ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 69 ยุติธรรมสมเหตุสมผล
บทที่ 69 ยุติธรรมสมเหตุสมผล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนสิบผ่านไปกว่าครึ่งแล้ว
เดิมควรจะเป็นฤดูที่หนาวเย็น แต่เพราะตำแหน่งสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ใกล้ทะเล ดังนั้นช่วงกลางวันจึงยังคงร้อนระอุ
มีเพียงช่วงกลางคืนที่ลมจะเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ ทะเลก็ราวกับมีความมืดมิดที่ฝังอยู่ใต้ท้องทะเลแผ่ซ่านมาตามแสงจันทร์ ลอดผ่านผืนน้ำแผ่เข้าปกคลุมฟ้าดิน แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของผู้บำเพ็ญทุกคนยามค่ำคืน ทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์อันโหดร้ายของฤดูหนาวล่วงหน้าเช่นกัน
เวลานี้ ลมทะเลพัดผ่านใบหน้า แสงจันทร์สาดส่องมายังท่าเรือ แผ่คลุมไปบนหินสีดำทุกตารางชุ่น และสาดลงไปบนตัวสวี่ชิงที่เสร็จงานของวันนี้แล้วและกำลังเดินไปทางท่าจอดเรืออย่างระแวดระวัง
สวี่ชิงเหยียบแสงจันทร์ ร่างกายเหยียดตรง ชุดนักพรตสีเทาพลิ้วไหวไปมาตามการเดินไปเบื้องหน้าราวกับเริงระบำไปพร้อมผมยาวของเขา มองไกลๆ เหมือนกับม้วนภาพเงาโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงความหนาวเย็นในสายลมยามค่ำคืนเท่านั้น ที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาบ้างตามจิตสำนึก
ที่หนาวไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นความทรงจำที่หลงเหลือเอาไว้ในถ้ำยาจก
เหมือนกับรอยเขม่าควันบนภาพม้วน แม้ว่าภาพวาดนี้จะถูกวาดจนเสร็จสิ้นแล้ว แม้ว่าจะถูกทาทับด้วยหมึกและติดกระดาษทับไว้ทำให้คนนอกมองไม่ออก แต่ตัวภาพวาดรู้ว่าร่องรอยของมันยังคงอยู่
สวี่ชิงถอนใจ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นมาหน่อยในลมหนาวนี้
ตอนนี้ผ่านพ้นนับจากงานรวมตัวกับพวกโจวชิงเผิงเมื่อครั้งนั้นผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ครึ่งเดือนนี้สวี่ชิงยังคงไปเข้าเวรที่กรมปราบพิฆาตเช่นเคย การเลื่อนขั้นที่โจวชิงเผิงพูดถึง เขาไม่ได้รอ และไม่ได้สนใจด้วย
เพราะสำหรับสวี่ชิงแล้ว พลังบำเพ็ญต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงนี้
คัมภีร์แปรสมุทรของเขามาถึงขั้นเจ็ดสูงสุดแล้ว ห่างจากจุดทะลวงขั้นอีกไม่ไกล
เคล็ดคีรีสมุทรเองก็เช่นกัน ใกล้จะถึงขั้นแปด
นี่ทำให้สวี่ชิงคาดหวังอย่างมาก
เขารู้สึกว่าจากพลังต่อสู้ของตนเองในปัจจุบัน หลังจากที่คัมภีร์แปรสมุทรกับเคล็ดคีรีสมุทรไปถึงขั้นแปดแล้วทั้งคู่ หากเผชิญหน้ากับตนเองก่อนมาถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็น่าจะสังหารในพริบตาได้โดยไม่มีรอยขีดข่วน
กระทั่งต่อให้พบกับบรรพชนสำนักวัชระอีกครั้ง สวี่ชิงก็รู้สึกว่าแม้ตนเองจะยังล้มอีกฝ่ายไม่ได้หลังจากขั้นแปด แต่ถ้าร่วมมือกับเงา ลอบโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดก็มีโอกาสต้านทานเขาได้ระดับหนึ่งแน่
“ใกล้แล้ว…”
สวี่ชิงหรี่ตาลง ศัตรูที่เขาต้องรีบสังหารให้ไวที่สุด นอกจากบรรพชนสำนักวัชระแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นอีก
