ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 691 กู่เยวี่ยหนิงเหยียน
บทที่ 691 กู่เยวี่ยหนิงเหยียน
ท้องฟ้า ฝนโปรยปราย
ฝนนี้ราวน้ำตา แต่ก็เหมือนเลือดเช่นกัน ทว่าสีของมันไม่ได้เป็นสีแดง แต่เป็นสีทอง
น้ำตาสีทอง เลือดสีทอง ในตอนนี้ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ปกคลุมไปทั่วแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราทั้งดินแดน
แต่มันไม่ได้เป็นของจริง
ฝนเป็นภาพมายา คล้ายว่าปนเปื้อนไปด้วยพลังของแม่น้ำแห่งกาลเวลาด้วยเช่นกัน ดังนั้นดูเหมือนโปรยปรายแต่แท้จริงแล้วบางทีมันอาจจะตกอยู่ในห้วงบรรพกาล หรือบางทีอาจจะตกในอนาคต…
นี่ก็เป็นเพราะคุณสมบัติอันพิเศษของเทพเจ้า
สำหรับเทพเจ้าตัวตนเช่นนี้ ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์น้อยนักที่จะมีคนสามารถพูดถึงแก่นแท้ที่แท้จริงขององค์ท่านออกมาได้ ร่างชีวิตที่อยู่เหนือระดับชั้นในตอนนี้ ร่างขององค์ท่านมีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่อาจพูดได้อย่างกระจ่างชัดเจน
แม้บุตรเทวะจะทะลวงขั้นล้มเหลว แต่ในชั่วพริบตาหนึ่ง ความจริงเขามีลักษณะพิเศษของเทพเจ้า ดังนั้น การตายขององค์ท่านย่อมเกิดฝนเลือดเทพหลั่งไหลเช่นนี้
ยิ่งมีเขตแดนจิตโศกเศร้าเข้มข้นกลุ่มหนึ่ง แผ่ลามเข้ามาในใจของทุกสรรพชีวิตจากในฝนเลือดนี้
แปรเปลี่ยนเป็นคำพูดประโยคหนึ่ง
“ทุกคนเมามายกันหมดเหลือเพียงข้าที่มีสติรับรู้ กับทุกคนมีสติรับรู้แต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมามาย อันไหน…น่าเศร้ายิ่งกว่ากัน”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
ในสมองของเขา เสียงที่ดังสะท้อนไม่ได้มีแค่เสียงนี้เท่านั้นแต่ยังมีคำพูดสุดท้ายที่บุตรเทวะพูดกับเขาก่อนตายประโยคนั้นด้วย
เป็นไปได้ไหมว่า อดีตของข้าก็คืออนาคตของเจ้า…
ประโยคนี้ประทับไปในใจของสวี่ชิง แผ่ลามไปในวิญญาณ
จวบจนครู่หนึ่ง สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังดวงดาวจันทร์สีชาดบนท้องฟ้า
มองไปจากตรงนี้ ดวงดาวจันทร์สีชาดก็คือหินอุกาบาตขนาดมหึมาก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง กินพื้นที่ไปครึ่งผืนฟ้า ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีแดง
ยิ่งมีความรู้สึกกดดันรุนแรงกลุ่มหนึ่ง จากการมาเยือนขององค์ท่านก็ปกคลุมฟ้าดิน แม้แต่ฝนเลือดมายาก็ค่อยๆ รางเลือนไปเพราะการมาเยือนของดวงดาวจันทร์สีชาดดวงนี้
เพียงพริบตา ท้องฟ้าเกิดรอยยุบ มรรคาสวรรค์จำต้องหลีกถอย กฎเกณฑ์ทุกอย่าง จากการปรากฏขึ้นของดวงดาวจันทร์สีชาดก็พังทลายแยกสลาย ไม่มีอยู่อีกต่อไป
แผ่นดินก็เช่นกัน ปฏิกิริยาน้ำขึ้นน้ำลงมาถึงระดับสูงสุด ภูเขาถล่ม แผ่นดินแตกแยก แม่น้ำไหลย้อนทวน ประดุจวันสิ้นโลกมาเยือน
“มาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย อย่างมากสามวัน องค์ท่านจะมาปรากฏตัวที่นี่”
นายกองยืนข้างๆ สวี่ชิง มองจันทร์สีชาดเลียริมฝีปาก จากนั้นก็ยกมือเรียกดวงอาทิตย์จำลองทั้งเก้ากลับมา กำเล่นในมือพลางเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ส่วนคำพูดที่บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวพูดกับเจ้าก่อนตาย ศิษย์น้องเล็ก ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ เจ้าต้องรู้ว่าคนบางคนก่อนตายก็ชอบพูดจาลึกลับเป็นปริศนาอะไรบางอย่างเพื่อให้ผู้คนจดจำ”
