ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 699 ชะตา แตกสลาย!
บทที่ 699 ชะตา แตกสลาย!
บนโลกใบนี้ ผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์ทั้งหลายที่เคยต่อต้านเทพเจ้านั้นเคยมีมากมาย แต่ตอนนี้…หาได้ยากยิ่ง
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ที่ต่อต่านทุกคนล้วนแตกดับไปแล้วทั้งสิ้น
เทพเจ้า ในหลายๆ ครั้งมีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่จะต่อกรด้วยกันได้
และผู้บำเพ็ญคิดอยากจะสังหารเทพเจ้า เรื่องนี้ในห้วงเวลาเนิ่นนานมา นอกจากศึกในศักราชนั้นก่อนที่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวจะจากไปเคยมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้น…ก็ไม่เคยมีอีกเลย
เทพเจ้าอยู่สูงส่ง มิอาจลบหลู่ มิอาจจ้องมองตรงๆ ได้
ดังนั้น เรื่องสังหารเทพก็ค่อยๆ กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้ในใจของเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย กระทั่งว่าไปคิดจินตนาการ ในใจยังเกิดความหวาดกลัว
เพราะความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของเทพเจ้า หลายๆ ครั้งล้วนอยู่เหนือความเข้าใจของผู้บำเพ็ญ อยู่เหนือขอบเขตพลังวิเศษของพวกเขา ยิ่งอยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของพวกเขา
ทั้งสองฝ่าย…อยู่คนละระดับโดยสิ้นเชิง
สำหรับผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ เทพเจ้าองค์ใดก็ตามล้วนไม่อาจใช้ถ้อยคำบรรยายได้ ล้วนแต่รอบรู้สามารถทุกอย่างทั้งสิ้น ผู้บำเพ็ญไม่อาจเข้าใจในองค์ท่านได้ ทุกอย่างล้วนลึกลับและแปลกประหลาด
และในสายตาของเทพเจ้า สรรพสิ่งมวลมนุษย์ทั้งหลายล้วนง่ายดายยิ่งนัก เพียงผาดเดียวก็สามารถมองเห็นอดีตและอนาคต ต่อให้อนาคตนี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลง แต่การมองทะลุเช่นนี้ เดิมก็เป็นการแสดงถึงระดับตำแหน่งอันสูงส่ง
และมีเพียงผู้บำเพ็ญที่ฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับสูงสุดแล้วเท่านั้นจึงจะมีระดับตำแหน่งประเภทนั้น ถึงจะทำให้เทพเจ้าจริงจังขึ้นมาสองสามส่วนได้บ้าง
เพียงแต่…ผู้บำเพ็ญระดับนี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
และเทพเจ้าก็มีทั้งผู้ที่สำเร็จเทพในภายหลัง และผู้ที่เกิดมาก็เป็นเทพเจ้า
ดังนั้น ในยามที่ผู้บำเพ็ญยังคงอาศัยเคล็ดวิชาสร้างไพ่ตายต่างๆ นานา ลม ฝน สายฟ้า เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ เหล่านั้น สำหรับเทพเจ้าแล้ว ไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น
การลงมือของเทพเจ้า ก็เหมือนกับจางซืออวิ้นในขณะนี้ องค์ท่านเพียงแค่ยกมือขึ้น ก็เหมือนทำนายชะตาสามารถควบคุมชะตาของคนทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย
ผู้บำเพ็ญหรือคนธรรมดา ในสายตาของเทพเจ้าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไร
โค้งแตะเพียงเบาๆ ก็สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกเขาได้
พลังเช่นนี้จะไม่ทำให้คนสิ้นหวังได้อย่างไร
และตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐทายาทหรือองค์หญิงหมิงเหมย ทั้งยังมีนายกองและสวี่ชิง พวกเขาไม่มีความทรงจำในอดีตแล้ว กระทั่งว่าตอนนี้พวกเขาเหมือนว่าต่างไม่รู้จักกัน
สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่คือความทุกข์ทนทรมานที่ดำเนินต่อไปในความทรงจำของแต่ละคน
ไม่มีความงดงามมาเปรียบเทียบ ความเจ็บปวดที่เหลืออยู่ มองจากมุมหนึ่ง บางทีอาจจะใช้คำว่าทุกข์ทรมานคำนี้มาบรรยายไม่ได้ นั่นถูกต้อง
แต่ความเจ็บปวดที่ความทรงจำนำมาให้และความไม่คุ้นชินของสัญชาตญาณชีวิตกลับชั่วกัลปาวสาน
คำพูดยากที่จะพรรณนามันได้
และไม่มีใครสามารถทนรับได้เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นสวี่ชิง…เขาในตอนนี้จมอยู่ในภาพที่แตกสลายในตอนนั้น
เขาอยากเดินออกมา แต่ในความทรงจำทั้งหมดล้วนอยู่ในภาพฉากนี้ กลายเป็นวัฏจักร ในอดีตเป็นเช่นนี้ ในอนาคตก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีทางออก…
และพวกเขาทุกคน ตอนนี้อยู่บนดาวพระจันทร์สีชาดก็ยืนอยู่นอกประตูวังจันทราเท่านั้น ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ไม่ได้ก้าวเข้าไปเลย
เหมือนว่าทุกอย่างที่คิดจะสังหารเทพล้วนเป็นแค่เรื่องน่าหัวเราะก็เท่านั้น
“คนธรรมดาสังหารเทพเจ้าหรือ”
ในประตู จางซืออวิ้นบนดอกพลับพลึงแดงทะเลแสงจันทร์ส่ายหน้าเบาๆ นิ้วโป้งขวาที่ยกขึ้นแตะไปบนข้อนิ้วที่สองของนิ้วนาง
แตะไปเบาๆ
เสียงเหมือนแจกันแตกดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ ก้องกังวานเป็นอย่างยิ่ง
“ชะตา แตกสลาย”
เสียงสะท้อนก้อง คำพูดเมื่อดังออกไปวิชาก็เกิดตาม ดังมาในฟ้าดิน
นายกองร่างสะท้านเฮือก รอยแตกแต่ละทางๆ แผ่ลามไปทั่วร่างกายของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ต่อให้แสงสีฟ้าที่แผ่ออกมาจากในร่างของเขาทำการผนึกแช่แข็ง แต่ก็ยังคงไม่อาจขัดขวางการแตกร้าวเช่นนี้ได้
ร่างของเขาก็แตกสลายไปในเสี้ยวขณะนี้ กลายเป็นเลือดเนื้อกระจายไปทั่ว กลาดเกลื่อนไปทั่วพื้น
สวี่ชิงตามหลังจากเขา ระลอกคลื่นอารมณ์และความสับสนงุนงงที่ภาพฉากที่สองในผลึกวารีสีม่วงนำมา โลกของเขาก็ตกอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล ไม่มีอะไรหลงเหลือแล้ว
เหมือนกับภาพฉากที่นิ้วของรัฐทายาทรัฐม่วงครามแตะลงมาทุกประการ
จากนั้นก็เป็นน้องแปด ร่างของเขาระเบิด พลังที่แทบจะใกล้เคียงกับเทพเจ้าที่เจ็ดอารมณ์หกปรารถนานำมา ในตอนนี้ถูกลบเลือนไป ร่างยากจะฝืนยืนหยัดได้ สุดท้ายก็ล้มลง
จากนั้นก็เป็นรัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมย แม้พวกเขาจะเป็นระดับเตรียมสู่เทวะ แต่โลกใบใหญ่ของพวกเขาก็อยู่ในสภาวะคร่ำครวญโหยไห้เช่นกัน สรรพชีวิตในนั้นทุกข์ระทม ต่างเหี่ยวแห้ง พลังชีวิตของพวกเขาก็หมองหม่นไปด้วย
จากนั้นก็เป็นน้องเก้า แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดต่อไป ตอนนี้เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มือขวาสั่นเทา หลอมกระบี่เล่มหนึ่งออกมาช้าๆ นั่นเป็นกระบี่แห่งชีวิตเล่มสุดท้ายของเขา
และเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เป็นสุดยอดกระบี่ที่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลมองออกก่อนหน้านี้
แต่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลมองไม่ออกว่า กระบี่สุดท้ายเล่มนี้ของน้องเก้าไม่ใช่กระบี่สังหาร แต่เป็นกระบี่ปกป้อง
และประตูวังจันทราที่อยู่ข้างหน้าเขากำลังปิดลงอย่างช้าๆ จางซืออวิ้นที่อยู่บนดอกพลับพลึงแดงในทะเลแสงจันทร์ส่ายหน้า หลับตาทั้งสองลง
องค์ท่านสูญเสียความสนใจแล้ว เหมือนกลายเป็นรูปสลัก ไร้สุข ไร้ทุกข์
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
น้องเก้าเงียบนิ่ง หลังจากเขาก็เป็นองค์หญิงห้าที่หลับตาลงเช่นกัน
บนใบหน้าแก่ชราของนางไร้สีเลือดไปตั้งนานแล้ว ขาวซีดไปทั้งดวง กลิ่นอายความตายบนร่างของนางก็เข้มข้นเช่นกัน หากไม่ใช่การปกป้องของน้องเก้า นางแตกดับไปนานแล้ว
ตอนนี้นางมองพี่ชายที่อยู่ข้างหน้าอย่างเงียบๆ และมองไปยังคนทั้งหลายที่แตกดับไปแล้วรอบๆ ก่อนจะหลับตาทั้งสองลง
ค่อยๆ มีแสงเรืองแสงลอยออกมาจากร่างของนางรวมมาข้างหน้า ค่อยๆ ก่อเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง
เกสรแต่ละเส้นๆ ไหวเอน เหมือนพลังชีวิตกำลังเบ่งบาน และกลีบดออกไม้ก็คลี่บานไม่หยุด ฉายความงดงามออกมา
ทันทีที่ดอกไม้ดอกนี้ปรากฏขึ้น ประตูวังจันทราที่กำลังปิดลงก็พลันหยุดชะงัก
จางซืออวิ้นที่หลับตาอยู่ ดวงตาก็พลันลืมตื่นขึ้น มองไปทางนอกประตู
ดอกไม้ดอกนั้นเป็นดอกพลับพลึงแดงเช่นกัน!
เหมือนกับดอกที่จางซืออวิ้นนั่งอยู่
แต่สีเป็นสีขาว
มันกำลังเบ่งบาน ส่วนน้องหญิงห้ากำลังแห้งเหี่ยว
นางกำลังแผดเผาตัวเอง เหมือนกับในอดีตเสี้ยวขณะที่นางถือกำเนิดขึ้นมาก็ได้ใช้ชีวิตช่วยพี่ชายของตน และเหมือนกับชั่วชีวิตของนางชีวิตนี้ แผดเผาครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วยทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในห้วงเวลาเก่าแก่โบราณ พี่ชายน้องชายของนางล้วนมีใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่มีเพียงนางเท่านั้น ที่แก่ชรามานานแสนนานนัก แผ่กลิ่นอายใกล้แตกดับ
นางรู้ นี่คือชะตาของนาง
นางเข้าใจ นี่คือความหมายของตัวเอง
ในอดีตนางเคยเคียดแค้น แต่สุดท้าย…นางก็เลือกที่จะไม่ให้เสียใจภายหลัง
จากการเบ่งบานของดอกไม้ จากการแผ่อวลของกลิ่นดอกไม้ ร่างที่ที่แหลกสลายของรัฐทายาทก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า องค์หญิงหมิงเหมยเองก็เช่นกัน ทั้งยังมีน้องแปด นายกอง สวี่ชิง
ทุกคนล้วนฟื้นคืนกลับมาในเสี้ยวขณะนี้ ร่างของพวกเขาก่อขึ้นใหม่อีกครั้ง กลิ่นอายของพวกเขาปะทุขึ้นอีกครั้ง และระลอกคลื่นอารมณ์ของพวกเขาก็สงบลง
ที่แปลกประหลาดที่สุดคือความทรงจำที่แหลกสลายไปภายใต้การวิชาเทพก็ถูกลบความเจ็บปวดทั้งหมดไปเช่นกัน ฟื้นคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง
นี่ไม่ใช่การหมุนย้อนเวลา ภายใต้วิชาเทพของเทพเจ้า นอกจากจะมีคุณสมบัติที่เทียบเท่า มิเช่นนั้นแล้วไม่มีทางหมุนย้อนเวลาได้
ดอกพลับพลึงแดงขององค์หญิงห้าคือการอวยพร!