คนแรกเขารู้สึกว่าคงใช้เวลาไม่นาน ตนเองก็จะมีกำลังในการสังหารเขา ส่วนคนหลังเขาก็กำลังหาโอกาส
เพียงแต่น่าเสียดาย ครึ่งเดือนนี้ เขาแอบสะกดรอยตามเด็กหนุ่มเผ่าเงือกอยู่แทบจะทุกวัน แต่ข้างกายอีกฝ่ายก็มีผู้คุ้มครองอยู่ตลอด ลงมือได้ยากมาก
บางครั้งอีกฝ่ายก็ออกไปข้างนอกคนเดียวเหมือนนายกองทั่วไป แต่กลับใช้ของวิเศษปิดบังกลิ่นอายและร่างเงา จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง
สวี่ชิงค้นหาอย่างลำบาก แต่เขาก็ยังมีความอดทน พินิจไปรอบหนึ่ง เขาตระหนักได้ว่าต้องคิดหาวิธี ทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างเอาไว้บนตัวอีกฝ่าย
“หลังจากนี้ถ้าเจอกับศัตรูที่เป็นเช่นนี้ ต้องทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้”
สวี่ชิงพึมพำ จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ เหมือนตอนที่เรียนรู้เรื่องจัดการศพในตอนแรก และเดินหน้าต่อ
เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงท่าจอดเรือท่าที่เจ็ดสิบเก้า
และตลอดทางสวี่ชิงก็ไม่พบเข้ากับสายตาที่ชั่วร้าย ช่วงราตรีก็ไม่มีใครเข้ามารบกวน
แม้จะมายังเมืองเจ็ดเนตรโลหิตได้ไม่นาน แต่สวี่ชิงก็ค่อยๆ สร้างบารมีเล็กๆ น้อยๆ และบารมีนี้ทำให้คนที่คิดทำอะไรเขาน้อยลงไปพอควร ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังระมัดระวังขึ้นอย่างมากอีกด้วย
ตอนนี้เรือลำมโหฬารลำหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศจากการที่สวี่ชิงปล่อยเรือเวทออกมาในพริบตา ขณะร่วงกระแทกกับผิวน้ำส่งเสียงดังสนั่น และโหมคลื่นหลายระลอกกระจายไปรอบด้าน
มองไป ตัวเรือยาวยี่สิบกว่าจั้ง กว้างสามจั้งกว่า พลังน่าตกตะลึง
กระดานเรือดำขลับเปล่งแสงประกายสีดำใต้แสงจันทร์ เหมือนผสานรวมกับแสงเย็นเหยียบของเกล็ดนับไม่ถ้วนด้านข้างเข้าด้วยกัน ประกอบกับหัวจระเข้ขนาดยักษ์โหดร้ายที่หัวเรือ ก็ทำให้เรือเวทลำนี้ราวกับกลายเป็นจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งจริงๆ
โดยเฉพาะปากมโหฬารของหัวจระเข้ที่อ้าอยู่ ฟันคมกริบนับไม่ถ้วนรวมถึงประกายหม่นในดวงตา ก็ยิ่งเพิ่มแรงสั่นสะเทือนเข้าไปอีก
และเมื่อมองอย่างละเอียดก็จะเห็นเกล็ดข้างตัวเรือมีระดับสูงกว่าที่เคย กระทั่งขอบด้านในที่คนนอกมองไม่เห็นก็ล้วนมีเกล็ดปรากฏขึ้น
และยังมีกระดูกเรือพิเศษที่ทะลุผ่านทั้งตัวเรือ จนกลายเป็นจุดค้ำยันที่แกร่งยิ่งกว่าที่เคยเป็น
รอบด้านยังมีลมพัดวน ทำให้เรือเวทที่เหมือนอสูรยักษ์ลำนี้ แผ่กลิ่นอายที่ใช้สยบด้วยพลานุภาพได้ออกเป็นระยะ โดยเฉพาะในห้องเรือตอนนี้ก็ใหญ่ขึ้นมากเช่นกัน ด้านในมีจุดพักผ่อน มีจุดฝึกบำเพ็ญ กระทั่งสร้างห้องสมุนไพรขึ้นมาโดยเฉพาะจุดหนึ่งอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้ บนตัวเรือนี้ยังมองเห็นแสงสีเขียวออกมาเป็นระยะ ทุกจุดที่แล่นผ่านราวกับสิ่งมีชีวิตกำลังแหวกว่ายทำให้ความทนทานของเรือเวทยิ่งแข็งแกร่ง
จุดสำคัญที่สุดก็คือบนดาดฟ้าเรือมีแอ่งขนาดยักษ์แอ่งหนึ่ง ด้านในถึงแม้จะยังไม่มีอะไร แต่ค่ายกลก็อัดแน่น เห็นได้ชัดว่าทำทิ้งเอาไว้ล่วงหน้า
สิ่งเหล่านี้สวี่ชิงจ่ายหินวิญญาณไปนับร้อยก้อน ใช้วัสดุระดับกลางสร้างขึ้นมาเป็นเรือเวทระดับหก!
