ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 689 ก็แค่แกร่งกว่าเจ้า!
บทที่ 689 ก็แค่แกร่งกว่าเจ้า!
ประโยชน์ของแสงประกายอรุณ ตอนสวี่ชิงพลังบำเพ็ญปราณก่อกำเนิดก็เปล่งแสงคมออกมาแล้ว สามารถลบล้างวิชาทิ้งได้!
และต่อมาภายใต้การชี้แนะของรัฐทายาทกับองค์หญิงหมิงเหมย สวี่ชิงจึงพัฒนาขึ้นอีกขั้นและสามารถลอกเลียนวิชาต่างๆ กระทั่งเขาทะลวงขั้นปราณก่อกำเนิดย่างสู่สมบัติวิญญาณ การก่อตัวของของสมบัติลับคลังที่หนึ่ง แสงประกายอรุณก็แปรเป็นภูเขาแม่น้ำสรรพสิ่งอยู่ด้านใน
ตอนนี้ พลังในการลอกเลียนแบบของมัน ไปถึงขึ้นที่ไม่ธรรมดาแล้ว จากการส่องแสงรอบตัวสวี่ชิงในตอนนี้ ตะเกียงเพลิงทมิฬทั้งเจ็ดก็ก่อร่างขึ้นมาทีละใบ
ใบหน้าผีแบบเดียวกัน แผดเผาแบบเดียวกัน!
แม้จะดูเลือนราง แตกต่างกับที่บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่สำแดงออกมาอยู่บ้าง แต่ทุกดวงที่ปรากฏขึ้นมา ก็สนับสนุนสวี่ชิงในระดับหนึ่ง
ขณะที่กลิ่นอายของเขาครืนครัน ปะทุขึ้นต่อเนื่อง หลังจากผ่านไปเจ็ดครั้ง ทั้งร่างเขาก็มีพลังอำนาจระดับผลักภูเขาล่มทะเลรวมกัน ยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน หลับตาลงราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้าดิน
แสงประกายอรุณด้านหลังเขากะพริบวูบวาบ ตะเกียงเพลิงทมิฬทั้งเจ็ดลอยวนล้อมรอบตัวเขาเหมือนโคมไฟ แปลกประหลาดน่าหวาดหวั่น
เมื่อรวมกับใบหน้าหล่อเหลาของเขา ผมยาวปลิวสยาย สวี่ชิงยามนี้ เทียบกับบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่แล้ว ราวกับว่า…เขาต่างหากที่เป็นบุตรของเจ้าเหนือหัว
ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจเช่นนั้น ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ลมกรรโชกหวีดหวิว
พริบตาต่อมา หลังจากที่ตะเกียงเพลิงทมิฬทั้งเจ็ดปรากฏขึ้น สวี่ชิงลืมตาทั้งสองขึ้น มองที่บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่อย่างเย็นชาไป
วิชาพิษต้องห้าม ปะทุออกมาก่อน
ไอพลังประหลาดเกิดขึ้นมาเอง วิถีพิษแพร่กระจาย คำสาปเทพมาเยือน
และสิ่งนี้เป็นเพียงแค่บทเกริ่น เพื่อให้พลานุภาพของคำสาปเพลิงทมิฬเจ็ดตะเกียงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
จากนั้นไฟตะเกียงทั้งเจ็ดก็วูบไหว ในเปลวเพลิงปรากฏร่างเงาของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่!
