ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 696 แย่งอาหารจากปากเทพเจ้า
บทที่ 696 แย่งอาหารจากปากเทพเจ้า
“บรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาล โยวติงมู่!”
แสงเยือกเย็นพาดผ่านในตารัฐทายาท บอกตัวตนใบหน้าดวงตาทั้งหกนี้ออกมา!
ที่จำตัวตนของใบหน้านี้ได้ ไม่ใช่แค่รัฐทายาท เหล่าพี่น้องของเขาตอนที่เห็นก็จำได้ในทันที
นายกองหรี่ตา มุมปากยกขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้จักตัวตนใบหน้าภาพสัญลักษณ์ของประตูใหญ่บานนี้ ถึงอย่างไรชาติที่แล้ว…เขาก็เคยมาที่นี่
สวี่ชิงสองตาจ้องเพ่ง นึกถึงระหว่างทางที่ไปยังที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือกับรัฐทายาทตอนนั้น เรื่องที่รัฐทายาทเคยเล่าให้ฟังยามที่เห็นเผ่าเงารัตติกาล
บรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าเหนือหัว และเลือกทรยศตอนที่ชื่อหมู่มาเยือน จากนั้นก็ถูกเจ้าเหนือหัวสะกดสังหารด้วยนิ้วเดียวในที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือ ทำให้เขาแตกสลาย โลกใบใหญ่กระจายเป็นเสี่ยงๆ
และชิ้นส่วนโลกใบใหญ่ชิ้นนั้นที่เขาได้รับมา ก็คือส่วนหนึ่งของโลกใบใหญ่ของใบหน้าภาพสัญลักษณ์นี้ในตอนนั้น
ปัจจุบันผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกเจ้าเหนือหัวสะกดสังหาร ปรากฏขึ้นที่ประตูใหญ่วังจันทรา กลายเป็นทวารบาล เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการของชื่อหมู่ ทำให้เขาฟื้นคืนชีพในระดับหนึ่ง
‘ดังนั้น ที่ศิษย์พี่ใหญ่ไปยังที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือตอนนั้น ใช้ผิวหนังของตัวเองประทับลายนิ้วมือที่นั่น…’
สวี่ชิงมองไปทางนายกอง
นายกองสบตากับสวี่ชิง สีหน้าภาคภูมิใจ ทำท่าทางประมาณว่าตอนนี้เจ้ารู้ถึงความร้ายกาจของข้าแล้วสินะ แอบคิดว่าก่อนหน้านี้อาชิงน้อยเคยได้สำแดงออกมาแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงตาเขาได้สำแดงออกมาบ้าง
จึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงดัง
“ผู้อาวุโสทุกท่าน การตื่นขึ้นของชื่อหมู่ต้องใช้ขั้นตอนหนึ่ง พวกเราต้องไปที่ที่องค์ท่านหลับใหลก่อนที่องค์ท่านจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์!
“ส่วนทวารบาล พวกท่านช่วยข้าถ่วงเวลาไว้หน่อย ข้ามีวิธีการสะกดเขาไว้ขอรับ!”