และแอ่งที่ว่างเปล่าอยู่นั้น เขาก็ใช้หินวิญญาณอีกสิบก้อนจ่ายไปเป็นกรณีพิเศษ
เพราะเขามองวัสดุแบบเดียวกันไว้แล้ว นั่นก็คือกะโหลกชิ้นเล็กของวาฬยักษ์ หากใส่เข้าไปจะทำให้เรือเวทของเขาทะลวงจากระดับหกไปเป็นระดับเจ็ดบริบูรณ์ในด้านความแข็งแกร่ง
เพียงแต่กะโหลกวาฬนี้แพงมาก เป็นหนึ่งในวัสดุระดับสูงของเรือเวท
แน่นอนว่าราคาน่าตกตะลึง จำเป็นต้องใช้ถึงสองร้อยหินวิญญาณ
ราคานี้เกินจริงไปมาก สวี่ชิงมองอยู่หลายรอบในหลายวันนี้ แอบกัดฟันตัดสินใจควักเงินซื้อมันมา
“รอจนพลังบำเพ็ญทะลวงถึงขั้นแปด รอจนซื้อกะโหลกวาฬยักษ์นี้แล้วทำให้เรือเวทไปถึงระดับเจ็ด…ข้าก็จะออกทะเล!”
สวี่ชิงงึมงำ หลังจากตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เหยียบไปบนเรือเวท ไปยังจุดฝึกบำเพ็ญ นั่งลงขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง หลับตาฝึกบำเพ็ญ
ลมทะเลพัดโชยทั้งคืน ช่วงเช้าตรู่ก็ดูเหมือนจะอ่อนล้า ค่อยๆ หมดเรี่ยวแรงสลายหายไป สวี่ชิงลืมตาขึ้นจากแสงตะวันที่สาดเข้ามา เริ่มไปเข้าเวรในเช้าวันใหม่
พอไม่มีปฏิบัติการค้นหานกเขาราตรี งานของกรมปราบพิฆาตจึงว่างเสียส่วนใหญ่ มีแค่บางครั้งที่กรมลาดตระเวนเจอเรื่องที่จัดการไม่ไหว ก็จะมาขอความช่วยเหลือบ้าง
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ สวี่ชิงเพิ่งมาถึงกรมปราบพิฆาต หลังจากที่รายงานตัวในลานกว้างของหน่วยนิลกาฬกองที่หก ก็รับงานที่กรมลาดตระเวนขอความช่วยเหลือมา
คนที่ออกปฏิบัติการมีไม่มาก พอรวมนายกองเข้าไปก็มีทั้งหมดหกคน
หลังจากออกจากกรมปราบพิฆาต สวี่ชิงกับสมาชิกคนอื่นก็รู้ว่าเป้าหมายการช่วยเหลือครั้งนี้ด้วยการบอกกล่าวของนายกอง คือกรมเคลื่อนย้าย
กรมเคลื่อนย้ายกับกรมทดน้ำ ในพื้นที่ท่าเรือนี้ถือเป็นกรมใหญ่ ฝ่ายแรกรับผิดชอบการจัดวางเคลื่อนย้ายของเรือที่สัญจรไปมา ส่วนฝ่ายหลังเป็นเหมือนแขนของการเคลื่อนย้าย รับผิดชอบนำเรือจากโลกภายนอกเข้ามาในท่าเรือ
ดังนั้นด้านในท่าเรือทุกจุดล้วนมีหน่วยย่อยทั้งสิ้น วันนี้ที่พวกเขาจะไปคือท่าเรือที่เก้าสิบหก
ช่วงนี้กรมทดน้ำกับกรมเคลื่อนย้ายในท่าเรือเก้าสิบหกนี้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงขึ้น ปัจจุบันกรมทดน้ำหนึ่งร้อยกว่าคนกำลังรวมตัวอยู่ที่กรมเคลื่อนย้ายเหมือนกำลังคุมเชิง ดังนั้นกรมเคลื่อนย้ายจึงรายงานให้กรมลาดตระเวนเข้าไกล่เกลี่ย แต่กรมลาดตระเวนรู้สึกว่าตึงมือ ดังนั้นจึงยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือกับกรมปราบพิฆาต
หลังจากได้ยินภารกิจจากนายกอง ก็มีหนึ่งในสมาชิกกองที่มาด้วยกันเอ่ยเหน็บแนม
“เหมือนว่าจุดสำคัญของความขัดแย้ง คือเรื่องเงินรางวัลพิเศษของเดือนนี้ที่เดิมทีควรจะมอบให้กับกรมทดน้ำท่าเรือเก้าสิบหก กรมเคลื่อนย้ายท่าเรือเก้าสิบหกกลับให้มาเพียงหนึ่งส่วนจากปกติ เปลี่ยนเป็นใครก็คงไม่เห็นด้วยทั้งนั้น
“นอกจากเงินเดือนศิษย์ของกรมเคลื่อนย้ายกับกรมทดน้ำทั้งสองหน่วยนี้แล้ว กรมทดน้ำส่วนใหญ่ก็ช่วยกรมเคลื่อนย้ายทำงาน และรายได้ของกรมเคลื่อนย้ายก็มีมากด้วย ดังนั้นกรมเคลื่อนย้ายของทุกท่าเรือจึงมีเงินรางวัลพิเศษมอบให้กับกรมทดน้ำตามเวลา”
สวี่ชิงฟังถึงจุดนี้ สำหรับเรื่องครั้งนี้ถือว่าเข้าใจพอประมาณแล้ว
“เรื่องนี้น่ะนะ เป็นเพราะก่อนหน้านี้กรมเคลื่อนย้ายท่าเรือเก้าสิบหกเปลี่ยนคนรับผิดชอบใหม่ ก็คือเจ้าจงเหิงศิษย์หลักคนนั้น”
สวี่ชิงหรี่ตาลง ไม่พูดอะไร
“ศิษย์หลักคนนี้พอรับตำแหน่ง ก็บีบให้เปลี่ยนแปลงกฎ ได้ยินว่าเงินรางวัลทุกเดือนของกรมทดน้ำ จากห้าต่อห้าส่วนแต่เดิม ก็เปลี่ยนเป็นเก้าต่อหนึ่งส่วน ศิษย์กรมทดน้ำถึงได้โมโหกันขนาดนั้น”
พอสวี่ชิงได้ยินกลุ่มคนวิพากษ์วิจารณ์ ในใจก็ครุ่นคิด พวกเขาทั้งกลุ่มเดินมาถึงกรมเคลื่อนย้ายท่าเรือเก้าสิบหก มองไกลๆ รูปร่างของกรมเคลื่อนย้าย เหมือนกับเรือลำหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน มีสิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่ตั้งอยู่ ด้านข้างยังมีเรือเวทจอดอยู่อีกมากมาย
ด้านหน้าประตูใหญ่ของกรมเคลื่อนย้าย เวลานี้มีกรมทดน้ำนับร้อยคนขวางอยู่หน้าประตู กำลังคุมเชิงกับศิษย์กรมเคลื่อนย้ายด้านใน เสียงทะเลาะเซ็งแซ่ไม่หยุด ความคิดจะหันกระบี่หันธนูใส่กันก็รุนแรงขึ้น และรอบๆ ยังมีศิษย์อีกมากมายมุงดู
ด้านในก็ยังมีศิษย์ของกรมลาดตระเวนกำลังไกล่เกลี่ยอยู่ด้วย แต่ทั้งสองฝ่ายก็ต่างไม่ยอมถอย ดังนั้นระดับความยากในการไกล่เกลี่ยจึงสูงลิบ
ทั้งสองฝ่ายที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด เป็นไปได้มากที่จะลงมือกันทันทีด้วยแค่สะเก็ดไฟเล็กๆ
ดังนั้นหลังจากเห็นกรมปราบพิฆาตมาถึง ศิษย์กรมลาดตระเวนจึงผ่อนลมหายใจโล่ง คนที่ดูอยู่ด้านนอกก็แยกออกเป็นทาง เพื่อให้กรมปราบพิฆาตเข้าไปด้านใน
