ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 690 อดีตของข้า อนาคตของเจ้า
บทที่ 690 อดีตของข้า อนาคตของเจ้า
รูปสลักชื่อหมู่ในความทรงจำสวี่ชิงนั้นสองมือปิดดวงตา เลือดไหลเป็นแม่น้ำ
ต่อให้เป็นร่างที่อีกฝ่ายสำแดงในแดนต้องห้ามเซียนในตอนนั้นก็ไม่มีดวงตาเช่นกัน
จวบจนกระทั่งวันนี้ ในสมบัติลับของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ สวี่ชิงมองดวงตามหึมาดวงนั้น สัมผัสกลิ่นอายชื่อหมู่เข้มข้นในนั้น ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจแผ่ระลอกไม่หยุด
เขานึกเพลงเด็กที่ร้องว่าตุ๊กตาตัวที่สี่หายไปเพลงนั้น นึกถึงเรื่องที่รัฐทายาทพูดถึงเกี่ยวกับน้องสี่ของเขาไปเป็นบุตรเทวะของชื่อหมู่ กระทั่งนึกถึงประโยคแรกที่หลี่จื้อฮว่าพูดในตอนที่เห็นชื่อหมู่ในภาพบรรพกาลที่แท่นประหารเทพเจ้า
‘เสียงเพลงของเจ้ามันแย่มาก ทำให้ลูกสี่ข้าตกใจตื่น’
ทุกสิ่งทุกอย่าง ในเสี้ยวขณะนี้เหมือนจะพิสูจน์ประวัติศาสตร์อะไรบางอย่าง
บางที เสียงร้องเพลงของชื่อหมู่ในตอนนั้นไม่ใช่แค่รบกวนฝันของบุตรชายคนที่สี่ของหลี่จื้อฮว่าเท่านั้น แต่ยังฝังดวงตาข้างหนึ่งไว้ในความฝันอีกด้วย
บางที ก็เพราะดวงตาดวงนี้ทำให้ชื่อหมู่ก่อนที่จะเป็นเทพหลังจากถูกประหารแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นคืนชีพ
บางที หลี่จื้อฮว่าก็รู้เรื่องพวกนี้เช่นกัน แต่ไม่รู้ทำไม เขาไม่ได้บอกคนอื่นๆ และไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน…
บางที นี่อาจเป็นเหตุผลที่บุตรชายคนที่สี่ที่เกิดมาหลังจากหลี่จื้อฮว่าเป็นเทพจนกระทั่งดับเพลิงเทวะกลายเป็นบุตรเทวะในท้ายที่สุดก็เป็นได้
แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเลี้ยงอาหารของชื่อหมู่เอาไว้ เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณของชื่อหมู่
และบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ของก็เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณของชื่อหมู่เช่นกัน หล่อเลี้ยงดวงตาขององค์ท่านเอาไว้
คำตอบที่เดาออกมาชุดนี้ แม้เขาจะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเป็นจริงหรือเท็จ แต่ดูจากหลักเหตุผลแล้ว ทุกอย่างล้วนสมเหตุผล และความสมเหตุผลเช่นนี้ก็ทำให้เขาความสะท้านสะเทือนลึกซึ้งยิ่งขึ้น
จนกระทั่งโลกสมบัติลับใบนี้ รางเลือน พังทลาย แตกสลายไปจากสัมผัสรับรู้ของเขา…
สมบัติลับของเขาสะกดฟ้าของบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ของไว้ได้โดยสมบูรณ์ ทำลายทุกสิ่ง ทุกอย่างล้วนอยู่ในความบิดเบี้ยวนี้ ถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ซัดมาจากข้างนอกโหมกวาด พัดจนกระจายแตกสลาย