เมื่อภาพนี้สะท้อนเข้ามาในดวงตาบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ ในใจก็อดเกิดคลื่นใหญ่โหมซัดไม่ได้ ดวงตาฉายแววไม่อยากเชื่อ ในสมองราวกับมีอัสนีฟาดผ่าครืนครัน
เขาไม่มีทางไม่พิศวง
วิชาเวทของตัวเอง ถูกอีกฝ่ายลอกเลียนไปในเวลาเพียงชั่วครู่ พลังวิเศษเช่นนี้ สติปัญญาเช่นนี้ เขาไม่เคยเจอมาก่อน
ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญมากมายนัก ขณะที่สองมือทำปางช่องตารางหลายช่องก็จำแลงขึ้นรอบตัวเขา ขณะที่ต้านทานสุดกำลัง ร่างกายก็ถอยฉากออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
ชั่วพริบตา ดวงตาสวี่ชิงฉายจิตสังหารวาบ ไฟตะเกียงทั้งเจ็ดที่จำลองขึ้นมาในแสงประกายอรุณรอบตัวเขา พลันมอดดับลงสามดวง
บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ตัวสั่นสะท้าน ช่องตารางนอกร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ จนเผยให้เห็นร่างจริง เส้นผมของเขาแห้งกรอบ ร่างกายสั่นเทา กระอักเลือดออกมา
สวี่ชิงไม่ลังเล ดับทิ้งตะเกียงเพลิงทมิฬที่เหลืออีกสี่ดวงทั้งหมด
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง ดังออกมาจากปากของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ เขากระอักเลือดติดต่อกันเจ็ดแปดครั้ง ขณะที่ร่างโซซัดโซเซพลังทั้งหมดก็หายไปจนสิ้น ทั้งกายคนไม่อยู่ในสภาพอาภรณ์หรูหราอีกต่อไป แต่กลับมีคราบสกปรกขึ้นมาราวกับมดปลวก ถูกสะกดลงไปที่พื้น
ทว่าเขายังไม่ตาย!
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิชาผนึกต้องห้ามของเจ้าเหนือหัว แสงประกายอรุณของสวี่ชิงยากจะลอกเลียนออกมาได้อย่างหมดจด ตอนนี้จึงสำแดงออกมาได้เพียงสามส่วนเท่านั้น
แต่ต่อให้แค่สามส่วน ไม่มีคำสาปถึงตาย ทว่าเมื่อมีพิษของสวี่ชิงเป็นตัวเหนี่ยวนำ พลังสังหารก็ยังน่ากลัว
บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ไม่ใช่แค่ร่างกายกับจิตวิญญาณที่โดนการดับตะเกียงทำร้ายจนเจ็บสาหัส พลังพิษต้องห้ามก็แผ่ลามอยู่ในร่างกายเขา กัดกร่อนเลือดเนื้อ ทำลายจิตใจ ทำให้ปราณดำกระจายไปทั่วร่าง กลิ่นอายความตายเข้มข้น
และไม้ตายของสวี่ชิงยังไม่หมด ถือโอกาสที่อีกฝ่ายอ่อนแอในตอนนี้ ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นโบกลง อสูรสมุทรบรรพกาลพลันแผดเสียงคำราม ทะยานขึ้นฟ้า กลายเป็นแสงขาว แปรเป็นดาบสวรรค์เล่มหนึ่ง
ขณะที่นิ้วสวี่ชิงวาดลงมา ดาบก็ถูกจิตเทพสวี่ชิงควบคุม ฟาดฟันลงมาจากท้องฟ้าไปยังบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ฉับพลัน
ดาบนี้แฝงไว้ด้วยมรรคา เสี้ยวขณะที่ฟาดลงมาท้องฟ้าฉีกขาด พื้นดินแตกแยก
สีหน้าบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การลงมือของสวี่ชิงราวกับสายอัสนี ไม่ให้โอกาสเขาได้พักแม้แต่น้อย วิกฤติเป็นตายปะทุขึ้นมาในใจทันที
ช่วงวิกฤต สีหน้าบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่โหดเหี้ยม ยกมือขวาขึ้นฟาดไปที่หน้าผากอย่างแรง สร้างบาดแผลเลือดโชกบนใบหน้าห้าแผล
เลือดสดไหลอาบแต่ไม่มากนัก และมองเข้าไปในแผลบนหน้า จะเห็นว่าเลือดเนื้อด้านในกำลังขยับขยุกขยิก เปล่งแสงสีแดงออกมา
ในยุคสมัยนี้ ทั้งๆ ที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ายังไม่มาเยือน กระทั่งชื่อหมู่ยังไม่กลายเป็นเทพเจ้า ทว่าพริบตานี้ แสงที่ส่องออกมาจากใต้บาดแผลบนหน้าของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ กลับเปี่ยมกลิ่นอายของเทพเจ้าอย่างเห็นได้ชัด
นั่นคือพลังอำนาจพระจันทร์สีชาด ปะทุครืนครันขึ้นมาในตอนนี้ ก่อตัวเป็นแสงสีเลือด ขณะที่อาบย้อมอาณาเขตทั้งหมดจนแดงฉาน ทะเลเลือดอีกผืนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“ตาย!”
บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่คำรามอย่างโหดเหี้ยม มือใหญ่โบก ทะเลือดก็พลันปั่นป่วน ศีรษะที่โผล่ออกมาแค่ดวงตาลอยปรากฏมานับไม่ถ้วน
พวกมันแช่อยู่ในทะเลเลือด มองไม่เห็นใต้จมูกที่จมอยู่ในน้ำ มีเพียงดวงตาที่หลับอยู่ซึ่งทำให้รู้สึกน่าสะพรึง โดยเฉพาะจำนวนที่มีมากเกินไป อัดแน่นไม่หมด น่าขนลุกขนชัน
พริบตาต่อมา พวกมันก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน มองมาทางสวี่ชิง
คำสาปพระจันทร์สีชาด ปะทุขึ้นในพริบตา
ดาบสวรรค์สั่นไหวกลายเป็นคมเลือด เมื่อสัมผัสกับทะเลเลือดรวมถึงสายตานับไม่ถ้วน ก็ส่งเสียงกระทบกระแทกออกมากลางอากาศ แสงประกายอรุณด้านหลังสวี่ชิงถูกแสงสีเลือดย้อมไปในเสี้ยวขณะนี้ สีรุ้งกลายเป็นสีเดียว!
ภาพนี้หากเป็นสมบัติวิญญาณคนอื่นไม่มีทางต้านทานได้เป็นแน่ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นพลังอำนาจ แต่สำหรับสวี่ชิง เขามองบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ในแสงสีเลือด ในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดถึงขีดสุด
‘สิ่งที่เขาทำได้ ข้าก็ทำได้…’
หลังจากความคิดนี้พาดผ่านสมองสวี่ชิง เขาก็ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เมื่อย่างเท้าลง เลือดสดมหาศาลก็ไหลบ่าออกจากร่างเขา รวมกันรอบๆ และใต้เท้า
มากขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาก็โหมคลื่นขึ้นมา กลายเป็นทะเลเลือดแบบเดียวกับบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ หอบม้วนความว่างเปล่า สาดซัดไปทะเลเลือดของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่อย่างแรง
เสียงครืนครันสะเทือนเลื่อนลั่น
มองไกลๆ ทะเลเลือดระหว่างฟ้าดินที่มีต้นกำเนิดเดียวกันสองผืนสาดซัดกัน คลื่นโหมกระหน่ำครืนครัน อำนาจทัดทานกัน คำสาปต่อต้านกัน และเกิดการผสานกันขึ้นมา
เหนือยทะเลเลือดนี้ สวี่ชิงในชุดคลุมยาวสีดำ ยืนอย่างองอาจประหนึ่งใบเรือ
เบื้องหน้าเขาไม่ไกลนัก แม้บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่จะยืนอยู่เหนือทะเลเลือดเช่นกัน แต่สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววเยือกเย็นมืดหม่น
อำนาจพระจันทร์สีชาดของเขา ไม่อาจสำแดงออกมาได้อีกต่อไป
แต่จิตสังหารก็ไม่ได้ลดลง ยามนี้ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปบนท้องฟ้า
“นภาเป็นดาบ!”
เมื่อเขากล่าวออกมา ท้องฟ้าก็สั่นสะเทือน เกิดรอยแยกนับไม่ถ้วน มีชิ้นส่วนขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมากลายเป็นดาบยาว
รัศมีอำนาจน่าครั่นคร้าม
“ปฐพีเป็นแท่น!”
พื้นดินสั่นไหว ดินโคลนกระเพื่อมเข้ามารวมตัวกันจากทั้งแปดทิศ กลายเป็นแท่นประหารขนาดยักษ์แท่นหนึ่ง
กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
“ตะวันจันทราเป็นตัวประสาน!”
ตะวันจันทราดวงดาราจำแลงออกมาระหว่างฟ้าดิน เชื่อมดาบสวรรค์กับแท่นประหาร ทำให้โลกฝั่งนี้ มี…แท่นประหารเทพเจ้าปรากฏขึ้น!