นายกองที่กำลังกินผิงกั่ว ไม่ได้มองสองฝ่ายที่กำลังจะชักกระบี่ง้างธนูใส่กันและกรมลาดตระเวนที่ออกแรงไกล่เกลี่ยอยู่ แต่กลับไปหาที่นั่งในมุมที่ไม่ห่างกันนักเพื่อดูความวุ่นวายฉากนี้
ภารกิจของกรมปราบพิฆาต คือหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มสังหารกันขึ้นมาค่อยเข้าไปคลี่คลาย เวลานี้ยังไม่เปิดฉาก ดังนั้นจึงไม่ต้องไปสนใจ
สมาชิกคนอื่นเองก็เช่นกัน สวี่ชิงนั่งลงไปตามกลุ่มของตนด้วย หลังจากกวาดตามองทั้งสองฝ่าย เขาก็ไม่เห็นเจ้าจงเหิง แต่กลับเห็นคนคุ้นเคยอีกคนแทน
คนผู้นี้ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มกรมทดน้ำ ชายอ้วนคนนั้น
คือหวงเหยียนที่ยื่นใบรวมวิญญาณให้เขาอย่างใจกว้างในร้านขายยาวันนั้นนั่นเอง
“เจ้าพวกบ้ากรมเคลื่อนย้าย พวกเจ้าทำเช่นนี้ เป็นการตัดหนทางเอาชีวิตรอดของศิษย์กรมทดน้ำในท่าเรือที่เก้าสิบหกนี่ ไม่มีเงินรางวัลส่วนนั้น การฝึกบำเพ็ญกับการหลอมเรือของพวกข้าก็จะช้าลง แล้วในเมืองหลักที่กำลังวิกฤตเวลานี้ พวกเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไร พวกเจ้าคิดจะทำให้พวกเราตายหรือ ในเมื่อจะต้องตายอยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จะสังหารพวกเจ้าให้ตายเสียก่อน!”
หวงเหยียนเหมือนจะเป็นตัวแทนของกรมทดน้ำท่าเรือที่เก้าสิบหก แม้จะสวมชุดนักพรตสีเทา แต่กลับยืดอกเชิดหน้า ไม่รีบไม่ร้อน สีหน้าแฝงความดุร้าย เสียงแหลม ตะโกนลั่นออกมาจนหน้าแดงคอเป็นเอ็น
ด้านหน้าเขา มีผู้บำเพ็ญกรมเคลื่อนย้ายยืนอยู่ตรงประตู เป็นชายกลางคน สวมชุดนักพรตสีเทาแบบเดียวกัน เขาไม่ใช่คนของกรมเคลื่อนย้ายท่าเรือที่เก้าสิบหก แต่เป็นคนรับใช้ของเจ้าจงเหิง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจ้าจงเหิงเสนอ เวลานี้พอเกิดปัญหา ด้วยสถานะของอีกฝ่ายไม่มีทางออกมาแก้ไขปัญหาแน่นอนดังนั้นจึงส่งคนรับใช้มาจัดการ
เวลานี้ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้ดวงตาเผยประกายเย็นเยียบ และยังมีความรู้สึกขุ่นเคืองอย่างมาก เขาติดตามเจ้าจงเหิงมานาน แม้จะมีสถานะเป็นคนรับใช้ แต่ปกติเวลาพบกับศิษย์ด้านล่างภูเขาส่วนใหญ่ก็มักจะเคารพนับถือเขา พอตนเองได้เห็นศิษย์หลักคนอื่นมากเข้า จึงลืมกำพืดของตนเองไปแล้ว ในใจไม่รู้สึกรู้สาอะไรต่อศิษย์ชุดคลุมเทาเหล่านี้
โดยเฉพาะตอนที่เขารู้ว่าเจ้านายของตนไม่มีทางเปลี่ยนแปลงกฎ ดังนั้นเวลานี้จึงแสดงท่าทีวางอำนาจ
“ในหนึ่งชั่วก้านธูป ถ้ายังไม่อยากตายก็จงไสหัวไปเสีย!”
