ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 711 นัยยะของคำว่าเซ่นจันทรา [ภาค 9 คิมหันต์แผดเผา]
บทที่ 711 นัยยะของคำว่าเซ่นจันทรา [ภาค 9 คิมหันต์แผดเผา]
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเริ่มจากศึกหลังจากที่ชื่อหมู่สำเร็จเทพกับหลี่จื้อฮว่าในตอนนั้น
บางทีการต่อสู้ระหว่างพวกเขาความจริงไม่ได้จบลงไปตั้งนานแล้วอย่างที่ผู้คนในศักราชแล้วศักราชเล่าเข้าใจ
บางทีมหาศึกครั้งนี้ จากบรรพกาลทะลุผ่านกาลอวกาศ ตลอดมาล้วนดำเนินไปด้วยวิธีที่ผู้คนไม่อาจเข้าใจ
ดำเนินไปในห้วงเวลานับไม่ถ้วน…
จวบจนสุดท้ายแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ถึงได้มีจุดจบ
หมอกคลุมเครือที่ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ผืนนี้เป็นเวลาเนิ่นนาน จากการที่ดาวพระจันทร์สีชาดหายไปก็สูญสลายไป
สำหรับพระจันทร์สีชาดไปที่ไหน
ชื่อหมู่ตายจริงๆ หรือไม่
หลี่จื้อฮว่าจะปรากฏตัวอีกครั้งหรือไม่…
เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครรู้คำตอบ คนนอกไม่แน่ใจ คนทั้งหลายที่เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
สำหรับคนทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราตอนนี้ สิ่งเดียวที่สามารถแน่ใจได้คือศึกนี้จะกลายเป็นตำนาน พวกเขาจะบอกเล่ามันต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า
สามารถจินตนาการได้ว่าในเวลาเนิ่นนานหลังจากนี้ เผ่าพันธุ์ทั้งหลายที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินแห่งนี้ พวกเขาจะเห็นร่องรอยที่เกี่ยวกับศึกนี้จากในตำราโบราณ พวกเขาจะรู้ว่าในห้วงเวลาอันยาวนานมา แผ่นดินใหญ่ที่ตนอยู่อาศัยเคยถูกสาป
และพวกเขาก็จะรู้ว่า คำสาปนี้จากการสิ้นสุดของศึกในตำนานนั่นได้ถูกทำลายลง
หากมีวันหนึ่ง ชนรุ่นหลังที่อาศัยบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้มีคุณสมบัติเหยียบย่างเข้าไปในกาลอวกาศ กลับไปในวันนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะสัมผัสได้ว่าแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราทั้งดินแดนในตอนนี้ กำลังเปลี่ยนแปลงหลังจากที่พระจันทร์สีชาดหายไป
สรรพสิ่งกำลังฟื้นกลับคืน
ความหวังกำลังมาเยือน
แม่น้ำเซ่นจันทราที่ล้อมรอบแผ่นดินใหญ่ น้ำในแม่น้ำเปลี่ยนจากสีแดงเป็นใสกระจ่าง กระดูกที่ฝังในนั้นเป็นเวลาเนิ่นนานกลายเป็นดินโคลน ไม่ซัดโหมขึ้นมาอีกต่อไป
ในสายเลือดของสรรพชีวิตทั้งหลายไม่มีคำสาปพระจันทร์สีชาดอีกต่อไป นับจากนี้ไม่ต้องการลูกกลอนบรรเทาทุกข์ ไม่ต้องการลูกกลอนปลดคำสาปอีกต่อไป ฝีเท้าของพวกเขาไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ในแผ่นดินใหญ่ผืนนี้อีกแล้ว
อิสระคืนกลับสู่สรรพชีวิตทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราอีกครั้ง
เพียงแต่ผ่านความทรมานมาเป็นศักราชนับไม่ถ้วน ทั้งยังแบกรับกับความสิ้นหวัง ตอนนี้พวกเขาที่ยืนอยู่บนรอยต่อของยุคสมัยเก่าและใหม่ ในขณะที่โห่ร้องยินดีและฮึกเหิม ก็ยากที่จะกำจัดความเหนื่อยล้าในกายใจ
พวกเขาเหนื่อยมาก
แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็ต้องพักฟื้นหล่อเลี้ยงชีวิตเช่นกัน
ดังนั้นรัฐทายาทจึงเดินออกมา ฐานะของเขาทำให้เขาในเสี้ยวขณะนี้จำต้องทำหน้าที่และภารกิจของตัวเองให้สำเร็จ
พลังบำเพ็ญของเขามากพอที่จะแบกรับ
