ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 687 วิหคทองแรดสวรรค์ ศึกตัดสินเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ
บทที่ 687 วิหคทองแรดสวรรค์ ศึกตัดสินเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ
ที่ถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนี้ท่วมจมไปด้วยยังมีคนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่
หากมีเนตรเทพเจ้าแล้วล่ะก็ เช่นนั้นตอนนี้มองจากที่สูงลงไป ก็จะเห็นว่าในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ซัดโหมในที่แห่งนี้มีเกาะ มีรูปสลักเจ้าเหนือหัว และยังมีผู้บำเพ็ญอีกนับไม่ถ้วน
พวกเขาจมอยู่ในนั้น นิ่งไม่ไหวติง
เวลาของทุกคนถูกหยุดไว้ในเสี้ยวขณะก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่มีชีวิตไม่ตาย หยุดนิ่งไปพร้อมกับห้วงเวลา
แต่ในผู้บำเพ็ญเหล่านี้หายไปเก้าคน!
พวกรัฐทายาททั้งห้าคนไม่อยู่ หลี่เซียวซาน เสินเชวี่ยจื่อ เฉินเอ้อร์หนิวและสวี่ชิง ต่างหายไปไร้ร่องรอยเช่นกัน
ในพริบตาที่ประตูแห่งกาลเวลาเปิดออกพวกเขาก็ถูกวิชาต้องห้ามขององค์หญิงหมิงเหมยส่งเข้าไปในห้วงเวลาของบุตรเทวะพระจันทร์สีชาดในอดีตแล้ว กระจายไปตามช่วงเวลาต่างๆ
เพื่อรับประกันว่าสามารถทำลายทุกช่วงเวลาได้อย่างแน่นอน ช่วงเวลาที่ทุกคนถูกส่งเข้าไปล้วนจัดแบ่งตามพลังบำเพ็ญของพวกเขา อย่างทางนายกองทางนั้น ช่วงเวลาที่เขาถูกส่งเจ้าไปคือช่วงที่บุตรเทวะทะลวงระดับแก่นลมปราณ ย่างเข้าสู่ระดับปราณก่อนกำเนิด
ส่วนหลี่เซียวซานเป็นในเสี้ยวขณะที่บุตรเทวะทะลวงระดับสมบัติวิญญาณ ก้าวสู่ระดับหวนสู่อนัตตา
ส่วนเสินเชวี่ยจื่อเป็นในตอนเสี้ยวพริบตาที่บุตรเทวะทะลวงโลกใบใหญ่ ก้าวสู่ระดับเตรียมสู่เทวะ
ส่วนสวี่ชิงทางนี้ก็เช่นกัน ช่วงเวลาที่เขาถูกจัดแบ่งเป็นในช่วงทันทีที่บุตรเทวะทะลวงระดับปราณก่อกำเนิด ก้าวสู่ระดับสมบัติวิญญาณ
มีเพียงบุตรเทวะในช่วงเวลาทั้งหมดนี้ถูกสังหาร ถึงจะทำให้พิธีของเขาล้มเหลวลงอย่างสมบูรณ์ เพลิงเทวะดับไปเอง
เหตุที่บุตรเทวะในทุกช่วงล้วนอยู่ในระดับขั้นต้นของขอบเขตใหญ่ นั่นเพราะเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการทำพิธีสำเร็จเทพของเขา สิ่งที่เขาต้องการคือพลังเวลาที่เกิดขึ้นในเสี้ยวพริบตาที่พี่น้องทุกคนของเขาทะลวงขอบเขตใหญ่
พลังเวลาการทะลวงขั้นพวกนี้ก็คือขั้นแรกในการสำเร็จเทพของเขา และขั้นที่สองคือหลังจากที่เขาหลอมรวมเวลาพวกนี้แล้ว ทะลวงขั้นจากอ่อนแอไปจนถึงขั้นแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
เหมือนกลิ้งก้อนหิมะ ปะทุพลังจากระดับรวมปราณในช่วงเวลาทั้งสิบสี่ รวมเป็นพลังอำนาจที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน และสุดท้ายก็นำช่วงเวลาการทะลวงขั้นที่รวมจากพี่น้อง จากตัวเอง มาแทนที่ขั้นสุดท้ายของพิธีสำเร็จเทพ
วิธีนี้ไม่เหมือนกับพิธีสำเร็จเทพของชื่อหมู่ แต่อัศจรรย์เหมือนกัน ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้
แต่ว่าน่าเสียดาย การปรากฏตัวขึ้นของพวกรัฐทายาททำให้พิธีที่สำเร็จอย่างแน่นอนนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
ตอนนี้ฟ้าดินคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น แม่น้ำซัดโหมบ่า ท่ามกลางฟองคลื่นจะเห็นภาพเก่าแก่โบราณเป็นฉากๆ ในนั้นมีเงาร่างของพวกรัฐทายาท และมีร่างของนายกอง
ในฟองคลื่นในนั้น สวี่ชิงที่หายไปจากแม่น้ำ กำลังปรากฏตัวขึ้นมา
