ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 697 ไม่เจอกันเสียนาน สวี่ชิง!
บทที่ 697 ไม่เจอกันเสียนาน สวี่ชิง!
นายกองรับม้วนภาพไว้ หัวเราะฮ่าๆ โยนให้สวี่ชิง
“ศิษย์น้องเล็ก สะกดเอาไว้ในเศษชิ้นส่วนโลกสิ นี่เป็นสินสงครามชิ้นแรกของพวกเรา”
สวี่ชิงรับไว้ เมื่อได้ยินก็นำไปสะกดเอาไว้ในเศษชิ้นส่วนโลกทันที
ใช้ตราประทับลายนิ้วมือที่มีกรรมของเขา ใช้ผิวหนังนายกองผนึก และใช้เศษชิ้นส่วนโลกใบใหญ่ที่เดิมทีเป็นร่างของตัวเองสะกด
ทุกขั้นตอนนี้ ล้วนใช้ผลกรรมเป็นหลัก
การสะกดเช่นนี้ มีมั่นคงมากที่สุด
โดยเฉพาะตัวบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลที่บาดเจ็บสาหัส เสียหายไปหกส่วน ที่เหลืออีกสี่ส่วนด้วยการสะกดนี้ คงสร้างเรื่องอะไรไม่ได้อีก
ต้องกล่าวเลยว่า เพื่อกำจัดชื่อหมู่ครั้งนี้ นายกองเตรียมตัวไว้มาดีมากจริงๆ
เพียงแต่…สำหรับจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล นี่เป็นการชิงอาหารจากปากพยัคฆ์!
ดังนั้นสายตาขององค์ท่านจึงมองมาอย่างไม่เป็นมิตร องค์ท่านยังกินไม่อิ่ม
แต่องค์ท่านเข้าใจดี ว่านี่เป็นแค่อาหารกระตุ้นต่อมรับรสเท่านั้น จึงแค่นเสียงเย็นชา มองไปทางเหล่ารัฐทายาทที่กำลังปะทะกับร่างโคลนเหล่านั้น
ร่างเงสเหล่านี้ จากการที่บรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลถูกผนึก ตอนนี้จึงสูญเสียความเป็นเทพไป กลายเป็นโคลนธรรมดา ถูกซัดสังหารจนกลายเป็นผุยผง
ต่อมา สายตาของทุกคนก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูใหญ่วังจันทรา
ตรงนั้นไม่มีภาพสัญลักษณ์ใบหน้าแล้ว
แต่ทุกคน ณ ที่แห่งนี้รู้ว่า แม้จะไม่มีทวารบาล แต่ประตูใหญ่บานนี้ก็ไม่ได้เปิดง่ายดายถึงเพียงนั้น
นายกองหัวเราะฮ่าๆ เชิดหน้าแอ่นอกก้าวออกไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง
“ผู้อาวุโสทุกท่าน กระจายตัวกันหน่อยขอรับ จากนั้นรบกวนคอยปกป้องพวกเราด้วย ส่วนเรื่องเปิดประตู ข้ามีประสบการณ์ที่สุด ครั้งนี้ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องลงมือ ประตูใหญ่นี่ข้าจะพังมันเอง!”
ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงนี้แผ่เปลวเพลิงสีทองออกมา เปลวไฟนั่น…คือเพลิงเทวะที่ดูดซับบุตรเทวะ ด้วยการสนับสนุนของไฟนี้ ดวงอาทิตย์จำลองทั้งเก้าจึงเป็นดวงตะวันแห่งแสงอรุณฉบับย่อส่วนทั้งเก้านั่นเอง
แม้จะไม่รู้จักดวงตะวันแห่งแสงอรุณ แต่เหล่ารัฐทายาทก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของดวงอาทิตย์จำลองทั้งเก้า ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ก็คอยจับตาดูอยู่หลายครั้ง จึงต่างกระจายตัวออกไป
ส่วนจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลทางนั้นก็มองมาหลายครั้ง ร่างไหววูบพรางตัวอีกครั้ง
นายกองเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งได้ใจ ยกมือโบก คำรามเสียงดังลั่น
“เจ้าอ้วนน้อย!