“นิสัยนี้ความจริงแล้วดีมากเลย วันหน้าข้าก็เตรียมทำแบบนี้เหมือนกัน บทพูดข้าก็คิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อนาคตตอนที่ข้าตาย ข้าก็พูดว่า…ในยามที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาอีกครั้ง ข้าจะกลับมาเพื่อพบศิษย์น้องเล็กของข้า”
“เป็นอย่างไร บทพูดนี้เท่ไหม แสดงมิตรภาพของเราออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยใช่หรือไม่ ฮ่าๆ ทำให้คนที่ได้ฟังคิดเชื่อมโยงไปสรตะเลยใช่หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะคิดว่าข้าคือเสี้ยวหน้าเทพเจ้าก็ได้” นายกองกะพริบตาปริบๆ
“ข้าคิดบทพูดให้เจ้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน วันหน้าหากเจ้าจะม่องเท่ง จำไว้ว่าก่อนตายจะต้องใช้เสียงต่ำๆ พูดว่า…ปีที่สิบเอ็ดที่ศิษย์พี่ใหญ่ข้าลงมาเยือน ข้าจะกลับมา”
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าขอบคุณท่านมากๆ เลย”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเกรงใจ ระหว่างพวกเราเกรงใจอะไรกันเล่า” นายกองหน้าตาระรื่นเบิกบาน หัวเราะอย่างได้ใจ
“เช่นนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ ในช่วงเวลาช่วงนั้นของบุตรเทวะที่ท่านไป มีอะไรหรือ” สวี่ชิงถามสิ่งที่อยากถามก่อนหน้านี้ออกมาในตอนนี้
นายกองได้ยินใบหน้าก็ยังยิ้มอยู่เช่นเดิม มีเพียงในดวงตาเท่านั้นที่มีความล้ำลึกบางอย่างเพิ่มขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมา
“หลี่จื้อฮว่าตัดเพลิงเทวะของตัวเองก่อนที่บุตรชายคนที่สี่ของเขาจะเป็นระดับปราณก่อกำเนิดเคราะห์ที่สาม”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
นายกองพยักหน้า
สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง ไม่ถามอะไรมากอีก
ตอนนี้ จากความตายของบุตรเทวะ ผู้บำเพ็ญจากตำหนักขบถจันทร์ที่อยู่รอบๆ แต่ละคนสีหน้าฮึกเหิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ต่อให้ดวงดาวจันทร์สีชาดมาเยือน ทว่าเรื่องในตอนนี้ ในประวัติศาสตร์แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ไม่เคยมีปรากฏขึ้นมาก่อน
ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดล่มสลาย!
จักรพรรดิตำหนักถูกสะกด บุตรเทวะแตกดับ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง!
และเทียบกับผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์แล้ว ผู้บำเพ็ญตำหนักจันทร์สีชาดพวกนั้นลมหายใจหอบถี่ ในใจเกิดคลื่นซัดโหมไม่รู้จบ
จันทร์สีชาด เพียงเงยหน้าก็มองเห็น
แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ความตายพร้อมมาเยือนทุกเมื่อเช่นกัน
เพราะหลังจากสูญเสียจักรพรรดิตำหนักและบุตรเทวะแล้ว ในสามวันที่จันทร์สีชาดจะมาถึงที่นี่ พวกรัฐทายาทที่อยู่บนท้องฟ้า ตัวตนของพวกเขาคือระดับสูงสุดในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
คำพูดเดียวตัดสินเป็นตาย!