เหมือนกับคำสาปเทพเจ้า ในโลกนี้ก็มีคำอวยพรจากเทพเจ้าเหมือนกัน เพียงแต่น้อยมาก
ภาพนี้ทำให้จางซืออวิ้นหวั่นไหวเป็นครั้งแรก เขามององค์หญิงห้าที่อยู่นอกประตู เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“หลี่จื้อฮว่าแผนการร้ายกาจนัก เขาได้ผนึกเทพองค์หนึ่งไว้ในร่างเจ้าในช่วงของอนาคต!
“ในอนาคต ในร่างของเจ้าจะมีเทพเจ้าอยู่ และการที่ไม่อาจขัดขืนเทพเจ้าได้ก็เหมือนกับผลกรรมเวร ดังนั้น ก่อนที่จะถึงเวลาของเทพเจ้าที่ผนึกเวลานั้น เจ้าจะไม่มีวันตาย
“เช่นนี้ เจ้าจะสามารถใช้ร่างคนธรมดาไปสำแดงวิชาเทพได้อย่างไร้ขีดจำกัด ร่างแบกรับคำสาป มอบคำอวยพรให้แก่ผู้อื่น…อีกทั้งยังปกปิดร่างเดิมของข้าได้
“แต่ว่าแม้เจ้าจะไม่ตาย แต่เจ้าจะแก่…และเมื่อแก่จนถึงขีดสูงสุด ร่างของเจ้าจะกลายเป็นเปลือกที่ไร้ชีวิตจิตใจ ก็น่าสนใจอยู่บ้าง นี่เป็นร่างที่เตรียมไว้ให้กับเทพองค์ใดกัน”
จางซืออวิ้นพึมพำ พูดความลับขององค์หญิงห้าออกมา!
จากเสียงดังสะท้อนขององค์ท่าน นอกวังจันทรา พวกรัฐทายาทที่ฟื้นคืนกลับมามองไปทางน้องหญิงห้า
กลิ่นอายขององค์หญิงห้าเบาบาง ห้วงเวลาที่ผันเปลี่ยนและความแก่ชรายิ่งรุนแรงขึ้น ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแห่งความตาย กระอักเลือดออกมา
แต่ใบหน้าของนางกลับฉายรอยยิ้ม เอ่ยเสียงแหบแห้งออกมา
“นี่เดิมทีก็เป็นความหมายของการมีตัวตนอยู่ของข้าอยู่แล้ว”
ประโยคนี้ดังในหูของทุกคน และดังขึ้นในความคิดของสวี่ชิง ร่างของเขาสะท้านเฮือก ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ
ทุกอย่างก่อนหน้านี้เหมือนเป็นฝันร้าย ส่วนนายกองก็ลืมตาขึ้นในเสี้ยวขณะนี้เช่นกัน พ่นลมหายใจยาวออกมา สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม มาพร้อมด้วยรังสีอำมหิตอย่างน้อยนักที่จะได้เห็น เมื่อครู่ในช่วงวิกฤตอันตราย เขาได้เรียกเทพชั้นสูงแล้ว แต่อีกฝ่ายปฏิเสธที่จะปรากฏขึ้นในตอนนี้
‘ไม่ช้าก็เร็วข้าจะฆ่าเทพสารเลวที่ไม่เห็นกระต่ายไม่ยอมปล่อยเหยี่ยวให้ตาย!’
