช่ยาลูกกลอนที่ลดคำสาปห้าส่วนอีกแล้ว จากการที่พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงสูงขึ้น การก่อตัวของสมบัติลับ สำหรับการแก้คำสาป สวี่ชิงจึงมีแนวคิดใหม่ เมื่อหลอมออกมา ก็เป็นลูกกลอนที่ลดคำสาปได้เจ็ดส่วน
เมื่อลูกกลอนทั้งเก้าปรากฏ ฟ้าดินก็เปลี่ยนสี สายลมโหมเมฆทะลัก
สวี่ชิงก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เปลี่ยนรูปสลักของตน กลายเป็นร่างลูกกลอนเก้า เมื่อสะบัดแขนเสื้อ ยาลูกกลอนทั้งเก้าก็ลอยออกไปทันที เม็ดหนึ่งลอยไปหาหลี่เซียวซาน เม็ดหนึ่งลอยไปหาเสินเชวี่ยจื่อ
เม็ดที่สามลอยไปหารองเจ้าตำหนักสาม เม็ดที่สี่ลอยไปหารองเจ้าตำหนักสี่ อีกสองเม็ดลอยไปในฝูงชน ส่วนที่เหลือ…ล้วนลอยไปหาผู้ติดตามของเขา
ชายกำยำเพื่อนบ้านคนนั้น ก็ได้รับไปเม็ดหนึ่ง
ตอนที่ยาลูกกลอนกระจายไปในที่ต่างๆ ก็ส่งผลกระทบกับรอบด้าน ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ในบริเวณนี้ คำสาปในร่างกายติดขัดระดับหนึ่ง
กระทั่งไม่จำเป็นต้องกินเพื่อพิสูจน์ การติดขัดของคำสาปนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญขบถจันทร์ทุกคน ต่างหายใจหอบถี่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
และคนที่ได้ยาลูกกลอน สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม พวกเขาไม่ลังเล กลืนลงไปทันที จากนั้นกลิ่นอายร่างกายก็ระเบิดออกมาในพริบตา พลังคำสาปลดลงอย่างชัดเจน!
รองเจ้าตำหนักสามทางนั้นเงียบนิ่ง เสินเชวี่ยจื่อดวงตาเปล่งประกายประหลาด คนที่ตกตะลึงที่สุดคือหลี่เซียวซาน จากการลดลงของคำสาป ร่างกายเขายังมีกลิ่นอายเตรียมสู่เทวะพวยพุ่งออกมา
ภาพนี้ ทำให้หลี่เซียวซานสะท้อนใจ สาเหตุหลักที่เขาในตอนนั้นก้าวสู่เตรียมสู่เทวะล้มเหลว ก็คือคำสาปในร่างกาย ตอนนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน เหมือนตน…จะยังมีโอกาส ให้ทะลวงขั้นอีกครั้ง
“ลดคำสาปลงเจ็ดส่วน…”
เสียงแหบพร่าของเขาสะท้อนก้อง สั่นสะเทือนใจทุกคนในที่แห่งนี้โดยสิ้นเชิง เพื่อนบ้านสวี่ชิงผู้นั้นพุ่งออกมาเป็นคนแรก คารวะให้สวี่ชิงเสียงดัง
“คารวะปรมาจารย์!”
ด้านหลังนาง ผู้ติดตามคนอื่นก็ร่วมคารวะอย่างตื่นเต้น ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์รอบๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน ชั่วขณะหนึ่ง เสียงของคนนับหมื่นกลายเป็นคลื่นโถมก้องฟ้า
“คารวะปรมาจารย์!”