ในเสี้ยวพริบตาที่เขาปรากฏตัวขึ้น พลังบำเพ็ญทั่วทั้งร่างก็โคจรขึ้นทันที ในดวงตาฉายประกายวาววับ จ้องมองรอบๆ
นี่เป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยใบหนึ่ง ท้องฟ้าสดใส ไร้เมฆบดบัง ม่านฟ้าสีฟ้าราวแพรต่วน ทำให้คนรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง
ลมที่พัดมา นำกลิ่นหอมหวานของหญ้ามาด้วย ยิ่งมีความรู้สึกเบาสบายกระทบมาบนร่าง เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เหมือนจะซึมซับไปในจิตใจ
ในขณะที่ผืนดินเขียวขจี ต้นไม้เป็นพุ่มชอุ่ม ก็มีพลังวิญญาณเข้มข้นตลบอวลอยู่ในฟ้าดิน
มองไกลๆ กระทั่งว่าบางแห่งพลังวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นหมอก ทำให้โลกแห่งนี้ราวกับโลกเซียน จะเห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากวิ่งทะยานไปในขุนเขา ทั้งยังมีวิหคเซียนบินวนบนท้องฟ้า ส่งเสียงดังกังวาน
ประดุจสรวงสวรรค์
พื้นดินก็มีแม่น้ำเช่นกัน แม่น้ำใสกระจ่าง ปลาตัวอ้วนท้วน โลกทั้งใบราวโลกในอุดมคติ เป็นโลกที่สวี่ชิงชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน
โลกที่เขาอยู่ ไอพลังประหลาดตลบอวล เทพเจ้าพักผ่อนนิทรา พลังวิญญาณถูกปะปนราวพิษ ผู้คนทั้งหลายน่าสมเพศเวทนาราวสัตว์เดรัจฉาน
แต่ที่นี่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
สวี่ชิงเงยหน้า มองไปทางท้องฟ้า
‘เสี้ยวหน้าเทพเจ้า…’
บนท้องฟ้า วัตถุขนาดมหึมาที่อยู่มาโดยตลอดในความทรงจำของเขา ไม่มีอยู่ในโลกใบนี้!
เสี้ยวหน้าเทพเจ้ายังไม่มาเยือน
“ช่วงเวลานี้ แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ยังไม่เจอกับเคราะห์ภัยพิบัติ จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวยังคงปกครองแดนต้องประสงค์ เผ่ามนุษย์ในตอนนี้…ถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงที่สุดในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์”
สวี่ชิงพึมพำ เดินไปข้างหน้า เขาต้องหาบุตรเทวะที่ทะลวงขั้นอยู่แถวนี้ให้เจอ
และจากการเคลื่อนไปข้างหน้าของเขา วิหคเซียนแต่ละตัวๆ ขณะที่บินอยู่ก็ร่อนลงมาข้างหน้าเขา แต่ไม่นานนักพวกมันก็บินอีกครั้ง วนอยู่รอบๆ สวี่ชิง ฉายความสนิทสนมออกมา
อสูรศักดิ์สิทธิ์บนพื้นก็เช่นกัน หลังจากที่พวกมันเห็นสวี่ชิงก็ต่างส่งเสียงคำราม คล้ายกำลังทำความเคารพ
ที่พวกมันทำความเคารพคือเผ่ามนุษย์
สำหรับภาพนี้ ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ขึ้น เขานึกถึงความต่ำต้อยของฐานะเผ่ามนุษย์ข้างนอก
แต่ในช่วงเวลานี้ ทุกอย่างนั้นไม่เหมือนกัน ภูเขาสายน้ำที่นี่ อสูรศักดิ์สิทธิ์วิหคเซียนที่นี่ล้วนฉายความสุขสงบออกมา
สวี่ชิงมองไปรอบๆ เขาอยากไปในที่ที่ไกลกว่านี้ ไปดูโลกที่ยังไม่เจอกับเคราะห์ภัยพิบัติสักหน่อย
แต่เขารู้ดี ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือสังหารบุตรเทวะ
ดังนั้นสวี่ชิงจึงสูดลมหายใจลึก ร่างเพียงไหววูบก็ทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่มีลูกเหล็กผูกติดอยู่กับตัว สวี่ชิงในตอนนี้แค่ขยับเล็กน้อย ความเร็วก็น่าตื่นตะลึง ทิ้งเพียงเงาคงค้างเอาไว้ จากไปไกลทันที
เขาแผ่จิตเทพออกไป ค้นหาสุดกำลัง เจ้าเงาใต้เท้าก็ยิ่งแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ร่วมค้นหาไปด้วย
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป สวี่ชิงที่แปรเปลี่ยนเป็นรุ้งยาวบนม่านฟ้า เงาร่างพลันหยถดชะงัก พลันหันไปมองทางทิศตะวันออก
‘อยู่ตรงนั้น!’