ตอนนี้บนท้องฟ้า รัฐทายาทจ้องมองดวงดาวจันทร์สีชาด สีหน้าเคร่งเครียด องค์หญิงหมิงเหมยและองค์หญิงห้าที่อยู่ข้างๆ เขา ตลอดจนน้องแปดล้วนเป็นเช่นนี้
มีเพียงน้องเก้าเท่านั้นที่สีหน้าไร้อารมณ์ มองดวงดาวจันทร์สีชาดอย่างเย็นชา จิตสังหารกลุ่มหนึ่ง พวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของเขา
“พวกเรามีเวลาเพียงสามวันเท่านั้น”
รัฐทายาทดึงสายตากลับมาจากดวงดาวจันทร์สีชาด มองไปทางสวี่ชิงและนายกอง
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ไม่ว่าพวกเจ้าจะมีอาจารย์วางแผนทุกอย่างนี้จริงหรือไม่ ข้าขอถามเพียงคำถามเดียว พวกเจ้ามีวิธีฟื้นคืนชีพเสด็จพ่อของพวกเราจริงหรือ”
รัฐทายาทเพียงพูดออกมา น้องชายน้องสาวที่อยู่ข้างๆ เขาต่างมองมาทางนายกองและสวี่ชิง
นายกองได้ฟังก็เงยหน้ามองพวกรัฐทายาท เอ่ยอย่างหยิ่งทะนง
“พวกท่านปู่ท่านย่าโปรดวางใจ ข้าเฉินเอ้อร์หนิวคนนี้ไม่เคยคุยโว บอกว่าฟื้นคืนชีพได้ก็จะต้องฟื้นคืนชีพได้อย่างแน่นอน แต่ว่าจะต้องขอความร่วมมือจากพวกท่านปู่ท่านย่าสักหน่อย อย่างเช่นสำแดงวิชา หรือไม่ก็กรีดเลือดอะไรพวกนี้…”
ประโยคนี้นายกองเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวมั่นใจ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่พวกรัฐทายาทหลังจากเงียบนิ่งไปครู่หนึ่งก็เลือกที่จะมองไปทางสวี่ชิง
สำหรับคำพูดของเฉินเอ้อร์หนิวพวกเขาล้วนไม่เชื่อมั่นไปโดยสัญชาตญาณ แต่ความสัมพันธ์ของสวี่ชิงกับพวกเขาต่างออกไป นับว่าเป็นลูกศิษย์ของพวกเขาได้ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นคำพูดของเขาจึงต่างออกไป
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย ดังนั้นจึงมองสวี่ชิงตาละห้อย ในใจของเขารู้ดี หากอยากให้พวกรัฐทายาทร่วมมือ ตัวเองพูดร้อยประโยค ไม่สู้สวี่ชิงพูดเพียงประโยคเดียว
สวี่ชิงไม่ลังเล มองไปทางพวกรัฐทายาท เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
“ผู้อาวุโส ศิษย์พี่ใหญ่ข้าบอกว่าทำได้ ข้าก็เชื่อว่าต้องทำได้อย่างแน่นอนขอรับ!”
รัฐทายาทเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า
“ในสามวันนี้พวกเราจะร่วมมืออย่างสุดกำลัง หากสุดท้ายทำไม่ได้ สวี่ชิง…ข้าจะส่งเจ้าไปจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เรื่องที่นี่รอเมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะจัดการได้ค่อยกลับมา”
“ส่วนเจ้า…อยู่ต่อก็แล้วกัน” รัฐทายาทกวาดตามองนายกองผาดหนึ่ง เอ่ยราบเรียบ
การปฏิบัติตัวที่แตกต่างกันแบบนี้ทำให้เอ้อร์หนิวจนปัญญา แต่เขาก็รู้ว่าคนอื่นรู้สึกว่าเขาจริงใจเกินไป และความจริงใจอย่างสุดขั้วนี้มักจะทำให้คนคิดว่าตนนั้นพึ่งไม่ได้
“เฮ้อ ความจริงใจไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย เป็นข้อดีของข้าต่างหาก”
นายกองในใจไม่ยอมจำนน แต่ใบหน้ากลับฉายแววประจบประแจง รีบพูดขึ้น
“ท่านปู่ ข้าก็อยากอยู่ที่นี่เคียงข้างกับพวกท่าน แต่ข้าทำให้เจ้าเหนือหัวฟื้นคืนชีพได้จริงๆ ขั้นตอนการฟื้นคืนชีพจะต้องอาศัยการช่วยเหลือจากศิษย์น้องข้า และการเตรียมการมากมายของข้า จะขาดคนใดไปไม่ได้
และขั้นตอนแรก สิ่งที่ต้องการก็คือความพิเศษของศิษย์น้องเล็กข้า!”