หลี่เซียวซานสูดหายใจลึก จ้องสวี่ชิงเขม็ง ก้มหน้าคารวะ
เสินเชวี่ยจื่อก้มหน้าเล็กน้อย สายตาฉายแววยอมรับ
และฝูงชนที่คารวะไปทางสวี่ชิง มีส่วนหนึ่งที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของรองเจ้าตำหนักสาม ส่วนตัวรองเจ้าตำหนักสามเอง ระลอกคลื่นในใจตอนนี้ก็ไร้ที่สิ้นสุด เขามองสวี่ชิงอย่างตกตะลึง อยากจะพูดอะไร แต่กลับพูดไม่ออก
อีกฝ่ายมีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว
อีกฝ่ายมีชื่อเสียงเลื่องระลือถึงขีดสุดแล้ว
รองเจ้าตำหนักสามเงียบนิ่งไปหลายอึดใจ เขาเดินออกมาสองสามก้าว เอ่ยด้วยเสียงขรึม
“เจ้าตำหนัก ก่อนหน้านี้ท่านพูดว่า ช่วงชิงต้นกำเนิดพระจันทร์สีชาด…”
สวี่ชิงพยักหน้า เมื่อโบกมือสมบัติลับด้านหลังก็จำแลงออกมา พระจันทร์สีม่วงด้านในกระพริบวูบวาบ อำนาจพระจันทร์สีชาดกลายเป็นเลือด ระเบิดรอบตัวสวี่ชิง กลายเป็นคลื่นโหมซัด
นายกองที่อยู่ข้างๆ แค่นหัวเราะ เอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
“เห็นแล้วหรือไม่ นี่คือสาเหตุที่ศิษย์น้องเล็กของข้าสกัดลูกกลอนปลดคำสาปที่แท้จริงออกมาได้ ช่วงชิงต้นกำเนิดเทพมา คำสาปของชื่อหมู่ มีแค่เขาเท่านั้นที่ปลดได้!”
รองเจ้าตำหนักสามจ้องพระจันทร์สีม่วงในสมบัติลับ ดวงตาเปล่งประกายแสงแรงกล้า ในใจกระเพื่อมขึ้นลงแต่ถูกเขาสะกดเอาไว้ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ดาวพระจันทร์สีชาดใหล้มาเยือน พวกข้าต้องเผชิญกับอะไร กระทั่งไม่ต้องเอ่ยถึงชื่อหมู่ แค่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด พวกเราก็ไม่อาจต้านทาน บุตรเทวะนั้น ใกล้เคียงเทพเจ้าแล้ว…”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร นายกองแค่นหัวเราะ ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ
“แล้วถ้าหาก ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดไม่อยู่แล้วเล่า!”
กล่าวจบนายกองก็โบกมือ เส้นผมสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา เมื่อเส้นผมนี้ปรากฏขึ้นมา กลิ่นอายเทพเจ้าก็พลันพวยพุ่ง
“พวกเราก็มีเทพเจ้า นี่คือสิ่งยืนยัน ข้าสามารถเปิดประตูอัญเชิญให้เทพเจ้าลงมือได้ตลอดเวลา!”
ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์เงียบลงทันที หลี่เซียวซานรวมถึงเสินเชวี่ยจื่อ ก็ม่านตาหดเล็กลง
รองเจ้าตำหนักสามหายใจหอบถี่ ระลอกคลื่นในใจยิ่งรุนแรงขึ้น เขาฝืนระงับไว้ ถามขึ้นอีกคำถาม
“เมื่อชื่อหมู่มาถึง ต้องต่อสู้อย่างไร”
นายกองเลิกคิ้ว กำลังจะตอบ สวี่ชิงถอนหายใจเบาๆ เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ความตั้งใจเดิมของท่านตอนที่เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์คืออะไร ไม่ใช่ว่าเพื่อต่อต้านและลงแรงอย่างสุดกำลังหรือขอรับ ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ข้าที่เป็นคนนอกยังลงแรงอย่างไม่คิดชีวิต แล้วท่านยังลังเลเช่นนี้อีกหรือ
“หากในใจยังไม่เข้มแข็งพอ พวกท่านจะออกไปก็ได้”
คำพูดของสวี่ชิง กระทบกระแทกใจของผู้ที่กำลังลังเลเหล่านั้น รองเจ้าตำหนักสามกำหมัด ดวงตาฉายแววแน่วแน่ คารวะให้กับสวี่ชิง กำลังจะพูดอะไร
ตอนนี้เอง บนท้องฟ้าก็ส่งเสียงครืนครัน เสียงดั่งทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่งสั่นเทือนเลื่อนลั่น
“เสี้ยวขณะที่ชื่อหมู่กลับมา บิดาข้าจักคืนชีพ!”