บริเวณที่สายตาของเขามองไปมีระลอกคลื่นพลังสมบัติวิญญาณส่งมา
สวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เพียงไหววูบก็พุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ตรงไปทางทิศตะวันออก ไม่นานนักก็ก้าวข้ามระยะทางพันลี้ พื้นที่แอ่งกระทะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา
พื้นที่แอ่งกระทะมีขนาดถึงร้อยลี้ เหมือนถูกหินนอกนภาขนาดมหึมาพุ่งชน รอบๆ จะเห็นรอยขีดแนวตั้งเป็นทางๆ ที่ใจกลางพื้นที่แอ่งกระทะ ตรงนั้นมีแรดสีดำตัวมหึมาตัวหนึ่ง
แรดตัวนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารนัก รัศมีอำนาจทรงพลังยิ่งใหญ่ดุจกลืนภูเขาและแม่น้ำได้ ทั่วทั้งร่างแผ่ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวออกมา ตอนนี้มันกำลังเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามลั่น
เสียงทรงพลังสะท้านสะเทือนทะลุเหล็กหินทลาย กึกก้องเลื่อนลั่น ท้องฟ้าเกิดระลอกคลื่นเพราะเหตุนี้ เกิดคลื่นเป็นวงๆ
ยิ่งมีแสงมงคลสาดมาจากฟ้า ปกคลุมไปทั่วตัวแรด คลุมเป็นชุดกราะให้มัน
ท่ามกลางความรางเลือนจะเห็นสมบัติลับคลังหนึ่งปรากฏวูบวาบในตัวแรด
ทันทีที่สวี่ชิงมาถึง แรดตัวนี้ก็สัมผัสได้ทันควัน พลันหันหน้ามา จมูกพ่นหมอกออกมาสองกลุ่ม มองไปอย่างเย็นชา
สวี่ชิงร่างหยุดชะงัก สายตาประสานกับแรด
ในสายตาของเขา แรดตัวนี้เป็นภาพมายา ในส่วนลึกของมันมีชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
หน้าตาของเขางามสง่า สีหน้าเย็นชา ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายอันตรายกลุ่มหนึ่งออกมา ยิ่งมีแม่น้ำแห่งกาลเวลาวนล้อมอยู่รอบกาย
แม่น้ำสายนั้นไม่ใช่ของเขา แต่เป็นวิชาต้องห้ามขององค์หญิงหมิงเหมย
“มดปลวก”
ชายหนุ่มชุดดำเอ่ยสงบนิ่ง ยกมือขวาขึ้นชี้ไปทางสวี่ชิง
จากการชี้นี้แรดสีดำนอกร่างของเขาคำรามขึ้นมาอีกครั้ง ร่างขณะที่ส่งเสียงดังลั่นก็ขยายใหญ่ขึ้นมา ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายก็มีขนาดถึงหมื่นจั้งแยกออกมาจากนอกร่างชายหนุ่ม ประดุจดาวตกสีดำ พุ่งมาหาสวี่ชิง
ขณะพุ่งมาข้างหน้า ฟ้าดินสั่นคลอน กลิ่นอายน่ากลัวเป็นระลอกๆ ปะทุขึ้นมาจากร่างแรดตัวนี้ รัศมีอำนาจทรงพลัง ราวมีพลังทำลายล้างบดขยี้ทุกสิ่ง ตอนนี้พุ่งมาด้วยรัศมีดุจถล่มภูเขาทลายสมุทร ประชิดเข้ามาในพริบตา
นั่นคือเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ!
