ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 681 เก้าสุริยาบดบังฟ้า
บทที่ 681 เก้าสุริยาบดบังฟ้า
พลังอำนาจที่รวมกันก่อนสงคราม ลั่นกลองครั้งแรกปลุกเร้าสร้างกำลังใจ ไม่เช่นนั้นลั่นกลองครั้งที่สองกำลังใจทหารจะลดลง ลั่นกลองครั้งที่สามกำลังใจทหารจะหมดลง ตอนนี้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ก็เป็นเช่นนี้
จากคำกล่าวของรัฐทายาท จากเสียงของสวี่ชิง จากความฮึกเหิมของนายกอง ผู้บำเพ็ญนับหมื่นของตำหนักขบถจันทร์แต่ละคนพลังอำนาจประดุจสายรุ้ง
“สังหาร!!”
ไม่รู้ว่าใครเปล่งเสียงคำรามขึ้นมา แต่ไม่นานทุกคนก็ถูกชักนำ อ้าปากไปตามสัญชาตญาณ ส่งเสียงคำรามออกมาจากจิตวิญญาณตน ราวกับจะระบายความทุกข์ทรมานและความไม่ยินยอมทั้งชีวิตออกมาพร้อมกับคำคำนี้
เสี้ยวขณะนี้ สติสัมปชัญญะไม่สำคัญ เมื่อแผนการอยู่ต่อหน้าพลังอำนาจระดับนี้ก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงแม้แต่น้อย
ทุกคนกลายเป็นคนธรรมดา และเมื่อคนธรรมดาโกรธถึงขีดสุด ก็เด็ดขาดไม่คิดชีวิตได้เช่นกัน!
ความจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว ชื่อหมู่ใกล้มาเยือน เดิมเป็นสถานการณ์ที่ต้องตาย ทว่าตอนนี้มีความหวังแล้ว และยังเป็นครั้งที่มีความหวังที่สุดในรอบหลายต่อหลายปีนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนที่ขี้ขลาดเพียงใด ก็อาจกล้าหาญจนเป็นเหมือนคนธรรมดาได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้ที่สามารถเข้ามาในตำหนักขบถจันทร์ได้ จะไม่มีความกล้าหาญได้เยี่ยงไร ถึงอย่างไรการทดสอบเพื่อเข้าตำหนักขบถจันทร์ เดิมก็คัดคนที่ไม่ตรงกับเงื่อนไขออกไปมากพอสมควรแล้ว
ฟ้าดินเทือกเขาทนทุกข์เปลี่ยนสี เสียงคำรามที่มาจากผู้บำเพ็ญขบถจันทร์ ความเดือดดาลกลืนภูเขาแม่น้ำ สั่นคลอนผืนนภา
เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ย่างเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ก้าวหนึ่ง เดินเข้าไปในโถงตำหนักสูงสุด นายกองก็เช่นกัน พริบตาที่ทั้งสองคนเข้าสู่โถงตำหนัก ก็กลายเป็นกระจกขบถจันทร์บนฟากฟ้า กะพริบวูบวาบขึ้นมา
คลื่นพลังส่งข้ามวูบหนึ่งแผ่ออกมา ระเบิดขึ้นด้านใน
นี่คือความสามารถอีกอย่างหนึ่งของตำหนักขบถจันทร์ มีเพียงเจ้าขบถจันทร์ที่ใช้ได้ สามารถเคลื่อนย้ายไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
ตอนนี้เสียงการส่งข้ามครืนครัน เสียงนายกองก็ดังก้องออกมาจากในตำหนักขบถจันทร์
“รูปสลักทั้งหลาย กลับสู่ตำแหน่ง!”