จากการที่เสียงนี้เปล่งออกมา ใบหน้าขนาดยักษ์ใบหน้าหนึ่ง ก็พลันปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า
ใบหน้านั้นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง รัศมีอำนาจไม่ธรรมดา ผมยาวราวอสรพิษ สยายออกไปไม่หยุด ใบหน้าแท้จริงของรัฐทายาทนั่นเอง
ข้างกายเขา ยังมีองค์หญิงหมิงเหมยในชุดเกราะสงคราม นางยืนอยู่ตรงนั้น แม่น้ำกาลเวลาหลั่งไหลอยู่ใต้เท้านาง กลิ่นอายน่าครั่นคร้าม
ข้างๆ คือองค์หญิงห้า แม้นางจะชราภาพ แต่คลื่นพลังจากร่างก็แปลกประหลาดถึงขีดสุด
ยังมีผู้อาวุโสแปด พลังคุ้มคลั่งแผ่ซ่านออกมา ส่งผลกระทบกับคนทุกคน
ด้านหลังสุด ยังมีอีกหนึ่งคน
เป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าคล้ายกับรัฐทายาท เขายืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน ในดวงตามีรูปร่างตะวันจันทราที่แตกดับแฝงอยู่ ทั่วทั้งร่างแผ่ปราณพิฆาตไร้เทียมทานออกมา
ความแข็งแกร่งของปราณพิฆาตนี้ แค่เขาคนเดียว ก็สามารถสยบพี่น้องทั้งหมดนี้ได้
การปรากฏตัวของเขา กระทั่งแสงสีแดงบนฟากฟ้าก็หม่นลงไปเล็กน้อย
เขาคือผู้อาวุโสเก้า!
การมาถึงและคำกล่าวของเหล่าทายาทของเจ้าเหนือหัว ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ด้านล่างพากันสั่นสะท้าน ก้มหน้าลง หลี่เซียวซานกระทั่งเสินเชวี่ยจื่อล้วนจิตใจกระเพื่อมขึ้นลง ก้มหน้าลงตาม
มีเพียงสวี่ชิงที่ก้าวออกไป เอ่ยคารวะ
“คารวะท่านปู่รัฐทายาท ท่านย่าสาม ท่านย่าห้า ท่านปู่แปด ท่านปู่เก้า”
องค์หญิงหมิงเหมยพยักหน้า ท่านย่าห้าอมยิ้ม ผู้อาวุโสแปดหัวเราะร่า สายตาผู้อาวุโสเก้าข้างๆ ก็หยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง
ส่วนรัฐทายาท ดวงตาฉายแววชื่นชม จากนั้นก็มองไปยังผู้บำเพ็ญเบื้องล่าง ส่งเสียงขรึมออกมา
“บรรพชนของพวกเจ้า ล้วนเป็นประชาชนของเสด็จพ่อข้า ล้วนเคยติดตามบิดาข้าออกรบ
“จนกระทั่งหายนะครั้งใหญ่มาเยือน หลายปีที่ผ่านมา หลายยุคสมัย พวกเจ้า…ลำบากแล้ว
“ครั้งนี้ การปรากฏตัวของสวี่ชิง มอบความหวังให้กับพวกเรา
“สิ่งนี้ทำให้พวกเรายุติชะตากรรมนี้ จบวงจรความเจ็บปวดทรมานนี้เสียที พวกเราอยู่ด้วยกัน”
คำพูดรัฐทายาทสะท้อนก้อง ผู้บำเพ็ญขบถจันทร์ทั้งหมดต่างรู้สึกฮึกเหิม หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้ ดวงตาพวกเขาก็ฉายแววแน่วแน่
“สวี่ชิง บอกแผนการของพี่น้องเจ้ารวมถึงอาจารย์ของเจ้าออกมา!”
รัฐทายาทมองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงพยักหน้า มองไปทางนายกอง สายตาทั้งสองสบกัน ล้วนมองเห็นความเด็ดขาดกับความคุ้มคลั่งในดวงตากันและกัน
“ทำลายตำหนักเทพ ฟื้นคืนชีพเจ้าเหนือหัว มูมมามตะกละตะกลาม แบ่งกันกินชื่อหมู่!
“ตอนนี้ พวกเราจะไปทำขั้นแรกให้สำเร็จ ทำลายตำหนักเทพ!”
เมื่อเขากล่าวออกมา ท้องฟ้าก็มีเสียงครืนครัน สวรรค์แผ่จิตสังหาร ดาวเคลื่อนดาราคล้อย
ภูเขาแม่น้ำคำรามพร้อมกัน ผืนดินแผ่จิตสังหาร มังกรอสรพิษคืบคลาน
ผู้บำเพ็ญขบถจันทร์ เจตนาฆ่าฟันปะทุคุ้มคลั่ง นี่เป็นจิตสังหารของมนุษย์ที่พลิกฟ้าพลิกดิน!
เสี้ยวขณะนี้ ท้องฟ้า ผืนดิน สรรพชีวิต จิตสังหารของพวกเขารวมตัวกัน ปะทุขึ้นมาจากทั้งแปดทิศ พุ่ง…ไปยังที่ราบสำนึกบาป!
พุ่งไปหาตำหนักเทพสาขาหลัก!