ดังนั้น ภายใต้ความหวังของทุกคน รัฐทายาทจึงรับอำนาจในอดีตของบิดาเขา กลายเป็นนายแห่งเซ่นจันทรา
วังเซ่นจันทราแห่งใหม่ รัฐทายาทเลือกไว้ที่เทือกเขาทนทุกข์ นับจากนี้ เขาจะเฝ้าดูแลอยู่ที่นี่ ปกปักษ์รักษาแผ่นดินใหญ่แห่งนี้เอาไว้
และในส่วนลึกของวังเซ่นจันทราแห่งนี้ ที่นั่นมีร้านยาธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง
ที่นี่ไม่จำเป็นต้องนิยามอะไร มันเชื่อมต่อกับตำนาน เพราะร้านยาร้านนี้เดิมก็เป็นส่วนหนึ่งของตำนานอยู่แล้ว และก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานด้วยเช่นกัน
เจ้าของร้านยาไม่ใช่รัฐทายาท แต่เป็นคนที่ชื่อว่าสวี่ชิง
ส่วนการกลับคืนของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา สุดท้ายแล้วรัฐทายาทก็ไม่ได้เลือกให้กลับคืนสู่เผ่ามนุษย์ แต่ให้มันเป็นเอกเทศ
ชื่อเซ่นจันทราก็ไม่ได้เปลี่ยน
แต่ความหมายของมันแตกต่างออกไปแล้ว
ไม่ใช่เซ่นสังเวย แต่เป็นบวงสรวงบูชา
บูชาพระจันทร์สีชาด!
นี่คือการตัดสินใจของรัฐทายาทกับเหล่าพี่น้อง และเป็นการตัดสินใจของสรรพชีวิตในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเช่นกัน ส่วนองค์หญิงหมิงเหมยทางนั้นก็มีหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน
นางไปยังที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ ที่นั่นเดิมก็เป็นที่ดินบรรดาศักดิ์ของนางอยู่แล้ว
ที่ทางเหนือ องค์หญิงหมิงเหมยก่อตั้งสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง ตั้งชื่อว่าวังแสงอุดร ในช่วงเวลาหลังจากนี้ก็สั่งสอนมอบความรู้ให้คนทั้งหลาย มอบทุกอย่างของตนให้กับประชาชน
ส่วนองค์หญิงห้าทางนั้น นางเองก็มีภารกิจเช่นกัน
นางใช้พลังความสามารถของตัวเองซ่อมแซมกระจกขบถจันทร์ หลังจากที่ประกอบมันใหม่อีกครั้ง ก็ลอยมันขึ้นสูง ลอยอยู่บนท้องฟ้าแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
กลายเป็นดวงอาทิตย์
ส่วนตัวนางก็เลือกที่จะเข้าไปในกระจกขบถจันทร์ เข้าฌานที่นั่นไปตลอดกาล ปลดปล่อยอำนาจของตัวเอง แผ่แสงของตัวเอง ให้แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานับจากนี้มีแสงอาทิตย์ สรรพสิ่งได้รับการหล่อเลี้ยง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
ส่วนผู้บำเพ็ญในตำหนักขบถจันทร์ พวกเขาก็ได้รับอิสระอีกครั้งเช่นกัน สามารถเลือกเส้นทางของตัวเองได้ ดังนั้นคนส่วนหนึ่งเลือกที่จะยุติการติดต่อกับตำหนักขบถจันทร์ กลับไปยังเผ่าพันธุ์ของแต่ละคน มุ่งมั่นพยายามเพื่อการฟื้นฟู
และยังมีอีกส่วนหนึ่งยินยอมที่จะอยู่ในกระจกขบถจันทร์ ใช้ชีวิตอันไร้ขีดจำกัดมาเป็นองครักษ์ของดวงอาทิตย์
ส่วนสุดท้ายเลือกที่จะติดตามรัฐทายาท ร่วมปกปักษ์รักษาบ้านเมืองผืนนี้
ส่วนทางเลือกของผู้อาวุโสแปดต่างไปจากพี่น้องคนอื่นของเขา นิสัยของเขาไม่เหมาะที่จะอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งนานๆ การคุมขังในอดีตยิ่งทำให้เขามีการพิจารณาคิดวิเคราะห์ของตัวเองกับการเปลี่ยนแปลงของโลกข้างนอกในช่วงเวลาเนิ่นนานนี้
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพเนจรไปในโลก ไปจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เขาจะไปดูแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าให้ดีๆ สักหน่อย