จากเสียงที่เปล่งออกมา รูปสลักผู้บำเพ็ญขบถจันทร์หลายรูปที่อยู่ด้านนอก มาพร้อมจิตสังหาร ความเด็ดเดี่ยว พุ่งมาทางตำหนักขบถจันทร์ ในบรรดานี้ยังมีหลี่เซียวซาน เสิ่นเชวี่ยจื่อรวมถึงผู้บำเพ็ญผนึกคลายลงเหล่านั้น
ส่วนพวกรัฐทายาทไม่ต้องเข้ามาในตำหนักขบถจันทร์ สำหรับพวกเขา การมุ่งหน้าไปยังที่ใดก็ตามในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ เดิมก็เป็นเพียงเสี้ยวความคิดเท่านั้น
ส่วนผู้บำเพ็ญทั่วไปของเทือกเขาทนทุกข์ ไม่ได้ถูกขอให้ร่วมสงครามครั้งนี้ ดังนั้นภายใต้การส่งด้วยสายตาของพวกหนิงเหยียนและหลิงเอ๋อร์ ระลอกคลื่นบนท้องฟ้ากระเพื่อมขึ้นลง กระจกขบถจันทร์ก็หายไปทันที
มุ่งหน้าไปที่ที่ราบสำนึกบาป ไปที่สาขาหลักของพระจันทร์สีชาด
การยุทธ์ต้องรวดเร็ว!
……
ใจกลางแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ที่ราบสำนึกบาป
ที่ราบนี้กว้างใหญ่ไพศาล มองไกลๆ ไม่มีเทือกเขาให้เห็น แผ่นดินทอดยาวผืนหญ้าสีแดง เมื่อลมพัดผ่าน ที่ราบทุ่งหญ้าก็สั่นไหวเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีชาด
และใจกลางที่ราบนี้มีทะเลสาบขนาดยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง
น้ำทะเลสาบประหนึ่งเลือด แผ่กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นออกมา ดูแล้วเหมือนน้ำในแม่น้ำเซ่นทมิฬไม่มีผิด ใจกลางทะเลสาบผืนนี้ มีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง
ยักษ์ที่สูงระฟ้าตนหนึ่ง ถูกสะกดให้คุกเข่าคารวะอยู่ตรงนั้น แม้จะอยู่ในท่าคุกเข่า แต่ร่างกายสูงใหญ่ของมัน กลิ่นอายที่แข็งแกร่ง ยังคงกลายเป็นแรงกดดันที่น่าครั่นคร้าม
ใต้เท้าของยักษ์ตัวนี้ บนเกาะมีตำหนักเทพอยู่มากมาย
แต่ทุกอย่างนี้อยู่ในความเลือนราง มองไม่ค่อยชัด ถูกแสงสีชาดผืนหนึ่งปกคลุม
แสงนี้มาจากท้องฟ้า มาจากดาวพระจันทร์สีชาด มองไกลๆ ด้วยการปกคลุมของแสงสีชาดนี้ ทุกอย่างในเกาะล้วนจึงเลือนรางไปหมด
และเมื่อเทียบกับโลกภายนอก สีสันนั้นแตกต่างกันมาก
สีแดงบริเวณอื่นล้วนเป็นสีแดงเพลิง มีเพียงที่นี่ที่ถูกดูแลเป็นพิเศษ สีแดงจึงเข้มมหาศาล
ฟ้าดินสีชาดที่นี่ แสงสีแดงไม่รู้จบรวมอยู่ที่เกาะ ปกคลุมเกาะจนกลายเป็นม่านสีเลือด กลิ่นอายชื่อหมู่เข้มข้นอย่างยิ่ง
อีกอย่าง ที่นี่ก็แตกต่างกับเมื่อก่อน ปกติได้ยินเสียงคารวะบนเกาะนี้เนืองๆ เสียงสรรเสริญชื่อหมู่ก็ดังมาเป็นระลอก ทว่าตอนนี้…เงียบสงัดไปหมด
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงสีแดงเข้มข้นผืนนั้นแทนที่ทั้งหมด