สุดท้าย ตาของชื่อหมู่ก็ไม่ได้ปะทุพลังที่เป็นของชื่อหมู่ออกมา จุดนี้สวี่ชิงไม่แปลกใจ เพราะดวงตาของชื่อหมู่ในตอนนี้เป็นตอนก่อนที่จะสำเร็จเทพ
องค์ท่านเหมือนภาพสะท้อน เป็นผลกรรมเวรที่ยังไม่สุกงอมมากกว่า
“ท่าทางในร่างของบุตรเทวะที่อยู่ภายนอก ดวงตานั่น…คงสุกงอมแล้ว คนอื่นๆ ก็น่าจะสัมผัสได้เหมือนกัน”
ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา สวี่ชิงพึมพำ ร่างถูกคลื่นที่ซัดหอบมาท่วมจม หายไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ภายใต้กระแสน้ำพัดพาของแม่น้ำสายนี้ ก็ค่อยๆ จากไปไกล
จวบจนกระทั่งไปจากช่วงเวลานี้ มาปรากฏบนเกาะโลกภายนอกที่เป็นยุคสมัยของเขา
ทันทีที่เงาร่างของเขาปรากฏขึ้น ท้องฟ้าสายฟ้าคำรามลั่น เสียงหยอกล้ออันคุ้นเคยดังมาจากข้างหลังเขา
“อาชิงน้อย เจ้าค่อนข้างช้าไปนะเนี่ย”
สวี่ชิงหันมา มองนายกองที่นั่งอยู่บนคลื่นแห่งกาลเวลาข้างหลังเขา กำลังกำดวงอาทิตย์จำลองขนาดเท่าไข่มุกเก้าดวงเล่นในมือ คล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ท่านปู่ท่านย่าชราพวกนี้ดูถูกข้าเกินไปแล้ว ช่วงเวลาที่จัดให้ข้าเป็นในเสี้ยวพริบตาที่บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวทะลวงระดับแก่นลมปราณ ก้าวสู่ขั้นปราณก่อกำเนิด
“ข้าแค่ยกนิ้วก็จัดการเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอวดดีนั่นได้แล้ว ซ้ำยังถือโอกาสปลดผนึกอีกทางด้วย”
นายกองได้ใจ พลังในร่างปะทุ สมบัติลับดำทมิฬคลังหนึ่งประเดี๋ยวเลือนรางประเดี๋ยวปรากฏอยู่ข้างหลังเขา
สำหรับการทะลวงขั้นพลังบำเพ็ญของศิษย์พี่ใหญ่ สวี่ชิงไม่ประหลาดใจเลย ความจริงก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองคนในยามที่ได้รับการเพิ่มพลังจากตำหนักขบถจันทร์ สวี่ชิงก็มองออกแล้วว่านายกองจงใจไม่ยกระดับพลังบำเพ็ญ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตั้งใจไปในช่วงเวลาบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ของอยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดกระมัง”
จู่ๆ สวี่ชิงพลันเอ่ยขึ้นมา
นายกองได้ยินก็หัวเราะ กำลังจะพูดอะไร
แต่ในตอนนี้เอง คลื่นรอบๆ ซัดกระหน่ำ เงาร่างของเสินเชวี่ยจื่อเดินออกมาจากคลื่นลูกหนึ่ง จนกระทั่งออกมายังโลกภายนอกแล้ว ร่างของนางก็เริ่มแห้งเหี่ยว กำลังหายไปอย่างเห็นได้ชัดเจน
“ช่วงเวลาที่ข้าไปในช่วงนั้น บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่ถูกสังหารข้า และภารกิจของข้าก็ได้สำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว ร่างแยกร่างนี้…ไม่อาจดำรงอยู่ได้ต่อไปอีก
“ต่อจากนี้ก็ฝากพวกเจ้าด้วย”
ร่างแยกของเสินเชวี่ยจื่อร่างนี้ นับตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสุดท้ายไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้อยู่ในสภาวะสลายไปก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อทิ้งร่างแยกนี้เอาไว้ เป็นความยึดมั่นและภารกิจของนางเช่นกัน