ส่วนผู้อาวุโสเก้า…ในฐานะที่เป็นผู้ที่กำลังรบแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เขาเดินเข้าไปในที่ราบสำนึกบาป เดินไปยังข้างๆ ภูเขาเลือดเนื้อที่แปรเปลี่ยนมาจากเลือดเนื้อบิดาตน
อยู่ข้างหน้านายแห่งพื้นที่ต้องห้าม ผู้อาวุโสเก้าขัดสมาธินั่งลง นิ่งไม่ไหวติง
จิตเทพของเขาแผ่ระลอกไปทั่วทั้งพื้นที่ต้องห้าม และแผ่ไปในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเช่นกัน เขากำลังฝึกบำเพ็ญ กำลังตามหาเส้นทางในอดีตของบิดา
เรื่องราวในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็ปิดม่านลงด้วยประการฉะนี้
ส่วนผลเก็บเกี่ยวของศึกชื่อหมู่ คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ศึกนั้นก็ได้ต่างกันไป และไม่บอกกับโลกภายนอกด้วย
แต่เหมือนว่าทุกฝ่ายล้วนพึงพอใจเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลไม่มาหาสวี่ชิงอีก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าผลเก็บเกี่ยวของตัวเองมหาศาลนัก
เยวี่ยเหยียนและซิงเหยียนก็ไม่ปรากฏตัวอีกเช่นกัน ท่าทางคงจะได้ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยเช่นกันอย่างแน่นอน
พวกรัฐทายาทก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน แต่ดูจากผลลัพธ์ บางทีคงได้ผลเก็บเกี่ยวเพิ่มเติมจากบิดาของพวกเขา
ส่วนสวี่ชิงกับนายกอง…จากภายนอกแล้วพวกเขาเป็นฝ่ายที่ได้รับผลเก็บเกี่ยวน้อยที่สุด มีเพียงแค่จางซืออวิ้นที่เป็นร่างแยกของชื่อหมู่ถูกพวกเขาสะกดควบคุมเก็บเกี่ยวไว้ได้
และเพื่อได้ผลประโยชน์นี้ พวกเขาทุ่มเทเพื่อการนี้ไปอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์จากอำนาจพระจันทร์สีชาดของสวี่ชิง หรือจะเป็นการเตรียมตัวทั้งหลายของนายกองเมื่อชาติที่แล้ว ตลอดจนดวงตะวันแห่งแสงอรุณ
ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้ผลเก็บเกี่ยวนี้ดูแล้ว แม้จะตรงกับพลังบำเพ็ญของพวกเขา แต่ดูจากคุณค่าราคาแล้ว เมื่อเทียบกับฝ่ายอื่นๆ ก็ค่อนข้างกล้อมแกล้ม
ดังนั้นนายกองจึงไปหาพวกรัฐทายาทอยู่หลายครั้ง ทำสีหน้าขมขื่นทุกข์ระทม กระทั่งว่าไม่เสียดายที่จะเรียกเทพชั้นสูงเยวี่ยเหยียนออกมา คิดจะร้องขอความยุติธรรม ยิ่งโหวกเหวกโวยวายให้สวี่ชิงไปเร่งขอจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลและจิ้งจอกดินเหนียว
ท่าทางเหมือนถูกเจ้าของที่ดินติดค้างเงินค่าแรงอย่างไรอย่างนั้น
แต่เทพชั้นสูงเยวี่ยเหยียนไม่สนใจ จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ไม่ขานตอบแม้แต่น้อย
ทางจิ้งจอกดินเหนียวทางนั้น สวี่ชิงหลังจากคิดๆ แล้วก็ล้มเลิกการติดต่อเสียดีกว่า
มีเพียงพวกรัฐทายาทที่มองนายกองอย่างความหมายล้ำลึกผาดหนึ่ง ท่าทางเหมือนข้ารู้ถึงผลเก็บเกี่ยวที่แท้จริงของเจ้านะ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ภายใต้สายตานี้คงจะมีความกระอักกระอ่วนใจบ้างไม่มากก็น้อย
แต่นายกองไม่มี เขายังคงร้องขอความยุติธรรมต่อไป สุดท้ายก็ทำท่าคับแค้นสิ้นหวัง ทอดถอนใจจากไป
จนกระทั่งไปยังบริเวณที่ไม่มีคน นายกองเอาดวงตะวันแห่งแสงอรุณสองดวงที่เหลืออกมา ยิ่งให้สวี่ชิงเอาดวงที่เหลืออยู่กับเขาทางนั้นออกมาด้วย
จากนั้นก็ยังไม่วางใจ พ่นเลือดสดๆ ออกมาคำแล้วคำเล่า ผนึกรอบๆ ให้สวี่ชิงสำแดงอำนาจพระจันทร์สีชาด
พระจันทร์สีชาดแม้จะหายไปแล้ว แต่อำนาจของสวี่ชิง…ยังอยู่!