และตอนนี้เอง บนท้องฟ้าก็มีเสียงอัสนีดังมา สายฟ้าครืนครันนั่นทำลายความสงบของที่นี่ ขณะที่โหมเสียงก้องไม่หยุด มิติก็บิดเบี้ยว ราวกับมีวัตถุขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งจะส่งข้ามเข้าไปในสีแดงเข้มนี้
แต่จากการที่แสงสีแดงกะพริบวูบวาบ การส่งข้ามก็ล้มเหลว
พริบตาต่อมา กลางอากาศด้านนอกเกาะนี้ กระจกขบถจันทร์พลันปรากฏขึ้น ลอยอยู่กลางอากาศ หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในกระจกด้านในนั้น หลายสายตาที่จิตสังหารน่าครั่นคร้าม ก็จ้องเกาะที่ถูกสีแดงเข้มปกคลุมเขม็ง
พวกรัฐทายาทก็เดินออกมาจากความว่างเปล่าข้างๆ ในตอนนี้ มองออกไปเช่นกัน สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“กลิ่นอายของเทพเจ้า…”
ผู้อาวุโสเก้าสีหน้าเย็นชา พลันยกมือขวาขึ้น กระบี่มายาเล่มยาวเล่มหนึ่งก่อตัวขึ้นในมือเขา
กระบี่นี้สีดำสนิท แผ่ปราณพิฆาตน่าครั่นคร้ามออกมา ทำให้ฟ้าดินหมองหม่นลงทันใด
เขาฟาดกระบี่ไปทางม่านเลือดแดงเข้มตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เมื่อฟันกระบี่นี้ออกไป ก็ทอดยาวจากฟ้าจรดดิน ราวกับจะผ่าฟ้าออกได้ ท้องนภาสั่นสะเทือน หอบม้วนลมพายุไม่หยุด แผ่นดินครืนครัน สะกดทะเลสาบเลือดรอบด้านจนยุบเป็นแอ่ง
สุดท้าย ก็ฟาดลงไปบนม่านเลือดสีแดงเข้ม
ม่านเลือดส่งเสียงดังสนั่นเลื่อนลั่นา ด้านในแสงสีเลือดเกิดระลอกคลื่น เบาบางลงในพริบตา
พลานุภาพหนึ่งกระบี่ ทำให้ใจทุกคนโหมระลอกคลื่น
แต่ครู่ต่อมา หลังจากที่ทุกคนเห็นภาพด้านในผ่านม่านสีเลือดที่เบาบางทั้งหมด สีหน้าทุกคนก็พากันแข็งค้าง
ในม่านสีเลือด รูปสลักเจ้าเหนือหัวชัดเจนขึ้นเล็กน้อย เผยหน้าตาทั้งหมด และยังเผยให้เห็นผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดนับไม่ถ้วน…ที่อยู่รอบๆ นั้นด้วย
บนพื้นดิน ไม่มีแม้แต่คนเดียว ผู้บำเพ็ญทั้งหมดของพระจันทร์สีชาดสาขาหลัก ตอนนี้ขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ล้อมรอบรูปสลักเจ้าเหนือหัว ราวกับกำลังคุ้มครอง
พวกเขามีมากมายนับไม่ถ้วน จำนวนมหาศาล มองผ่านๆ ก็ยากจะนับจำนวน
พลังบำเพ็ญอ่อนแอที่สุดในนี้คือปราณก่อกำเนิด สมบัติวิญญาณมีอยู่ไม่น้อย หวนสู่อนัตตาเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน สวมชุดคลุมเทพพระจันทร์สีชาดสีแดงเลือด
จักรพรรดิตำหนักที่ได้รับการช่วยเหลือก็อยู่ในบรรดานี้ด้วย มองผ่านม่านเลือดจ้องผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์เขม็ง
ยังมีพวกเผ่าและสำนักที่พึ่งพาอาศัย รอรับมืออยู่แล้ว
และสิ่งที่ถูกพวกเขาล้อมรอบคุ้มกันไว้ ก็คือคราบร่างก่อนเป็นเทพชื่อหมู่!