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็กวาดมองไปรอบๆ จากนั้นก็มองนายกอง คิดจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไว้
ขณะเดียวกัน จากการปรากฏขึ้นของวังจันทรา แผ่นดินดาวพระจันทร์สีชาดสั่นไหวถูกดึงดูดจนปูดนูนขึ้นมา ท้องฟ้าลาดเอียง ราวกับถูกพลังไร้รูปร่างบางอย่างดึงไว้
มองไกลๆ วังจันทราเก่าแก่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน หินขนาดยักษ์เผยความบรรพกาล แต่ไม่ว่าจะเป็นลวดลายหรือว่ารายละเอียดบนนั้น กลับแสดงให้เห็นความวิจิตรประณีตและความหรูหรา
ยิ่งมีความกว้างใหญ่ไพศาลโดดเด่นขึ้นมา
กำแพงสีชาด กระเบื้องสีแดงฉูดฉาด คานแกะสลักและทาสีอย่างวิจิตรประณีต อีกทั้งชายคาที่ยื่นออกมายังสูงตระหง่านสลับทับซ้อนกันอย่างน่าสนใจ ภาพสิงสาราสัตว์ในนั้นก็ราวกับมีชีวิต
โดยเฉพาะภายใต้หมอกเลือดที่ปกคลุมขมุกขมัว ประหนึ่งภาพร่างซึ่งลอยละล่องอยู่บนก้อนเมฆ แสดงให้เห็นถึงสงบเคร่งขรึมเป็นเอกเทศ
การมาเยือนของมันเหมือนกลายเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมารวมตัวที่มัน ไม่ว่าจะฟ้าหรือดิน…ล้วนเป็นเช่นนี้
ท้องฟ้าบิดเบี้ยว แผ่นดินกระเพื่อมขึ้นลง โลกทั้งใบกำลังครืนครัน
มีเพียงวังจันทราเป็นจุดดึงดูดสายตา แสงสีเลือดที่เปล่งออกมาส่องสว่างไปทั่วสารทิศ สาดส่องดาวพระจันทร์สีชาดทั้งใบ
เสี้ยวขณะนี้ ดาวพระจันทร์สีชาดก็เหมือนคารวะไปทางมัน ร่างเงาที่ถูกสวี่ชิงเปลี่ยนคำอธิษฐานไปเหล่านั้น สีของร่างกายกลับเป็นสีแดงชาดในพริบตา เสียงพึมพำก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม
และด้วยความโดดเด่นของสีชาด ใบหน้าภาพสัญลักษณ์บนประตูใหญ่ก็ยิ่งโหดเหี้ยม มองสวี่ชิงโกรธเกรี้ยว ขณะที่ความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาก็มาพร้อมกับเจตนาสังหาร เสียงของมันที่ดังออกมา ราวกับทัณฑ์สวรรค์นับไม่ถ้วน ฟาดผ่าครืนครันไปทั้งแปดทิศ
ยิ่งมีหิมะสีแดงชาดโปรยปรายไปรอบด้าน รวมตัวเป็นโครงกระดูกสวมชุดเกราะร่างแล้วร่างเล่า พุ่งวเข้าหาพวกสวี่ชิง
เผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ รัฐทายาทแค่นเสียงเย็น ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง เมื่อที่เท้าเหยียบย่างลงไป พลังเตรียมสู่เทวะก็ปะทุขึ้นมาจากในร่าง กลายเป็นฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่ง คว้าไปทางอากาศเบื้องหน้า
ความว่างเปล่าก็พลันรางเลือน โครงกระดูกสวมเกราะเหล่านั้นพากันสั่นสะท้าน พังทลายลงพร้อมกัน แต่ครู่ต่อมาก็รวมตัวกันใหม่ กลายเป็นอสูรกระดูกโลหิตตัวแล้วตัวเล่า
เหมือนพวกมันเป็นอมตะ ไม่ว่าจะทำลายอย่างไรก็ไม่อาจสังหารมันได้ ซ้ำภายใต้การรวมตัวใหม่แต่ละครั้งก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
แต่เหล่าพี่น้องรัฐทายาทย่อมไม่ใช่ผู้อ่อนแอ โดยเฉพาะยังเข้าขากันได้เป็นอย่างดี เวลานี้องค์หญิงหมิงเหมยทำปางมือ แม่น้ำกาลเวลาหลั่งไหลโหมพัดไป
ยิ่งมีผู้อาวุโสแปดที่เปล่งเสียงคำรามเสียงต่ำ เสียงคำรามของเขาสามารถส่งผลกับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา และยังสร้างระลอกคลื่นให้กับผู้ที่ตายด้านได้ ในชั่วพริบตา อสูรร้ายกระดูกโลหตเหล่านั้นก็พากันกระสับกระส่าย เกิดตื่นกลัวขึ้นมา
ไม่ทันได้สะกดอารมณ์ แม่น้ำกาลเวลาก็โถมมา คลื่นยักษ์พัดกวาดท่วมจมทั้งหมด
ส่วนนายกองทางนั้น ยามนี้ก็ไม่ได้ว่าง เขาหยิบม้วนหนังมนุษย์ออกมาจากถุงเก็บของ ร้องเรียกสวี่ชิง ทั้งสองจับคนละด้าน เปิดออกมาด้วยแรงทั้งหมด
เพียงพริบตา พวกเขาก็กางหนังมนุษย์ออกมา ด้านในมีลายนิ้วมือขนาดยักษ์ลายหนึ่งประทับไว้
ลายนิ้วมือนี้แปลกประหลาด มองผาดเดียวก็รู้สึกสั่นสะท้านทั้งจิตใจและวิญญาณ
นั่นคือลายนิ้วมือของเจ้าเหนือหัว นิ้วมือที่เคยสะกดบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาล
“อาชิงน้อย ผสานพิษต้องห้ามของเจ้าเข้าไปหน่อย!”