ความยิ่งใหญ่ของพลังเกินกว่าระดับจักรพรรดิทั้งหมดที่สวี่ชิงเคยเจอมา
สวี่ชิงดวงตาฉายประกายวาววาบ เขาเพิ่งทะลวงระดับปราณก่อกำเนิดก้าวสู่ระดับสมบัติวิญญาณ หากเผชิญหน้ากับคนอื่นๆ ในใจเขามีความมั่นใจ แต่คนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้คือบุตรแห่งเจ้าเหนือหัว
ต่อให้อีกฝ่ายตอนนี้จะมีพลังบำเพ็ญเท่ากับตน แต่สวี่ชิงไม่ประมาทแม้แต่น้อยทั้งยังไม่ท้อถอย ในดวงตากลับฉายจิตต่อสู้ออกมา
เขาอยากรู้ว่ารากฐานพลังที่ตนฝึกบำเพ็ญสะสมมาจนถึงตอนนี้ เทียบกับอีกฝ่าย ใครจะอ่อนแอ ใครจะแข็งแกร่ง!
ตอนนี้จิตต่อสู่ปะทุขึ้นมาในใจ สวี่ชิงยกมือขวาขึ้น ประสานปางมือแล้วชี้ไป ทันใดนั้น ภาพสัญลักษณ์วิหคบนร่างก็ร้อนวาบขึ้นมาทันที จากนั้นเสียงคำรามก็ดังมา วิหคทองทะยานขึ้นมาจากร่างของสวี่ชิง
หางพันหางแผ่ไปทั่วสารทิศ ร่างสีดำฉายพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ยิ่งมีเปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นมาในทันที แผ่ลามเป็นทะเลเพลิง พุ่งไปยังแรดที่บุกมา ทะยานไปอย่างเร็วรี่
เปลวไฟลุกไหม้ ทะเลเพลิงพวยพุ่ง เพียงพริบตาก็ปะทะกัน
ทะเลเพลิงคำรามลั่น หอบม้วนไปรอบๆ แรดดำพลังทั่วร่างน่าครั่นคร้าม ทะลวงซึ่งทุกสิ่ง ชนไปข้างหน้าวิหคทอง แต่สิ่งที่รอมันอยู่คือการพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วของหางพันหางที่แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธคม เป็นวิหคทองที่อ้าปากกว้าง ใช้วิชาหลอมหมื่นวิญญาณดูดมา
เพียงพริบตา แรดดำทั่วทั้งร่างสะท้านเฮือก บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวที่นั่งขัดสมาธิอยู่พื้นที่แอ่งกระทะ คิ้วขมวดเล็กน้อย แค่นเสียงขึ้นจมูก
“จันทร์คำรน!”
คำพูดเขาเพียงดังออกมา ทั่วทั้งตัวแรดสีดำก็แผ่แสงสีดำออกมา รอบๆ แปรเปลี่ยนเป็นโพรงดำมืด เงยหน้าคำราม สั่นสะเทือนวิหคทองออกไป
ท้องฟ้าสั่นคลอน ดวงจันทร์สีขาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนผืนฟ้า เชื่อมต่อกับมันอย่างรางเลือน ทำลายซึ่งทุกสิ่ง วิหคทองจำต้องถอยมา
นี่ก็คือพลังรากฐานเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของบุตรชายคนที่สี่เจ้าเหนือหัว ชื่อว่าแรดสวรรค์จันทร์คำรน
โดยปกติแล้ว ผู้ที่สามารถสำแดงเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิจนถึงขั้นนี้ได้มีให้เห็นไม่มากนัก โดยเฉพาะระดับขั้นของเขาในตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่สมบัติวิญญาณเท่านั้น
แต่เสี้ยวขณะต่อมา สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ประสานปางมือชี้ออกไป ทันใดนั้น วิหคทองที่ถอยหลังทั่วทั้งร่างแห้งเหี่ยว เลือดเนื้อหายไป ทวนยาวสีดำเล่มหนึ่งปรากฏออกมาจากในร่างของมัน
ทวนเล่มนี้เพียงปรากฏขึ้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี สายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างราวเสียงคำรามของวิถีสวรรค์ พื้นที่แห่งนี้สั่นสะเทือน คล้ายว่าไม่อนุญาตให้ทวนเล่มนี้ลงมาเยือนในฟ้าดิน
แต่มันก็ปรากฏลงมาแล้ว
พลังรากฐานของเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ สวี่ชิงก็สัมผัสรับรู้ออกมาแล้วเหมือนกัน
บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที ที่มากกว่านั้นคือความคาดไม่ถึง ทวนสีดำมาพร้อมด้วยพลังทำลายล้างโลก พุ่งไปทางแรดดำทางนั้นทันที
ต่อให้ดวงจันทร์ขาวลงมาเยือนสกัดกั้น ก็ยังคงไร้ประโยชน์ เสี้ยวขณะต่อมา จากเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว จากการระเบิดหอบม้วนอย่างรุนแรงของคลื่นกระแทกรูปวงแหวน ดวงจันทร์ขาวแตกเป็นเสี่ยงๆ ทวนยาวพุ่งทะลุทุกสิ่ง แทงไปบนตัวแรดอย่างเต็มแรง
ปักจากหว่างคิ้วของมัน ทะลุไปทั่วร่าง ปักไปบนพื้น
แรดสวรรค์ครวญครางโหยหวน ผืนดินคำรามลั่น จิตต่อสู้ในดวงตาสวี่ชิงฮึกเหิมองอาจ ก้าวเท้าตรงไปยังบุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัว ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายสีหน้าฉายความเย็นเยือกออกมา
“น่าสนใจ”
ขณะที่เสียงของเขาดังก้องขึ้นมา ในใจของสวี่ชิงก็มีเสียงต่ำทุ้มของบรรพจารย์สำนักวัชระดังมา
“นายท่าน จากประสบการณ์อ่านนิยายมาเนิ่นนานของข้า ผู้ใดที่พูดจาวางท่าให้ดูมีมาดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวร้าย กำหนดเอาไว้แน่ชัดแล้วว่าต้องพ่ายแพ้ พวกเราชนะแน่แล้ว นายท่านสู้ๆ!”
บรรพจารย์ก็อับจนปัญญา เขารู้สึกว่าหากตัวเองไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็นอีก กังวลว่าศึกนี้จะถูกส่งให้เป็นหน่วยกล้าตาย ดังนั้นเขาเค้นความคิด แสดงความสำคัญของตัวเองออกมา
สวี่ชิงไม่สนใจ ก้าวประชิดไปด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง พุ่งไปทางพื้นที่แอ่งกระทะ
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวคนนั้นก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน เพียงพริบตาก็ทะยานขึ้นฟ้า หลังจากหลบสวี่ชิง มือขวาก็กดไปทางท้องฟ้า คล้ายว่าคว้าอะไรเอาไว้ แล้วกระชากเต็มแรง
ทันใดนั้นท้องฟ้าแยกออกเป็นรอยแยกทางหนึ่ง หมอกดำมหาศาลทะลักล้นออกมา ที่ใจกลางของหมอกดำนั่น เป็นกลองป๋องแป๋งสีดำอันหนึ่ง
หน้ากลองทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งพิมพ์ภาพผีร้ายเอาไว้ ด้านหนึ่งพิมพ์ภาพหมื่นเผ่ากรีดร้องโหยหวน ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้มันปรากฏลงมาอย่างช้าเนิบ บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวคว้ามันไว้ในมือ แผ่กลิ่นอายราวหมึกออกมา กัดกร่อนทุกสิ่ง
กระทั่งว่าพลังวิญญาณที่นี่ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เกิดความรู้สึกบิดเบี้ยวขึ้น
จากการที่เขาเขย่ามันเบาๆ เสียงกลองป๋องแป๋งๆ ดังก้องไปทั่วทิศ
พื้นที่ที่เสียงดังไป หมื่นสรรพสิ่งแห้งเหี่ยวโรยรา
นั่นคือวิชาคำสาปพิษ
“น่าสน”
สวี่ชิงมองกลองนั่นผาดหนึ่ง ในดวงตาดำสนิท เอ่ยเสียงราบเรียบ
บรรพจารย์สำนักวัชระสูดลมหายใจลึก มีใจคิดอยากจะเตือน แต่คิดๆ แล้วก็รีบเปลี่ยนคำพูด
“ประโยคนี้พูดออกมาจากปากของนายท่าน เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน รัศมีอำนาจต่างกัน พวกเราจะทำลายความคิดแบบดั้งเดิม ต้องชนะอย่างแน่นอน!”