นางเป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์รุ่นก่อน แต่สุดท้ายแล้วนางไม่สามารถนำพาให้ผู้คนในยุคนั้นหลุดพ้นได้ ความไม่ยอมจำนนและความเสียใจนี้ สร้างเป็นร่างแยกร่างนี้ขึ้นมา
และตอนนี้ แม้นางจะยังเสียใจ แต่ก็ทำเต็มที่แล้ว
ดังนั้นนางจึงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง สุดท้ายนางมองโลกใบนี้ ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา หลับตาลง
ลมเพียงพัด ร่างของนางก็ค่อยๆ รางเลือนไป จวบจนกลายเป็นธุลี หายไปในฟ้าดิน เหลือเพียงเสียงทอดถอนใจที่ยังคงดังก้อง
สวี่ชิงก้มหน้า โค้งคารวะอย่างเงียบๆ
นายกองมองภาพนี้ไม่ได้พูดอะไรมาก โค้งคารวะเช่นกัน
ไม่นานนัก คลื่นซัดโหมมาอีกครั้ง ร่างของท่านย่าห้าเดินออกมาจากในนั้น ฝีเท้าของนางโซเซ ในตอนที่เดินมากระอักเลือดออกมาคำโต รูปร่างยิ่งแก่ชรา
หลังจากสังเกตเห็นพวกสวี่ชิงทั้งสองคน ในดวงตาของนางฉายแววชื่นชม พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่มีเวลาพูดอะไรมาก นางนั่งลงขัดสมาธิ จุดแสงสีขาวแผ่ออกมาจากร่างของนางเป็นระลอกๆ ผสานไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา
นางสละพลังชีวิตของตัวเองไปเพิ่มพลังให้กับพี่ชายพี่สาวของตัวเอง
จากการผสานเข้าไปของจุดแสงสีขาว การโหมกระหน่ำของน้ำในแม่น้ำรุนแรงยิ่งกว่าเดิม คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดขึ้นลง น้องแปดปรากฏตัวออกมา
กายท่อนล่างของเขาไม่มีแล้ว จุดแสงมหาศาลรวมไปตรงนั้น คล้ายว่าจะซ่อมแซมให้เขา
ตอนนี้เขาที่เหลือเพียงกายท่อนบนคลานออกมาจากแม่น้ำ ถ่มเสลดเหนียวข้นออกมา แสยะยิ้ม
“ก่อนหน้านี้ข้าเหม็นขี้หน้าเจ้าสี่ อยากจะอัดเสียให้ยับสักครั้งมานานแล้ว ครั้งนี้สะใจจริงๆ!”
พูดพลางสะบัดมือ จุดแสงที่รวมมาซ่อมแซมกายท่อนล่างให้เขาก็ถูกเขาปัดสลายไปทันที ทะลักโหมไปหาองค์หญิงห้าทางนั้น
“อายุขัยของท่านเหลือเพียงแค่นั้นแล้ว อย่ามาเสียเปล่ากับข้าเลย ข้าจัดการเองได้!”
องค์หญิงห้ามองผู้อาวุโสแปดผาดหนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธ
“เอ้อร์หนิว เจ้าเห็นท่านปู่แปดของเจ้าเป็นแบบนี้แล้วยังไม่รีบมาพยุงข้าอีก” น้องแปดสายตากวาดมอง จับจ้องไปที่ร่างนายกอง หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา
นายกองรีบวิ่งไปด้วยหน้าระริกระรี้ พยุงท่านปู่แปดเอาไว้ ก่อนจะพูดชมเชยออกไป
“ท่านปู่แปดห้าวหาญเกรียงไกรไร้เทียมทาน เดิมคิดว่าในโลกนี้มีเพียงข้าที่มีความเด็ดขาดและจิตใจห้าวหาญเช่นนี้เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีวีรบุรุษอย่างท่านปู่แปดด้วย!”