นายกองร้องเสียงสูง จากนั้นก็พ่นเลือดรดลงไปบนหนังมนุษย์เพื่อกระตุ้นมัน ลายนิ้วมือนี้ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาทันที ยิ่งมีพลังอำนาจที่น่าครั่นคร้ามระเบิดออกมาด้านใน
สวี่ชิงดวงตาทั้งสองดำสนิท พลังพิษต้องห้ามตามออกไป ขณะทีปกคลุมลายนิ้วมือ นายกองก็หยดเลือดเพิ่มหยดแล้วหยดเล่า
ไม่นานนัก ลายนิ้วมือหนังมนุษย์ก็มีอำนาจสะกดเข้มข้นขึ้น
แต่เมื่อเห็นการพ่นเลือดของนายกอง สวี่ชิงอยากจะเอ่ยอะไรสกเล็กน้อย ทว่าเห็นนายกองฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า สวี่ชิงจึงคิดว่าไม่ต้องเตือนก็แล้วกัน
ส่วนการลงมือของเหล่ารัฐทายาทก็ยังไม่จบสิ้น ยามนี้หลังจากที่กวาดล้างอสูรกระดูกโลหิตเหล่านั้น ก็พุ่งทะยานไปทางตำหนักจันทรา
แต่เป็นผู้ที่สามารถเฝ้าดูแลประตูให้ชื่อหมู่ได้ ฝีมือใบหน้าภาพสัญลักษณ์ของประตูใหญ่วังจันทราย่อมไม่มีทางมีเท่านี้ ดวงตาทั้งหกของเขากะพริบวูบวาบพร้อมกัน กลายเป็นแสงสีชาดหกทาง แปรเป็นโคลนสีแดงหกก้อน พุ่งไปหาเหล่ารัฐทายาท
โคลนนี้ไม่ธรรมดา แฝงเจตจำนงเทพเจ้า
เข้าประชิดในพริบตาอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มเหล่ารัฐทายาททั้งห้าเอาไว้ในก้อนโคลน และอีกก้อนก็พุ่งไปหาสวี่ชิง
แต่ก่อนที่โคลนสีเลือดก้อนนี้จะถึงตัว กระบี่สีดำเล่มหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชิง รับโคลนก้อนนี้แทนเขา
ผู้อาวุโสเก้าที่ถูกก้อนโคลนห่อหุ้ม ปรากฏตัวเบื้องหน้าสวี่ชิง เขาคนเดียวแต่กลับต้านทานโคลนของบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลถึงสองก้อนได้
“เร่งมือเข้า!”
ผู้อาวุโสเก้าที่เลือดทั้งร่างไหลเวียนย้อนกลับยืนหันหลังให้นายกองกับสวี่ชิง ส่งเสียงต่ำทุ้มออกมาจากโคลน
นายกองใจสั่นสะท้าน รีบพยักหน้า
“มากสุดเจ็ดอึดใจขอรับ!”