นายกองหมายมั่นปั้นมือในใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองจางซืออวิ้นที่อยู่เหนือทะเลแสงจันทร์ในประตู ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ
คนที่ฉายประกายเย็นเยียบเหมือนกันยังมีพวกรัฐทายาท สายตาของพวกเขาเบนจากองค์หญิงห้า ทันทีที่มองไปทางจางซืออวิ้นที่อยู่ในประตู รัฐทายาทลงมือแล้ว
มือขวาของเขายกขึ้น ตะปูสีดำเล่มหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกลางฝ่ามือเขา เป็นตะปูของเจ้าเหนือหัวนั่นเอง
ทันทีที่เอาออกมา เขากัดปลายลิ้นแล้วพ่นเลือดออกมา ในเลือดนี้มีเงาโลกปรากฏขึ้น ผสานไปในตะปู
นั่นคือโลกใบใหญ่ของเขา เขาใช้โลกใบใหญ่ของตัวเองเพิ่มพลังให้กับตะปูดอกนี้!
องค์หญิงหมิงเหมยและน้องแปดที่อยู่ข้างๆ ก็ต่างโคจรพลังบำเพ็ญทั่วทั้งร่างจนถึงขีดสูงสุด ต่างกระอักเลือดออกมา พ่นไปบนตะปู เพียงพริบตา เงาโลกที่อยู่บนตะปูเจ้าเหนือหัวก็มีมากถึงสี่เงา!
ความแข็งแกร่งของพลังท่วมฟ้าทันที
ผิวภายนอกปริร้าว เปลือกดำร่วงหล่น เผยให้เห็นตะปูสีขาวที่อยู่ในนั้น ส่วนน้องเก้าที่อยู่ข้างๆ สายตาของเขาเหี้ยมโหด ยกมือคว้าตะปูเอาไว้ ปล่อยให้ตะปูแทงฝ่ามือ เลือดมากมายทะลักไปในนั้น
ไม่นานนัก เงาโลกใบที่ห้าใบที่หกก็ปรากฏขึ้นบนตะปู
การปรากฏขึ้นของพวกมันทำให้ผิวสีดำที่แตกร้าวสุดท้ายเหล่านั้นก็เผยเนื้อตะปูสีขาวออกมา
เหมือนผนึกถูกปลดออก สำแดงพลังอำนาจที่แท้จริงของตะปูเจ้าเหนือหัวออกมา
รัศมีอำนาจท่วมท้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี ดาวพระจันทร์สีชาดสั่นคลอน กลิ่นอายน่าหวาดกลัวปะทุจากในนั้น ส่วนน้องเก้าคำรามเสียงต่ำออกมาครั้งหนึ่ง มือขวาที่อาบย้อมเลือดพลันสะบัด สายฟ้าฟาดผ่า มิติพังถล่ม ตะปูดอกนี้แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีขาว พุ่งตรงไปยังประตูวังจันทรา!
“ด้วยพลังความรู้ความเข้าใจ ตะปูนี้จักเข้าเป้าเป็นแน่!”
“ด้วยวิชาแห่งกาลเวลา อดีต อนาคต ทุกอย่างล้วนทะลุผ่าน!”
“ด้วยพลังของความหวัง ความเป็นมนุษย์ขัดขืนเทพเจ้า!”
“ด้วยวิถีแห่งการสังหาร หากไร้เลือดไม่หวนคืนกลับมา!”
พวกรัฐทายาทเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
ตะปูสีขาวดอกนั้นทะลุมิติ เพียงพริบตาก็พุ่งเข้าไปในประตูวังจันทรา เกิดเป็นพลังถล่มขุนเขาล่มสมุทร พุ่งไปอย่างรวดเร็วตลอดทาง แยกทะเลแสงจันทร์ เกิดเป็นเส้นตรง
ทะเลแสงจันทร์เดือดพล่าน รอบๆ พังถล่ม ตะปูดอกนี้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทรงพลังเกรียงไกร พุ่งตรงไปหาจางซืออวิ้นที่อยู่บนดอกพลับพลึงแดง!