พอคำพูดเขาออกมา กลุ่มศิษย์กรมทดน้ำก็ทยอยกันแผ่จิตสังหาร ส่วนทางกรมเคลื่อนย้ายเมื่อเห็นก็ต่างเปล่งประกายเย็นเยียบในดวงตาออกมาเช่นกัน
สำหรับกรมต่างๆ ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต ศิษย์ที่สังหารฝ่าจากรังหมาป่าออกมาโดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อยืนอย่างมั่นคง การสังหาร…พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ให้พวกเราไสหัวไปหรือ ไสหัวกับปู่เจ้าสิ!” หวงเหยียนถลึงตาโต หัวกระแทกออกไป เขามีความเร็วสูงมาก ร่างกายก็มีน้ำหนักมาก ระหว่างที่ส่งเสียงครืนครันก็ลงมือ
พริบตาต่อมา ศิษย์กรมทดน้ำกับกรมเคลื่อนย้ายที่บรรยากาศตึงเครียดมานาน ก็เริ่มประหัตประหารกันขึ้นมาที่ประตูใหญ่
เสียงครืนครันกึกก้อง คลื่นวิชาเวทกระจายออกไปทุกทิศทาง การปะทะของคนนับร้อยเปิดฉากขึ้นต่อหน้าสวี่ชิง เลือดสดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วบริเวณ
ศิษย์กรมลาดตระเวนที่รับผิดชอบไกล่เกลี่ย เวลานี้ก็พากันถอยฉาก และพวกของสวี่ชิงก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น
สวี่ชิงเหลือบตามองนายกองด้านข้างผาดหนึ่ง นายกองที่กำลังกินผิงกั่ว ดูรู้สึกสนใจการต่อสู้ชุลมุนตรงหน้ามาก ประเดี๋ยวก็ส่งเสียงเชียร์ขึ้น
“พวกเขาคนมากเกินไป พอชุลมุนขึ้นมาจึงค่อนข้างอันตราย พวกเรารอให้พวกเขาสังหารกันไปพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยเข้าไปหยุด ยิ่งไปกว่านั้นการสังหารกันของทั้งสองหน่วย…ทางสำนักเองก็คงไม่อยากจะเห็นนักหรอก เดี๋ยวคงออกหน้ามาห้ามปรามเอง”
นายกองพอส่งเสียงเชียร์จบก็เอ่ยเสียงเบากับสมาชิกข้างๆ
และตอนนี้สองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันชุลมุนก็มีบาดเจ็บล้มตายแล้ว สวี่ชิงมองเห็นหวงเหยียนในกลุ่มคนท่ามกลางเสียงคำรามกับเสียงอื้ออึงกำลังลงมืออย่างบ้าคลั่ง พลังบำเพ็ญรวมปราณขั้นเจ็ดทั่วร่าง ทำให้การระเบิดของเขามีพลังสังหารที่แข็งแกร่ง
และตอนนี้เอง สวี่ชิงก็มองเห็นในกลุ่มของกรมเคลื่อนย้าย ชายกลางคนที่คุมเชิงกับหวงเหยียนก่อนหน้านี้ กำลังถอยหลังอย่างรวดเร็ว สายตาที่มองหวงเหยียนมีความชั่วร้ายแฝงอยู่ ถือโอกาสที่หวงเหยียนไม่ระวัง สะบัดมืออย่างรุนแรง มีดบินใบหลิวเล่มหนึ่งก็พุ่งออกไปจากแขนเสื้อเขา
มีดเล่มนี้ใช้วัสดุพิเศษ โปร่งใสเล็กน้อย รวดเร็ว ด้านบนยังมีประกายสีน้ำเงินจางๆ เหมือนฉาบพิษไว้ บินพุ่งไปที่คอของหวงเหยียน