พูดพลาง เขาก็พ่นเลือดออกมามากกว่าเดิม สวี่ชิงก็ผสานพิษต้องห้ามเพิ่มเข้าไป และในระหว่างนี้ พวกเขาทั้งสองลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน หนังมนุษย์ผืนนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยพิษต้องห้ามและเลือดของนายกอง
ขณะที่ทั้งสองคนขึงเอาไว้ หนังมนุษย์ผืนนี้ก็ขยายอย่างรวดเร็วเป็นสามจั้ง สิบจั้ง สี่สิบจั้ง….
ลายนิ้วมือบนตัวมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเป็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งหกบนใบหน้าภาพสัญลักษณ์บนประตูใหญ่วังจันทราก็หลับลงพร้อมกัน และบนเปลือกตาที่ปิดลง ก็มีเงาวิญญาณหกสายผุดขึ้นมา
มองอย่างละเอียดจะเห็นว่า เงาวิญญาณทั้งหกนี้คือรัฐทายาททั้งห้า และที่เหลืออีกหนึ่งคือวิญญาณที่สองของผู้อาวุโสเก้า
พริบตาที่พวกมันปรากฏขึ้น โคลนสีเลือดนอกร่างเหล่ารัฐทายาท ระเบิดตลบม้วนพร้อมกัน รวมตัวกลายเป็นตุ๊กตาดินเกนียวที่หน้าตาเหมือนกับเหล่ารัฐทายาททั้งหกไม่ผิดเพี้ยน
แต่ละตัวแสยะยิ้มพิลึกพิลั่น ระเบิดสำแดงพลังบำเพ็ญเตรียมสู่เทวะออกมาเช่นกัน พุ่งไปจะสังหารเหล่ารัฐทายาท
ขณะเดียวกัน หน้าผากของใบหน้าภาพสัญลักษณ์นี้ก็ปริแตกเป็นทาง ดวงตาที่เจ็ดลืมขึ้น มองไปทางสวี่ชิงและนายกอง หลักๆ คือจ้องไปยังลายนิ้วมือบนหนังมนุษย์นั้น
ดวงตาที่เจ็ดหดเล็กลง ใบหน้าภาพสัญลักษณ์ไหววูบ เลือกออกมาจากประตูใหญ่ ปรากฏตัวที่โลกภายนอก กลายเป็นใบหน้าโคลนขนาดยักษ์ดวงหนึ่ง
ตัวตนขององค์ท่าน เกิดจากโคลนสีเลือด ตอนนี้พุ่งตรงไปหานายกองทางนั้น ปากอ้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะกลืนกินพวกสวี่ชิงลงไป
ทว่าตอนนี้เอง ใบหน้าโคลนสีเลือดเพิ่งลอยมา ยังไม่ทันได้กลืนกินสวี่ชิงกับนายกอง จู่ๆ แสงสีดำสายหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
แสงสีดำนี้ซ่อนได้มิดชิดยิ่ง วิธีการรวมถึงเวลาที่ปรากฏตัวก็เจ้าเล่ห์นัก ราวกับรอเสี้ยวขณะที่ใบหน้านี้ออกมาจากประตูใหญ่อยู่แล้ว
จากการลอยมา ความละโมบและหิวโหยวูบหนึ่ง ก็ปะทุขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม ยิ่งมีน้ำในยมโลกสีขุ่นหยดย้อยลงมาจากทั้งแปดทิศ นั่นเป็น…น้ำลายของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล
แสงสีดำ ก็คือผ้าคลุมที่แปรมาจากจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล
ผ้าคลุมนี้พุ่งไปที่ปากยักษ์ของใบหน้าโคลนสีเลือดในพริบตา พุ่งเข้าไปตรงๆ
ความหิวโหยที่สะกดไว้หลายปี ระเบิดออกมาจนหมดในตอนนี้ จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจึงอยากจะกลืนกินอย่างคุ้มคลั่งขึ้นมา
เสียงกรีดร้อง ดังออกมาจากใบหน้าโคลนสีเลือดทันที ดวงตาทั้งสองขององค์ท่านตื่นกลัวเป็นครั้งแรก ยามนี้ไม่สนใจเรื่องกลืนกินสวี่ชิงแล้ว แต่ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว จะกลับไปที่ประตูใหญ่