คราบร่างก่อนเป็นเทพชื่อหมู่แผ่ขยายออกมานานแล้ว ร่างน่าเกลียดราวกับเป็นลำไส้ขนาดยักษ์ ปกคลุมรูปสลักเจ้าเหนือหัวส่วนศีรษะเอาไว้พร้อมกับบุตรเทวะขององค์ท่านด้านใน
ตอนนี้กำลังเลื้อยขยุกขยิก และเต้นขยับเป็นจังหวะ ราวกับด้านในมีหัวใจแฝงอยู่
กลิ่นอายเทพเจ้าเป็นระลอกแผ่ออกมาจากคราบร่างก่อนเป็นเทพชื่อหมู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรูปร่างภายนอกที่อำมหิต ควบคู่กับแสงสีเลือดที่บดบังม่านฟ้า ทุกอย่างนี้ ทำให้มันแปลกประหลาดถึงขีดสุด
“ท่าทาง พวกเราจะมาทันเวลา เจ้าสี่กำลังทำพิธีสำเร็จเป็นเทพพอดี!”
รัฐทายาทมองทุกอย่างนี้ เอ่ยด้วยเสียงขรึม
เมื่อเขากล่าวออกมา คนของตำหนักขบถจันทร์ก็ยิ่งเคร่งขรึม
เวลานี้ในโถงตำหนักสูงสุด สายตานายกองเปล่งประกาย สวี่ชิงขมวดคิ้ว เพราะเสียงเตือนสั่นระริกของบรรพจารย์สำนักวัชระกำลังสะท้อนก้องในสมองเขา
‘นายท่าน ท่าไม่ค่อยจะดีเลยขอรับ จากบทละครเหล่านั้นที่ข้าน้อยเคยอ่าน ปกติแล้ว ในช่วงทะลวงขั้นที่สำคัญของตัวเอกฟ้าประทาน มักจะมีพวกฝ่ายอธรรมขัดขวาง
‘ตอนนี้พวกเราเหมือนเดินอยู่ในเส้นทางฝ่ายอธรรม ตามบทเหล่านั้น ฝ่ายอธรรมทำไม่สำเร็จหรอกขอรับ ล้วนเป็นพวกตัวเอกฟ้าประทานที่ทะลวงขั้นได้ในเวลาสำคัญ จากนั้นก็สังหารเรียบ…’
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็เมินทันที
ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสแปดข้างๆ รัฐทายาทที่โลกภายนอก ก็กล่าวออกมาอย่างหมดความอดทน
“ลูกพี่นี่ท่านกำลังพูดไร้สาระหรือเปล่า ใครมองไม่ออก จะพูดเรื่องพวกนี้ทำไม จัดการเขาเลยก็จบแล้ว!”
ระหว่างที่คุยกันร่างของเขาก็พุ่งออกไป ประชิดม่านเลือดในพริบตา ยกมือขวากำหมัด
คลื่นพลังเตรียมสู่เทวะแผ่กระจาย โลกก่อร่าง คำรามลั่นซัดหมัดออกไป
จิตสังหารในดวงตาองค์หญิงหมิงเหมยฉายวาบ เก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แม่น้ำกาลเวลาพลันก็ปรากฏขึ้น แปรเป็นหอกยาวเล่มหนึ่ง ถูกนางกำไว้ในมือ จ้วงอย่างแรง แทงทะลุกาลเวลา อดีตและปัจจุบันประทับลงมาพร้อมกัน
ท่านย่าห้าหลับตาทั้งสองลง เหนือศีรษะนางมีรัศมีแสงลอยอยู่ ขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงๆ ปกคลุมฟ้าดิน จากนั้นก็พลันหดลง บดขยี้ไป
ส่วนรัฐทายาท เขาถลึงตามองน้องแปดผาดหนึ่ง ขณะโบกมือพลังก็ปะทุขึ้นตะปูเล่มหนึ่ง พุ่งออกจากร่างกาย
ตะปูนี้พลานุภาพสะเทือนฟ้า นี่คือตะปูเจ้าเหนือหัวนั่นเอง
พริบตาที่พุ่งออกมา พลังทำลายล้างก็พวยพุ่งขึ้น ตรงไปยังม่านเลือดสีแดงเข้ม ทุกจุดที่พาดผ่าน ความว่างเปล่าแตกซ่าน