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าต้องการลูกกลอนลดคำสาปของเจ้ามาทำการชำระล้างสรรพชีวิตทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ลดคำสาปของพวกเขาอย่างน้อยสามส่วน หากอยากทำให้ได้ถึงขั้นนี้ เจ้าต้องใช้อะไรบ้าง”
นายกองมองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงคิดๆ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ข้าต้องการพลังจันทร์สีชาดในร่างของพวกเขา”
สวี่ชิงชี้ไปยังผู้บำเพ็ญจันทร์สีชาดที่อยู่ข้างล่าง
ตอนนี้ผู้บำเพ็ญจันทร์สีชาดหน้าเปลี่ยนสีกันไปทั้งหมด
“ข้าต้องการพลังจันทร์สีชาดในร่างของพวกเขา ใช้มันเป็นตัวกระตุ้นยา ใช้แผ่นดินวิญญาณศัสตราตำหนักขบถจันทร์เป็นเตาหลอม”
สวี่ชิงพูดจบ นายกองก็มองไปทางรัฐทายาททันที
พวกรัฐทายาทไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาต่างยกมือขึ้น กดไปบนแผ่นดินข้างล่างด้วยพลังทั้งหมด พลังกดดันระดับเตรียมสู่เทวะกดอัดลงมาทันที ปกคลุมไปบนร่างของผู้บำเพ็ญจันทร์สีชาดทั้งหมด
เสียงสะท้านสะเทือนดังขึ้น ขณะแผ่นดินสั่นไหว ผู้บำเพ็ญจันทร์สีชาดที่นี่ต่างส่งเสียงโหยหวน ร่างสั่นเทิ้ม ต่างระเบิด ไม่ว่าจะมีพลังบำเพ็ญขั้นไหน ในยามที่เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะห้าคนล้วนไม่มีพลังที่จะต่อต้าน
ร่างแหลกเละของพวกเขาถูกคั้นเอาเลือดสดๆ ออกมา เกิดเป็นทะเลสีเลือดผืนหนึ่งลอยขึ้นฟ้า พุ่งตรงไปหาสวี่ชิง
ผู้แข็งแกร่งในบรรดาผู้บำเพ็ญจันทร์สีชาด อย่างองค์รักษ์เลือดหรือผู้บำเพ็ญจันทร์สีชาดเก่าแก่ทั้งสามคนนั่น พวกเขาก็แค่ยืนหยัดได้นานกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่อาจหนีคราวเคราะห์ได้ ไม่นานร่างก็แหลกสลาย ทุกอย่างของร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นเลือดสดๆ ผสานไปในทะเลเลือด
ภาพนี้เหมือนนรกบนดิน แต่ไม่มีใครมีความรู้สึกเห็นใจเลย
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง สัมผัสได้ถึงพลังจันทร์สีชาดเข้มข้นในทะเลเลือดรอบๆ มือขวาของเขายกขึ้นชี้ไปในอากาศ ทันใดนั้นกระจกขบถจันทร์ก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะเขา ขณะที่มันส่องแสงกะพริบวูบวาบ ภาพฉากที่อยู่ในดินแดนวิญญาณศัสตราในเขตแดนขบถจันทร์ ก็ปรากฏขึ้นในโลกความเป็นจริง
สวี่ชิงเริ่มลงมือหลอม!
แต่ก็มีจุดที่แตกต่างเช่นกัน ครั้งนี้ไม่ได้หลอมยา แต่หลอมฝนห่าหนึ่ง!
ฝนที่ยืมพลังของกระจกขบถจันทร์ ผสานการคล้ายคำสาปในจิตใจของคนทั้งหลาย
ไม่นานนัก เลือดรอบๆ ก็เดือดพล่าน ภายใต้การหลอมจากสวี่ชิง ทุกอย่างในนั้นถูกเปลี่ยนแปลงไป สุดท้ายสวี่ชิงสั่งอสูรเลือดทั้งหมดที่นี่ ชักนำเลือดของพวกมันผสานเข้าไป สุดท้ายก็ใช้อำนาจจันทร์สีชาดของตัวเองร่วมด้วย เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ลดคำสาป!”
คำพูดของเขาราวว่าเพียงพูดวิชาก็สำแดงขึ้นทันใด ทันทีที่ดังก้องทะเลเลือดระเบิดส่งเสียงคำรามก้อง พุ่งตรงไปยังกระจกขบถจันทร์
หลังจากกระจกขบถจันทร์ดูดซับไปแล้ว พายุสีเลือดลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของสรรพชีวิตที่เหลือรอดในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
เพียงพริบตา คนทั้งสั่นสะท้าน ไม่ว่าจะมีพลังบำเพ็ญอะไร ตอนนี้ทุกคนในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ คำสาปในร่างของพวกเขาเหมือนน้ำแข็งเจอกับน้ำเดือด
เริ่มละลาย!
“ต่อไป เป็นขั้นที่สอง ท่านปู่รัฐทายาท ฟื้นคืนชีพเจ้าเหนือหัวต้องการสายเลือดของพวกท่านเป็นตัวกระตุ้น ผสานเลือดระดับเตรียมสู่เทวะของพวกท่านเข้าไปในรูปสลักเจ้าเหนือหัว ฟื้นคืนเลือดเนื้อของเขา!”