พลังวิเศษของเจ้าเหนือหัวหลี่จื้อฮว่า ผู้ที่เรียนสำเร็จไม่ได้มีแค่ผู้อาวุโสเก้าเท่านั้น แต่ยังมีบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ผู้นี้ด้วย เขาควบคุมพลังวิเศษนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
ยามนี้ทั่วร่างของเขามีปราณพิฆาตน่าน่าครั่นคร้าม ขณะที่คำราม ดาบแท่นประหารเทพเจ้าก็พลันฟาดลงมา
สวี่ชิงเงยหน้ามองดาบแท่นประหารเทพเจ้า ขณะที่สีหน้าแปลกประหลาด ขวดกาลเวลาใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ขวดใบนี้เปิดออก ปลดปล่อยกาลเวลาออกมา
เขาจักรพรรดิภูตจุติเป็นแท่นประหารในพริบตา ดวงชะตาติงหนึ่งสามสองกลายเป็นร่องดาบ!
วิถีสวรรค์อสูรสมุทรบรรพกาลคำรามกลายเป็นตัวดาบบนฟากฟ้า คำสาปเทพพิษต้องห้ามรวมเป็นคมดาบ แสงประกายอรุณเจิดจรัสเป็นประกายดาบ!
วิหคทองเริงระบำเป็นตัวประสาน พระจันทร์สีม่วงเป็นตราประทับ ตะเกียงชีวิตนาฬิกาแดดขับเคลื่อน แท่นประหารเทพเจ้าของสวี่ชิง ปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดินด้วยเช่นกัน
แท่นประหารเทพเจ้าขนาดยักษ์สองแท่น ฟาดฟันกันในเสี้ยวขณะนี้
โครม!
พลังฟาดฟันพลิกฟ้าสะเทือนดิน เมื่อพาดผ่านฟ้าถล่มดินทลาย!
ยิ่งมีเสียงเปรี๊ยะเสียดหูดังออกมา ดาบแท่นประหารเทพเจ้าของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ หักสองท่อนหอบม้วนกลับไป แตกสลายอยู่กลางฟ้าดิน
ส่วนแท่นประหารเทพเจ้าของสวี่ชิงก็สั่นไหวอย่างรุนแรง สลายอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงสมบูรณ์ครบถ้วน สวี่ชิงเซถอยหลังสองสามก้าว หน้าแดงก่ำ เลือดไหลออกมาจากมุมปาก แต่ก็ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว
พลังวิเศษของทั้งสองคน สวี่ชิงเป็นฝ่ายชนะ!
บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่หน้าขาวซีด กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ จ้องสวี่ชิงเขม็ง ในใจโหมคลื่นยักษ์
‘สิ่งที่ข้าทำได้ เขาก็ทำได้ทั้งหมด…’
ในใจเขายามนี้เกิดความคิดเช่นเดียวกับสวี่ชิงขึ้นมา
‘ถ้าอย่างนั้น สมบัติลับล่ะ!’
ดวงตาบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ปะทุเจตจำนงต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง ขณะทำปางมือที่ด้านหลังก็สั่นครืนครัน สมบัติลับขนาดยักษ์คลังหนึ่งจุติลงมาทันใด ลอยต่ำลงมาเหนือทะเลเลือด
ด้านในสมบัติลับของเขาเปี่ยมความรู้สึกแห่งโลกหล้า ไร้ท้องฟ้า แต่เป็นแผ่นดินราวกับนรกภูมิ
พื้นดินเหมือนเคยถูกแช่ด้วยเลือดสด ดังนั้นดินจึงเป็นสีแดงชาด ยิ่งใจกลางมากเท่าไรก็ยิ่งสีสดมากขึ้นเท่านั้น รอบๆ จะสีจางลงเรื่อยๆ ส่วนรอบนอกก็ยิ่งปกคลุมด้วยเปลวไฟสีขาว กำลังแปดเผาร้อนระอุ
ร่างเงานับไม่ถ้วน ถูกฝังอยู่ในแผ่นดินสีแดงรวมถึงในทะเลเพลิงขาว ส่งเสียงโหยไห้โอดครวญออกมา
ในเสียงโอดครวญเหล่านี้ คล้ายจะเป็นที่ชื่นชอบของตัวตนบางอย่าง
ทั้งสมบัติลับเผยความอึมครึมออกมาราวกับนรก หลังจากปรากฏขึ้น ก็ปกคลุมไปทางสวี่ชิง จะสะกดเขาเอาไว้
เมื่อเห็นสมบัติลับที่เหมือนนรกผืนนี้เข้ามาใกล้ สวี่ชิงยังสีหน้าเรียบเฉย ยกมือขวาขึ้นโบกฉับพลัน ด้านนอกร่างกายก็มีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น สมบัติลับของเขาก็ปรากฏออกมา
ในนั้นมีวิหคเพลิงเป็นตะวัน พระจันทร์สีม่วงเป็นจันทรา
พิษต้องห้ามแปรเป็นฟากฟ้าหมอกเมฆ เขาจักรพรรดิภูตเป็นแผ่นดิน กาลเวลาเป็นสายน้ำ วิถีสวรรค์เป็นกฎเกณฑ์
แสงประกายอรุณเป็นสรรพสิ่ง ติงหนึ่งสามสองเป็นสรรพชีวิต นาฬิกาแดดขับเคลื่อนกาลเวลา ตะวันจันทราสับเปลี่ยนเมฆหมอกแปรผัน
พริบตาที่ปรากฏ ก็ซ้อนทับเข้าด้วยกันกับสมบัติลับของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ สำแดงการต่อต้านของกฎเกณฑ์ระหว่างกันและกัน ข้าแทนที่กันและกัน
สมบัติลับที่ทับซ้อนกันทั้งสอง สั่นไหวอย่างรุนแรง ต่างส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน
ด้านในจำแลงตะวันจันทราดวงดารา ลมฝนอัสนีสลับสับเปลี่ยน ยิ่งมีเสียงคำรามถีสวรรค์ของทั้งสองฝ่ายดังออกมาต่อเนื่อง
ศึกการซ้อนทับของสมบัติลับเช่นนี้อันตรายอย่างมาก หากล้มเหลวก็คือความเป็นความตาย และตอนนี้ก็เป็นเวลาสำคัญช่วงสุดท้ายในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย
แต่ขุมพลังช่วงหลายปีนี้ของสวี่ชิงยังคงได้เปรียบ สุดท้ายท้องฟ้าสมบัติลับของเขาค่อยๆ แทนที่ท้องฟ้าของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่
ส่วนแผ่นดินสีเลือดของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ ก็พยายามปกคลุมแผ่นดินสมบัติลับของสวี่ชิง
ทว่ายังช้าไปเล็กน้อย
ภายใต้การปะทะกันของกฎเกณฑ์ สมบัติลับบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ปรากฏสัญญาณแตกสลาย เสียงคำรามวิถีสวรรค์ด้านในแฝงความไม่ยินยอมเอาไว้ กำลังได้รับผลกระทบ นรกของเขามีแสงตะวันจันทราของสวี่ชิงปรากฏขึ้น
ทุกจุดที่แสงสว่างส่องผ่าน ทั้งหมดล้วนถูกทำให้กลมกลืนถูกกลืนกิน…
แผ่นดินสมบัติลับบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ ทรุดตัวลงพลัน
ทว่าในเสี้ยวขณะที่ผสานกลืนกินกันนี้ ในสัมผัสของสวี่ชิงก็เห็นรูปร่างหน้าตาแผ่นดินสมบัติลับของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่อย่างชัดเจนจริงๆ แล้ว!
แผ่นดินสมบัติลับนี้ไม่ธรรมดา
สีแดงชาดที่ใจกลางดูเหมือนเป็นตาดำ ส่วนรอบๆ จนไปถึงเปลวเพลิงสีขาว เหมือนกับตาขาว
แผ่นดินนี้…เป็นดวงตาขนาดยักษ์ดวงหนึ่ง
และดวงตานี้ ตอนที่สวี่ชิงเห็นชัดๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยทันที
“นั่นเป็น…ดวงตาของชื่อหมู่หรือ?!”