และยังมีผู้อาวุโสเก้า เขาไม่พูดอะไรสักคำ เดินไปด้านหน้า นอกร่างกายมีกระบี่เล่มยาวสีดำที่แฝงจิตสังหารเอาไว้ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าหลายเล่ม ทุกเล่มมีปราณพิฆาตปกคลุม รวมตัวกันไม่หยุด ชั่วพริบตาก็กลายเป็นฝนกระบี่ ปกคลุมฟ้าดิน พุ่งหวีดหวิวไปทางแสงสีแดงเข้ม
เมื่อเห็นเช่นนี้ จักรพรรดิตำหนักในม่านเลือดสีแดงเข้มก็ทำปางมือ ฉับพลันผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดรอบด้านก็ระเบิดพลังบำเพ็ญออกมา ผสานกับม่านแสงสนับสนุนมัน ต่อต้านภายนอก
และว่าตามหลักการ การลงมือของเตรียมสู่เทวะทั้งห้า ประกอบกับตะปูเจ้าเหนือหัว ด้านในยังมีกระบี่แหลมคมของผู้อาวุโสเก้าอยู่อีก ในโลกใบนี้มีการป้องกันน้อยมากที่จะไม่ถูกทำลาย
แต่ม่านแสงสีแดงเข้มของพระจันทร์สีชาดสาขาหลักนั้นไม่ใช่
ม่านแสงนี้คือค่ายกลเทวะที่ก่อตัวขึ้นจากพลังชื่อหมู่ แฝงการประทานพรจากชื่อหมู่เอาไว้ นี่เป็นหนึ่งในขุมพลังของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ปกติสามารถต้านทานเตรียมสู่เทวะได้ และไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่ดาวชื่อหมู่อยู่บนฟากฟ้า ทุกอย่างล้วนถูกสนับสนุน ประกอบกับผู้บำเพ็ญที่อยู่ด้านใน…
ดังนั้น ท่ามกลางเสียงดังสะท้านสะเทือน ม่านแสงสีแดงเข้มนั้นบิดเบี้ยว ขวางหมัดของผู้อาวุโสแปด ต้านทานพลังวิเศษขององค์หญิงห้า กระทั่งเมื่อหอกยาวขององค์หญิงหมิงเหมยทะลวงเข้าไปก็ได้แค่สามชุ่น
ส่วนตะปูเจ้าเหนือหัวก็เช่นเดียวกัน ทะลวงไม่เข้า
มีเพียงกระบี่ของผู้อาวุโสเก้า ที่สุดท้ายรวมตัวกัน ขณะที่พุ่งไปอย่างแรง ตัดผ่าม่านแสงเป็นรอยร้าว แต่ชั่วพริบตา ภายใต้พลังประทานพรของชื่อหมู่ ม่านแสงสีแดงเข้มผืนนี้ก็ฟื้นฟูทันที
ทุกอย่างนี้ทำให้สีหน้าพวกรัฐทายาทเยือกเย็นมืดครึ้ม ไม่ใช่เพราะพวกเขาอ่อนแอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการสนับสนุนของเทพเจ้า พวกเขาไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้ในทันที
เวลานี้แต่ละคนต่างระเบิดพลังบำเพ็ญออกมาอีกครั้ง ผู้อาวุโสเก้าทางนั้นก็ยกมือ ปราณพิฆาตทั่วร่างปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในพริบตานี้ พวกเขาเตรียมใช้ไม้ตาย
และตอนนี้เอง เสียงหัวเราะของนายกอง ก็ดังออกมาจากในตำหนักขบถจันทร์ เขาเดินออกมา ย่างไปบนท้องฟ้า
“ท่านปู่ท่านย่าชรา ค่ายกลเทพเล็กจ้อยแค่นี้ ไม่ต้องให้พวกท่านลงมือหรอกขอรับ ข้าเข้าใจมันเป็นอย่างดี ให้ข้าจัดการเอง ข้าเตรียมตัวเพื่อสิ่งนี้มานานแล้ว
“ดูว่าข้าจะทำลายค่ายกลเทพอย่างไร!”