ผู้อาวุโสแปดภาคภูมิใจ กำลังจะพูดอะไร แม่น้ำกาลเวลาคำรามลั่น เงาร่างของรัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยทยอยเดินออกมา คนสุดท้ายที่ปรากฏตัวออกมาคือผู้อาวุโสเก้า
การปรากฏตัวของเขารัศมีอำนาจน่าครั่นคร้าม เห็นเพียงอาวุธคมเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในแม่น้ำ ที่ปลายคมอาวุธยังมีเลือดสีทองด้วย
ช่วงเวลาที่เขาไปเป็นช่วงเวลาที่บุตรเทวะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งเก้าคน
“สังหารแล้ว”
ผู้อาวุโสเก้าใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
รัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยได้ยินก็ต่างโล่งอก พวกเขาก็ทำสำเร็จแล้วเช่นกัน
ตอนนี้คนทั้งหลายส่วนใหญ่ล้วนปรากฏตัวออกมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเหลืออีกคนหนึ่งที่ยังไม่ออกมา
หลี่เซียวซาน
“เขาแตกดับไปแล้ว แต่เขาทำสำเร็จ”
องค์หญิงหมิงเหมยทอดสายตามองไปทางแม่น้ำ หลังจากเอ่ยเสียงเบา มือขวาเพียงสะบัด ทันใดนั้นแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ทอดตัวอยู่ในฟ้าดินก็หายไปในทันที
รูปสลักเจ้าเหนือหัวที่ถูกท่วมจมอยู่ในนั้นค่อยๆ ปรากฏออกมา
เหนือศีรษะของมันมีเงาร่างหนึ่งคุกเข่าอยู่
จากการเลือนหายไปเรื่อยๆ ของแม่น้ำ ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดและขบถจันทร์ที่ถูกท่วมจมอยู่ในฟ้าดินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เป็นความงงงันสับสนก่อน จากนั้นก็เป็นความหวาดกลัว แล้วพลันหันไปมองพวกสวี่ชิงและเงาร่างที่อยู่บนศีรษะรูปสลักเจ้าเหนือหัว
นั่นคือร่างเดิมของบุตรเทวะ
หน้าตาที่เหี้ยมเกรียมของเขา ร่างที่น่ากลัวไม่แตกต่างอะไรไปจากก่อนหน้านี้ มีเพียงกลิ่นอายของเขาที่ไม่มั่นคง ตอนนี้ร่างขยับเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองลืมขึ้นมา
เปลวไฟสีทองในดวงตาของเขายังคงเผาไหม้ จ้องมองผืนฟ้า
บนฟ้า สายตาของพวกรัฐทายาทมองลงมา สบตากับเขา
สวี่ชิงและนายกองถอยหลังไปสองสามก้าว การต่อสู้ครั้งนี้เดินมาถึงเวลานี้ก็เป็นจุดจบ หากความสำเร็จของพิธีนี้ยังไม่อาจขัดขวางการเป็นเทพของบุตรเทวะได้ เช่นนั้นทุกอย่างต่อจากนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
นานหลังจากนั้น บุตรเทวะก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ เสียงแหบแห้งแฝงด้วยความรู้สึกเหมือนหมอกควัน ดังก้องฟ้าดิน
“ท่านพ่อของพวกเรา เขาในสายตาคนอื่นคือเจ้าเหนือหัว คือฟ้าที่ปกป้องดินแดนแถบหนึ่ง จงรักภักดีต่อจักรพรรดิโบราณอย่างสุดซึ้ง เมตตากรุณาสรรพชีวิตทั้งหลาย
“แต่ความจริงเขาเป็นคนที่ขัดแย้งในตัวเอง และเป็นคนที่เหี้ยมโหดคนหนึ่ง”
บนฟ้า รัฐทายาทส่ายหน้า
“นั่นเพราะเจ้าไม่เข้าใจท่านพ่อของพวกเรา”
บุตรเทวะเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มองไปทางรัฐทายาท เอ่ยเสียงเบา
“เสด็จพี่รัฐทายาท ท่านพ่อในสายตาของท่านไม่เหมือนกับของข้า เขาในชั่วพริบตาแรกที่ท่านเกิดคือเจ้าเหนือหัว เขาในชั่วพริบตาแรกที่ข้าเกิดมา…เป็นเทพเจ้า”
รัฐทายาทอ้าปากคล้ายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไร้คำพูด องค์หญิงหมิงเหมยในดวงตาฉายประกายวูบ เอ่ยราบเรียบ