หวงเหยียนที่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้จึงไม่ทันสังเกตเห็น ตอนที่เจ้าสิ่งนี้กำลังจะบินเข้าใกล้ สวี่ชิงก็หรี่ตาลง มือขวาดีดออกไปเบาๆ หยดน้ำหยดหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ แล้วบินออกไปยังมีดบินใบหลิ่วเล่มนั้นด้วยความเร็วน่าตกตะลึง
พลังของหยดน้ำรุนแรงมาก เสียงเคร้งดังขึ้น มีดบินเบี่ยงทิศทาง แฉลบผ่านหน้าหวงเหยียนไป
หวงเหยียนหน้าเปลี่ยนสี มองมาทางสวี่ชิงก่อนพยักหน้าให้ จากนั้นในดวงตาที่เหี้ยมเกรียมก็ไปตกอยู่บนตัวผู้บำเพ็ญกลางคนคนนั้น คำรามเสียงต่ำพุ่งตัวออกไป
“สมควรตาย!” ผู้บำเพ็ญกลางคนถอยกรูดทันที แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ถูกหวงเหยียนที่กระโจนไม่กี่ก้าวไล่ตามเข้ามา กระแทกใส่อย่างรุนแรง
เสียงกร๊อบถูกการต่อสู้ชุลมุนรอบด้านกลบ เห็นเพียงผู้บำเพ็ญคนนั้นหน้าบิดเบี้ยว โต้กลับอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้ดำเนินต่อ การบาดเจ็บล้มตายก็มมากขึ้น
เวลานี้นายกองที่อยู่ข้างๆ ก็เหลือบมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ทำหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ถอนสายตามองไปทางหวงเหยียนกลับมา การลงมือก่อนหน้า ก็เพราะวันนั้นหวงเหยียนส่งหญ้ารวมวิญญาณให้เขาอย่างใจกว้าง
และเพียงไม่นาน เพราะการสังหารของทั้งสองหน่วยยิ่งรุนแรงขึ้น เสียงตะโกนต่ำเสียงหนึ่ง ก็ดังก้องราวกับสายฟ้าอัสนี ครืนครันแว่วลงมา
“หยุดมือให้หมด!”
สิ้นคำ ร่างหนึ่งย่ำอากาศทะยานเข้ามาจากที่ห่างไกล กลิ่นอายน่ากลัวแข็งแกร่ง สะกดไปทั่วสารทิศ ขณะที่ร่อนลงมาจากท้องฟ้า จนทำให้ศิษย์ทั้งหมดบนพื้นดิน จิตใจสั่นสะเทือน พากันหยุดมือ
“ต้องทำงานแล้ว” นายกองเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ ลุกขึ้นยืน แสดงท่าทีเหมือนมาปฏิบัติงานตามกฎหมาย สีหน้าเคร่งขรึม สวี่ชิงกับสมาชิกคนอื่นก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน
พริบตาที่พวกเขาลุกขึ้นยืน ร่างเงาบนอากาศก็เข้าประชิดอย่างรวดเร็ว หยุดอยู่กลางอากาศ กลายเป็นชายหนุ่มในชุดนักพรตสีม่วงเข้มร่างหนึ่ง
ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาไม่โดดเด่น ดวงตาไม่มีคลื่นอารมณ์มากนัก แต่พลังบนตัวกลับน่าตกตะลึง เวลานี้ยืนอยู่กลางอากาศ จ้องมองมายังศิษย์ทั้งสองฝ่ายบนพื้นดินที่หยุดมือแล้วอย่างเย็นชา