นายกองสีหน้าได้ใจ ในใจก็ตื่นเต้น เขาแอบคิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาตนออกโรงเสียที ตอนนี้จึงฮึกเหิม ยกมือขวาขึ้น โบกไปทางท้องฟ้าทันที
“เจ้าอ้วนน้อยเจ้าอ้วนกลางเจ้าอ้วนใหญ่ เจ้าเหลี่ยมเล็กเจ้าเหลี่ยมใหญ่ เจ้าอ้วนเจ้าเหลี่ยมทั้งหมดฟังคำสั่งข้า ปรากฏตัวออกมาเถิด!”
เมื่อเสียงนายกองดังออกมา ท้องฟ้าก็ครืนครัน ดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างแต่ละดวง ก็พลันจุติอยู่บนเมฆหมอก ทั้งหมดห้าดวง มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ แต่ละดวงล้วนแตกต่างกัน
ในบรรดานี้ยังรวมถึงสองดวงที่สวี่ชิงเคยเห็นริมแม่น้ำในวันนั้น
ยิ่งที่ฟากฟ้าไกลๆ ก็ปรากฏสายรุ้งยาวสามสาย ยังมีดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นอีกสามดวง ขานรับการอัญเชิญของนายกอง พุ่งออกมาจากเผ่าอื่น
ดวงอาทิตย์แปดดวง ปรากฏบนฟากฟ้า ส่องแสงพร่างพราย แผดเผาพร้อมกัน
ลมเมฆพลันเปลี่ยนสี ทั้งฟ้าดินสว่างไสวขึ้นทันตา
“เรื่องแรกที่ข้าทำเมื่อมาถึงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ก็คือรวบรวมดวงอาทิตย์ ทุกอย่างก็เพื่อวันนี้!”
นายกองสีหน้าได้ใจ คำรามเสียงดัง
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าขอยืมดวงอาทิตย์ที่เอวเจ้าหน่อย!”
เวลานี้ร่างของสวี่ชิงเดินออกมาจากตำหนักขบถจันทร์ เขามองดวงอาทิตย์ทั้งแปดบนฟากฟ้า และปลดลูกเหล็กที่เอวอย่างไม่ลังเล โยนขึ้นไปบนท้องฟ้า
จากการที่ปลดลูกเหล็กออก กลิ่นอายสวี่ชิงก็ระเบิดครืนครัน รู้สึกสบายไปทั่วสารพางค์กาย ทำให้ดวงตาเขาเปล่งประกายแรงกล้า
หลังจากที่ลูกเหล็กนี้ลอยขึ้น ก็ไปหมุนวนกับดวงอาทิตย์ทั้งแปด แผดเผาขึ้นในพริบตา แสงเจิดจ้ายิ่งกว่าก่อนหน้า
ดวงตานายกองฉายแววได้ใจ ยกมือขึ้นโบกอีกครั้ง เส้นผมกระจุกหนึ่งลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า
เส้นผมนี้เป็นเส้นผมของเทพชั้นสูง มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลางอากาศ สุดท้ายก็ทะลวงเดวงอาทิตย์ทั้งเก้าเชื่อมเข้าด้วยกัน กลายเป็นวงแหวนเก้าสุริยาวงหนึ่ง
ความน่ากลัวของวงแหวนนี้ บดบังแสงสีแดงบนท้องฟ้า กลบสีแดงเข้มของพระจันทร์สีชาด
ระเบิดขึ้นในชั่วพริบตา!