ทว่าจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจนถึงตอนนี้ เพื่อสิ่งที่ต้องการก็คือการได้กินแล้วจะยอมปล่อยให้อาหารอันโอชะหลุดไปเช่นนี้ได้อย่างไรจึงยิ่งกัดกินสิ่งที่อยู่ในร่างโคลนสีเลือดอย่างบ้าคลั่ง
คำแล้วคำเล่า ฉีกทึ้งไม่หยุด ทันใดนั้น น้ำลายยมโลกเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ไหลมารวมเป็นแม่น้ำ ก็มีเสียงหิวโหยราวสายอัสนีดังกึกก้องไปทั่วสารทิศ
ภาพนี้ ทำให้นายกองตกตะลึง มองไม้ตายที่ตนเตรียมไว้ จากนั้นก็มองใบหน้าโคลนสีเลือดนั่น ค่อนข้างกลัดกลุ้ม
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ เขาไม่ได้รู้สึกเกินคาดกับเรื่องนี้
จากความเข้าใจจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลของเขา ถ้าอีกฝ่ายไม่ทำเช่นนี้สิแปลก
อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาคิดจะเตือนนายกอง…ทว่าด้านหนึ่งก็ไม่อยากจะไปทำลายความกระตือรือร้นของศิษย์พี่ใหญ่ อีกด้านหนึ่งคือถ้าเตือนไป เกรงว่าการลอบโจมตีของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจะไม่ได้ผล
ตอนที่นายกองกำลังกลัดกลุ้ม บรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลที่รวมตัวจากโคลนสีเลือดก็ส่งเสียงกรีดร้อง ใบหน้าขององค์ท่านแตกสลายไปในพริบตา ร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางเสียงครืนครัน กลายเป็นโคลนสีเลือดมากมายมหาศาล รวมตัวกันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เพียงแต่…โคลนสีเลือดที่ควบรวมใหม่ มีเพียงสี่ส่วนจากเดิม ส่วนโคลนสีเลือดหกส่วนที่เหลือนั้น ยามนี้กลายเป็นดวงตาหลายดวง เผยความตะกละตะกรามออกมา
พวกมันกลายเป็นของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลไปแล้ว
บรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลตื่นตะลึง ร่างที่เหลืออยู่สี่ส่วนตอนนี้ อยากจะกลับไปยังวังจันทรา แต่นายกองทางนั้นก็คว้าโอกาส ปล่อยหนังมนุษย์ที่จับไว้แล้วร้องตะโกน
“ผนึก!”
เมื่อเขาตะโกนออกมา สวี่ชิงก็ปล่อยตาม ฉับพลันลายนิ้วมือบนหนังมนุษย์ก็ระเบิดราวกับเป็นกฎเกณฑ์ เสี้ยวขณะที่ปรากฏสะท้านฟ้าสะเทือนดิน รัศมีอำนาจประดุจสายรุ้ง ชิงผนึกบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลต่อหน้าจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล
ลายนิ้วมือนี้ถ้าสำหรับคนอื่น บางทีพลังอำนาจมีผลมหัศจรรย์มากกว่านี้ แต่มันเคยสะกดบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลจนตายมาก่อน มีผลกรรมร่วมกันมหาศาล ดังนั้นตอนที่ปรากฏขึ้นจึงทำให้บรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลสะท้านไปทั้งร่างทันที
พริบตาต่อมา หนังมนุษย์มาเยือน หลังจากห่อบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลไว้ด้านใน หนังมนุษย์ผืนนี้ก็หอบม้วนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นม้วนภาพอีกครั้ง ลอยกลับไปหานายกอง