“ซัดประตูยายเฒ่าชื่อหมู่ให้ข้าหน่อย!”
พริบตาต่อมา ในบรรดาดวงอาทิตย์จำลองมีดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งพุ่งออกมา การลุกไหม้ของเปลวเพลิงในตัวมันรุนแรงขึ้นถึงจุดสูงสุดในทันใด ท่ามกลางกลิ่นอายน่าครั่นคร้ามที่ระเบิดถาโถมด้านใน ก็พุ่งไปที่ประตูใหญ่วังจันทราประหนึ่งดาวหางสีทอง
“คุ้มครองข้าด้วย!” นายกองราวเด็กน้อยที่เพิ่งจุดประทัดได้ก็วิ่งถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง
เขาทราบดีว่าเวลานี้การเข้าใกล้สวี่ชิงเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ถึงอย่างไรเหล่ารัฐทายาทก็ไม่น่าจะปกป้องตน แต่สวี่ชิงทางนั้น พวกเขาจะต้องเข้าปกป้องแน่
และก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ผู้อาวุโสเก้าไหววูบมายืนอยู่ด้านหน้าสวี่ชิงอีกครั้ง ยกกระบี่ในมือขึ้นตั้งไว้ด้านหน้า เหล่ารัฐทายาทก็ประชิดมาอย่างรวดเร็ว
พริบตาที่พวกเขาปรากฏตัว ดาวหางตกลงมาสัมผัสกับประตูใหญ่
เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นดังกัมปนาทมาในเสี้ยวขณะนี้ ดาวพระจันทร์สีชาดสั่นคลอนไปทั้งดวง พื้นดินบิดเบี้ยว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พร่าเลือนเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ
เพียงแต่มองเห็นได้รางๆ ว่าดวงอาทิตย์จำลองดวงนั้นระเบิดประตูใหญ่วังจันทรา เปลวเพลิงสีทองในนั้นหอบม้วนประตูใหญ่ไปในชั่วพริบตา ยิ่งปกคลุมที่วังจันทรา ต่อสู้กับสีแดงชาด
กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวมัน ทำให้รู้สึกหวาดกลัว กระทั่งเหล่ารัฐทายาทยังใจสั่นสะท้าน พวกเขาสัมผัสแรงคุกคามจากการระเบิดของดวงอาทิตย์จำลองดวงนี้ได้
โดยเฉพาะพลังเพลิงเทวะที่แผ่ออกมาจากด้านในยิ่งเผยความน่ากลัวออกมา วังจันทราสั่นสะเทือน คลื่นพลังที่สะท้อนก้องราวกับพายุ ปกคลุมดาวพระจันทร์สีชาดในพริบตา
แม้จะพายุนี้ถูกสกัดไว้เบื้องหน้าเหล่ารัฐทายาท แต่ก็ยังแผ่อ้อมออกไปด้านหลังจนเป็นรูปพัด
เสียงดังสนั่น ลั่นไปทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
จนครู่ต่อมา ลมพายุถึงอ่อนกำลังลง สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทันที
วังจันทรายังคงตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้าดิน เปลวเพลิงสีทองบนนั้นมอดดับ แสงสีแดงส่องสว่างออกมาอีกครั้ง ส่วนประตูใหญ่…แม้จะมีหลุมลึกหลุมหนึ่งปรากฏขึ้น แต่ยังคงไม่เปิดประตูออก
นายกองร้อนรน พลันกระโดดขึ้น ดวงตาฉายแววคุ้มคลั่ง คำรามขึ้นเสียงหนึ่ง
“เจ้าอ้วนกลาง!”