“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าเลือกหักหลังและทำร้ายสายเลือดเดียวกัน”
บุตรเทวะหันมา สายตาจับจ้องบนร่างขององค์หญิงหมิงเหมย แล้วมองไปทางองค์หญิงห้าและน้องแปด สุดท้ายมองไปทางน้องเก้า
“พี่หญิงสาม น้องหญิงห้า น้องแปด น้องเก้า…
“ข้าอยากถามอะไรพวกเจ้าสักข้อหนึ่ง
“ทุกคนเมามายกันหมดเหลือเจ้าที่มีสติรับรู้ กับทุกคนมีสติรับรู้แต่เจ้าเพียงคนเดียวที่เมามาย อันไหน…น่าเศร้ายิ่งกว่ากัน”
ประโยคนี้ไม่มีคำตอบ
ทันทีที่พูดจบ บุตรเทวะก็หัวเราะเยาะตัวเอง เปลวไฟสีทองแผ่ลามออกมาจากในดวงตาของเขา เผาไปที่ใบหน้า ไหลไปบนร่าง โหมกระหน่ำเผาไหม้ ค่อยๆ สะท้านฟ้าสะเทือนดินขึ้นมา
เปลวไฟเผาไหม้แผ่นดิน แสงเพลิงสะท้อนทะลุฟ้า
ความศักดิ์สิทธิ์ในเสี้ยวขณะนี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
นั่นคือ…เพลิงเทวะ
แต่การลุกไหม้ของไฟนี้ไม่ใช่พิธีของบุตรเทวะประสบความสำเร็จ แต่เป็นการย้อนกัดกิน…
ท่ามกลางการเผาไหม้เองนี้ สายตาของเขาเบนจากพวกรัฐทายาท มองไปทางนายกอง ในดวงตาของเขามีความหมายล้ำลึก
นายกองมองตาเขา สีหน้าฉายความบ้าคลั่งออกมา มือขวาพลันยกขึ้น ดวงอาทิตย์จำลองที่กำเล่นอยู่ในมือทั้งเก้าตอนนี้พุ่งตรงไปยังบุตรเทวะทันที วนล้อมอยู่รอบกายเขา
เพลิงเทวะสีทองเป็นกลุ่มๆ ลอยจากร่างบุตรเทวะเข้าไปในดวงอาทิตย์ทั้งเก้า
ภาพนี้ทำให้พวกรัฐทายาทสีหน้าเคร่งขรึม และดวงอาทิตย์จำลองทั้งเก้า ภายใต้การผสานเข้าไปจากเพลิงเทวะ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล กลายเป็นสีทอง
“อาชิงน้อย นี่ถึงจะเป็นเหตุผลที่หลังจากศิษย์พี่ใหญ่ข้าคนนี้มาแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ก็รีบค้นหาดวงอาทิตย์จำลองทันที หลังจากดูดซับเพลิงเทวะแล้ว เจ้าว่าดวงอาทิตย์ทั้งเก้าคล้ายกับดวงตะวันแห่งแสงอรุณบ้างหรือไม่!
“ดวงตะวันแห่งแสงอรุณฉบับย่อส่วนทั้งเก้าเป็นของกำนัลชิ้นใหญ่ให้กับชื่อหมู่ ระเบิดนางหญิงแก่นั่นให้ตาย!”
เสียงที่แฝงด้วยความบ้าคลั่งของนายกองดังก้องไปทั่ว สวี่ชิงไม่แปลกใจ สมาธิของเขาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ดวงอาทิตย์ทั้งเก้านั่น แต่เป็นบุตรเทวะทางนั้น
เพราะตอนนี้บุตรเทวะที่กำลังเผาไหม้ทั้งร่างสลายหายไปอย่างรวดเร็ว สายตาสุดท้ายของเขามองมาทางสวี่ชิง
“ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะการปรากฏตัวของเจ้า กลายเป็นจุดกำเนิด
“ระหว่างเจ้ากับข้าคล้ายกันมากมายนัก นี่เป็นเพียงแค่ความบังเอิญจริงๆ หรือ
“เป็นไปได้ไหมว่า อดีตของข้าก็คืออนาคตของเจ้า…”
บุตรเทวะพึมพำ ร่างถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีทอง ค่อยๆ สลายหายไปจากบนศีรษะของรูปสลักบิดาเขา
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ลมพัดกรรโชก เมฆหมอกหอบม้วน
ที่ไกลๆ ดวงดาวจันทร์สีชาดที่ปลายขอบฟ้าใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แสงพรายสีแดงที่สาดออกมารอบๆ กลายเป็นแสงเลือด ก่อเป็นใบหน้าที่หลับตาอยู่ของชื่อหมู่ ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า
เทพเจ้า มาแล้ว