นายกองพลันเงยหน้า มองไปทางพวกรัฐทายาท
รัฐทายาทกับพี่น้องต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็ต่างหลับตา หว่างคิ้วต่างแยกออก เลือดที่แฝงไว้ด้วยชีวิตและพลังบำเพ็ญของพวกเขาแต่ละหยดๆ ลอยออกมา ผสานไปในรูปสลักเจ้าเหนือหัว
ทยอยดำเนินไปไม่หยุด
“จากนั้นเป็นขั้นที่สาม รวบรวมพลังเจตจำนงที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นหลังจากที่คำสาปลดลงแล้วจากคนทั้งหลาย รวมไปในรูปสลักเจ้าเหนือหัว ปลุกเจ้าเหนือหัวให้ตื่นขึ้น!”
ร่างของนายกองลอยขึ้นฟ้า ผมสยายกระเซิง ในดวงตาฉายความบ้าคลั่ง ตะโกนเสียงดังออกมา เสียงเขาดังไปในตำหนักขบถจันทร์ ดังก้องไปในสมองของคนทั้งหลาย
ไม่นานนัก จุดแสงแต่ละจุดๆ ก็ลอยขึ้นจากพื้น พุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ หลังจากที่ปรากฏขึ้นที่นี่ก็ตรงไปในรูปสลักเจ้าเหนือหัว หลังจากจมลงไปแต่ละจุดๆ แล้ว รูปสลักเจ้าเหนือหัวก็ขยับขึ้นเป็นครั้งแรก…นับจากห้วงเวลาอันยาวนานมานี้
ฝุ่นธุลีมหาศาลร่วงหล่น แผ่นดินสะเทือนขุนเชาสั่นคลอน
แต่ก็เป็นแค่นี้เท่านั้น รูปสลักเทพเจ้าขยับเล็กน้อยก็สงบนิ่ง ไม่ฟื้นตื่นขึ้นมา
เลือดของพวกรัฐทายาทยังคงถูกส่งต่อไป เห็นเป็นเช่นนี้ก็กวาดตามองนายกอง
นายกองไม่ลนลานแม้แต่น้อย ความบ้าคลั่งในดวงตากลับยิ่งเข้มข้น ตะโกนไปทางกระจกขบถจันทร์
“อาชิงน้อย ช่วยส่งหนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูมาให้ข้าหน่อย!”
สวี่ชิงพยักหน้า รีบประสานปางมือ ทันใดนั้นกระจกขบถจันทร์กะพริบวูบวาบ หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอู่ที่อยู่ไกลที่ร้านยาในเทือกเขาทนทุกข์ เงาร่างของพวกเขาถูกของวิเศษแดนสงครามบังคับส่งข้ามมาที่นี่
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น บนใบหน้าของทั้งสองยังแฝงด้วยความงุนงง หลังจากมองเห็นทุกอย่างรอบๆ ชัดเจน หนิงเหยียนสูดลมหายใจลึก อู๋เจี้ยนอูตกใจร้องเสียงหลง
“ไม่ทราบว่าท่านปู่อยู่เหนือศีรษะ ไม่ว่าใครล้วนตกใจราวสายฟ้าฟาด!”
นายกองถลึงตา ตะโกนออกมา
“อู๋เจี้ยนอู เอาสัตว์เลี้ยวพวกนั้นของเจ้าออกมาให้หมด สายเลือดของพวกมันมาจากสหายสนิทของเจ้าเหนือหัว ให้พวกมันคุกเข่าหมอบคารวะ ออกมาปลุกให้เจ้าเหนือหัวฟื้นตื่นด้วย”
“หนิงเหยียน ข้ารู้ว่าสายเลือดของเจ้ามาจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ บิดาเจ้าคือจักรพรรดิมนุษย์คนปัจจุบันใช่ไหม เจ้าไม่ได้แซ่หนิง แต่แซ่กู่เยวี่ย! ไปคุกเข่าหมอบคารวะเสีย ใช้ฐานะสายเลือดชนรุ่นหลังจักรพรรดิโบราณไม่รู้ต่อกี่ยุคกี่สมัยของเจ้ากเข่าหมอบคารวะ ปลุกให้เจ้าเหนือหัวฟื้นตื่นขึ้น!”
อู๋เจี้ยนอูตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เรียกออกมาทันที แต่หนิงเหยียนทางนั้นเมื่อได้ยินสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชิงมองไปอย่างเย็นชา
“ยังไม่ทำตามอีก!”
หลิงเหยียนหดศีรษะ เขากลัวนายกอง แต่กลัวสวี่ชิงมากกว่า ดังนั้นจึงฉายสีหน้าประจบประแจงออกมาตามสัญชาตญาณ รีบพยักหน้า
“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้…”