ชั่วพริบตา ดวงอาทิตย์จำลองที่ใหญ่กว่าดวงแรกหลายเท่าดวงหนึ่งก็ลอยพุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับเสียงหวึ่งๆ เปลวเพลิงสีทองแบบเดียวกันเผาไหม้ แต่พลังกลับมหาศาลกว่าเจ้าอ้วนน้อยก่อนหน้านี้
พุ่งหวีดหวิวไปทางประตูใหญ่วังจันทรา
เสียงสั่นฟ้าสะเทือนดินดังกัมปนาทยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เสียงสนั่นหวั่นไหว ราวกับจะแทนที่เสียงทั้งหมดในโลกใบนี้ คลื่นพลังและพายุก็เช่นกัน
ดาวพระจันทร์สีชาดสั่นไหว แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราครืนครัน กระทั่งด้านนอกแผ่นดินใหญ่ยังได้ยินเสียงสนั่นเบิกฟ้าผ่าปฐพีนี้
กระทั่งหลังจากที่เพลิงเทวะระเบิดครั้งนี้ ยังย้อมพระจันทร์สีชาดจนกลายเป็นสีทองไปในพริบตา ส่วนประตูใหญ่วังจันทรานั่นแม้จะมีอำนาจเทพ แต่สุดท้ายด้วยการโจมตีระยะประชิดก็ปรากฏรอยปริแตกแล้ว
นายกองตื่นเต้น ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง สวี่ชิงก็สายตาจับจ้อง
ทว่าตอนนี้เอง เสียงแค่นขึ้นจมูกเย็นชาที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง ก็ดังออกมาจากในประตูวังจันทรา
จากการก้องสะท้อนของเสียงแค่นขึ้นจมูกเย็นชา เพลิงเทวะที่ลุกลามอยู่บนประตูใหญ่ก็มอดดับลงทันใด เพลิงเทวะที่แผ่ลามไปที่วังจันทราเช่นกัน ไฟของดาวพระจันทร์สีชาดทั้งหมด มอดลงในด้วยเสียงแค่นขึ้นจมูกเย็นชานี้
รัฐทายาทหน้าเปลี่ยนสี ถอยหลังออกมา องค์หญิงหมิงเหมยรวมถึงองค์หญิงห้าอีกทั้งผู้อาวุโสแปดก็พลันหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน โดยเฉพาะองค์หญิงห้ากับผู้อาวุโสแปด กระอักเลือดออกมาคำโต ม่านตาหดเล็กลง
มีเพียงผู้อาวุโสเก้า ที่ปราณพิฆาตปะทุขึ้นทั่วร่าง พลันฟาดฟันไปเบื้องหน้า
เสียงระเบิดดังออกมา กระบี่ผู้อาวุโสเก้าฟาดกลางอากาศ ผ่าบางสิ่งที่ไร้รูปร่าง สลายแรงกดดัน แต่จากการฟาดฟันของกระบี่นี้ ตัวกระบี่ก็ทนรับไม่ไหว แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ผู้อาวุโสเก้าไร้สีหน้า ยกมือขึ้นคว้า กระบี่เล่มที่สองปรากฏในมือ จากนั้นเงยหน้าจับจ้องไปที่ประตูใหญ่วังจันทรา
นายกองทางนั้น ดวงตาเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบวาบ ดวงอาทิตย์จำลองทั้งเก้าที่เหลืออยู่ เริ่มลุกโชน
เขาจำเสียงเย็นชาเสียงนั้นได้แล้ว
สวี่ชิงเองก็ย่อมจำได้เช่นกัน ตอนที่เงียบนิ่งไม่พูดจา ประตูใหญ่วังจันทราที่ยังคงเปิดไม่ออก ยามนี้ค่อยๆ เปิดจากด้านในออกมาด้วยตัวเอง
อย่างไร้ซุ่มเสียง
และที่เปิดออกมาได้ไม่ใช่เกิดจากรอยแยก แต่เป็นการเปิดบานประตูออก ราวกับด้านหลังความมืดมนนั่น คล้ายกำลังรอให้ทุกคนเข้าไป
มองผ่านประตูใหญ่ที่เปิดออกเข้าไป จะเห็นว่าวังจันทราในประตูใหญ่นี้ไม่ใช่ตำหนัก แต่เป็นมหาสมุทรสีเลือด
ทะเลผืนนี้กว้างใหญ่ไพศาล คลื่นน้ำสาดซัด แสงสีเลือดส่องสะท้อนม่านฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีแดง
และในสีแดงนี้ ที่เด่นชัดสะดุดตาที่สุดคือร่างเงาขนาดยักษ์ที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือทะเลเป็นร่างๆ
ร่างเงาเหล่านี้มีทั้งที่เหมือนรูปร่างมนุษย์ แต่กลับมีสามหัวหกแขน มีทั้งที่เป็นสัตว์ประหลาดอย่างสมบูรณ์ เช่นองค์หนึ่งในบรรดานั้น ก่อตัวขึ้นจากโครงกระดูก สูงใหญ่ยิ่งนัก
ยังมีอีกองค์ ที่ทั่วทั้งร่างเป็นรยางค์ไปหมด เหมือนเป็นก้อนเนื้อบิดเบี้ยวก้อนหนึ่ง
ยิ่งมีอีกองค์ที่รวมตัวจากปราณหมอก ด้านในเห็นนิ้วมือเล็กๆ อยู่นับไม่ถ้วน
ความแปลกประหลาดของร่างเงาเหล่านี้ แตกต่างกับเผ่าพันธุ์ต่างๆ อย่างสิ้นเชิง
ในทุกองค์ล้วนมีกลิ่นอายเทพเจ้าแฝงอยู่ น่ากลัวถึงขีดสุด ตลบอบอวลไปทั้งทะเลเลือด
ไม่ว่าจะองค์ไหน หากเดินออกมา ล้วนสามารถโหมลมฝนคาวเลือดในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้แน่นอน
เพราะเหล่าองค์ท่าน…ล้วนเป็นเทพเจ้าทั้งสิ้น!
ทั้งหมดสามสิบเจ็ดองค์!
กระทั่งในบรรดานี้ สวี่ชิงยังเห็นเทพเจ้าจากแดนต้องห้ามเซียนอีกด้วย!
เทพเจ้าที่ร่างเดิมเป็นปลาองค์นั้น แบบที่เห็นในตอนนี้ เหมือนกับในความทรงจำสวี่ชิงทุกประการ
พิจารณาจากกลิ่นอายขององค์ท่าน ในเทพเจ้าสามสิบเจ็ดองค์นี้ อย่างน้อยก็มีสิบกว่าองค์ที่เหนือกว่าองค์ท่าน ยิ่งมีอยู่สององค์…ที่สวี่ให้สวี่ชิงรู้สึกว่าคล้ายคลึงกับชื่อหมู่มาก อำนาจเทพทรงพลัง เมื่อมองไปจิตใจก็จะพังทลาย
แต่เหล่าองค์ท่านก็ไม่ใช่ร่างจริง เป็นเพียงภาพเงาสะท้อนเท่านั้น!
ที่นี่คือนรกของเทพเจ้า
“ต่างจากตอนที่ข้าเข้ามาที่วังจันทราในตอนนั้น ทะเลแสงจันทร์นี้นน่าจะอยู่ในส่วนลึกถึงจะถูก แต่ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นล่วงหน้า…
“ตัวตนในทะเลแสงจันทร์ ล้วนเป็นภาพสะท้อนที่แปรมาจากเทพเจ้าที่เคยถูกชื่อหมู่กลืนกิน!”
ขณะที่นายกองเอ่ยเสียงต่ำ สองตาของสวี่ชิงก็จ้องเพ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ส่วนลึกของทะเลแสงจันทร์ในประตูใหญ่ ที่นั่น… กลางอากาศตรงกลางที่เงาสะท้อนเทพเจ้าทั้งสามสิบเจ็ดองค์นี้รายล้อมอยู่ มีดอกไม้ขนาดยักษ์ดอกหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ
ดอกไม้นี้งดงามมาก เพียงแค่ความงามนี้ เผยเจตจำนงความตายออกมา
สีแดงสด เกสรดอกไม้ที่ชูช่อออกไปรอบด้านเป็นเส้นๆ กลีบดอกที่โค้งงอแต่ละกลับ โยกไหวระหว่างฟ้าดิน ยังมีบทเพลงดังแว่วขึ้นในที่แห่งนี้ด้วย
ดอกไม้ ค่อยๆ แบ่งบาน
กลีบดอกผลิบานอย่างช้าๆ
โลกทั้งใบในตอนนี้ คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ทั้งหอมหวานทั้งฉุนแสบจมูก
มองไกลๆ มันที่เติบโตขึ้นในนรกเลือดไร้ที่สิ้นสุดนี้ ราวกับเป็นกรงเล็บของผีร้าย ค่อยๆ ยื่นไปหาสรรพชีวิต
และในดอกไม้สีเลือดนี้ มีร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ร่างหนึ่ง
ร่างนี้เป็นบุรุษ องค์ท่านหลับตาทั้งสอง ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับกำลังหลับใหล
ผมสีแดงยาวที่ระอยู่บนร่างกายสยายไปรอบๆ ฐานดอก ยาวลงไปยังใต้ดอก
เส้นผมเหล่านั้นตัดสลับกับเกสรดอกไม้ ขณะที่ทำให้คนแยกไม่ออก ก็ทำให้ดอกไม้นี้งดงามมากยิ่งขึ้น
ชุดคลุมยาวสีแดงทั้งตัว ทำให้ตัวตนบุรุษผู้นี้กลมกลืนไปกับดอกพลับพลึงแดง ราวกับว่า…พวกเขาเป็นร่างเดียวกันอยู่แล้ว
และใบหน้าที่งดงามของเขาประกอบกับบุคลิกที่ว่างเปล่านั่น หากสวี่ชิงไม่ได้รู้จัก เกรงว่าคงจะแยกชายหญิงไม่ได้ในทันที
เพราะความงามเช่นนี้มาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว หรือก็คือ นั่นไม่ใช่ความงามแห่งความตายที่ผู้มีชีวิตจะมีได้
เช่นเดียวกับดอกไม้ดอกนี้
ขณะเดียวกันบนเส้นผมสีเลือดของคนผู้นี้ ยังสวมกวานหนามไว้วงหนึ่ง หนามแหลมบนนั้นเติบโตอยู่ในเลือดเนื้อ ดูเป็นธรรมชาติและสมบูรณ์แบบ
กวานหนามกำลังถักทอใบหน้าเจ็บปวดทรมานออกมาทีละดวง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ละใบหน้าแตกต่างกันไป
ทว่ากลับครวญครางแบบเดียวกันออกมา
ซึ่งเสียงครวญครางคือบทเพลงที่สะท้อนก้องอยู่ในที่แห่งนี้
“จางซืออวิ้น…”
คนผู้นี้ก็คือจางซืออวิ้น!
การเห็นอีกฝ่ายที่นี่ สวี่ชิงไม่ได้รู้สึกเกินคาดนัก
เขากับจางซืออวิ้นไม่ได้สนิทกัน แต่ถึงอย่างไรก็เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาบ้าง ตอนนั้นเขาก็เห็นกับตาตัวเองว่าอีกฝ่ายถูกชื่อหมู่ยึดครองร่าง หลังจากกลืนกินเทพเจ้าแดนเซียนต้องห้าม ก็เดินเข้ามาในพระจันทร์สีชาด
และพริบตาที่สายตาสวี่ชิงมาหยุดอยู่ที่รงจางซืออวิ้น ขนคิ้วจางซืออวิ้นก็ขยับ ดวงตาของเขา…ค่อยๆ ลืมขึ้นมา
ดวงตาสีเลือดแผ่ระลอกคลื่นเย็นชา นั่นเป็นดวงตาของชื่อหมู่ แต่ด้านในแฝงท่วงทำนองของจางซืออวิ้นเอาไว้
“ไม่เจอกันเสียนาน สวี่ชิง”