อีกทั้งยังต่างไปจากอดีตเล็กน้อย ส่วนรายละเอียดสวี่ชิงยังต้องขบคิดและศึกษาให้ละเอียดถึงจะกระจ่าง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ภายใต้ความพยายามร่วมกันของพวกเขา ก็นับได้ว่ามีพื้นที่แบ่งส่วนแบ่งกันได้เสียที
“อาชิงน้อย เรียนรู้แล้วหรือยัง พวกเราจะต้องทำให้คนนอกคิดว่าพวกเราได้ผลเก็บเกี่ยวน้อยมาก เช่นนั้นถึงจะไม่ถูกอิจฉา แม้เทพเจ้าจะมีความรู้ความสามารถรอบด้าน แต่เมื่อเกี่ยวพันกับชื่อหมู่และหลี่จื้อฮว่า ความรู้ความสามารถรอบด้านเช่นนี้ก็ถูกควบคุม
“ดังนั้น พวกเราต้องร่ำไห้พร่ำพรรณนา ทำท่าเหมือนว่าพวกเราขาดทุนยับเยิน!”
นายกองหน้าตาเบิกบานเริงร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในดวงตายิ่งมีความสุข
สวี่ชิงรีบพยักหน้าทันที เขาย่อมรู้ถึงความหมายของนายกอง ความจริงแล้วสำหรับผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้ แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียด แต่นายกองเคยกะพริบตาสามครั้ง ก็ทำให้เขาวิเคราะห์ได้คร่าวๆ แล้ว
“อาชิงน้อย พวกเราครั้งนี้…รวยแล้ว!!” เสียงนายกองแฝงความสั่นเทาเล็กน้อย ลมหายใจยิ่งหอบถี่ หลังจากพูดประโยคนี้จบ เขาก็มองสำรวจรอบๆ ไปตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็สะกดเสียงต่ำพูดขึ้น
“ผลเก็บเกี่ยวของพวกเราครั้งนี้ไม่ใช่แค่จางซืออวิ้นร่างแยกชื่อหมู่เท่านั้น แต่ยังมีนี่!”
นายกองพูดพลางยกมือขวาขึ้นแล้วแบออกข้างหน้าสวี่ชิง ในนั้นมีเล็บสามชิ้น…
“อาชิงน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร นี่คือเล็บของชื่อหมู่เชียวนะ สิ่งที่อยู่บนร่างของเทพเจ้า นั่นเป็นของวิเศษล้ำค่าสุดยอด ดีกว่าอาวุธก้างปลาที่ตาแก่ให้พวกเราถมเถนัก เทียบกันไม่ได้เลย”
นายกองตื่นเต้นฮึกเหิม
“รอเมื่อพวกเรากลับไป ตาแก่เห็นผลเก็บเกี่ยวของพวกเราต้องน้ำลายไหลยืดอย่างแน่นอน ฮ่าๆ”
นายกองขณะได้ใจ ดวงตาเล็กๆ ก็ปรายตามองสวี่ชิงผาดหนึ่งอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ มองเล็บเล็กๆ ทั้งสามชิ้นในมือนายกอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ในดวงตาไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ ไม่พูดไม่จา
นายกองกะพริบตาปริบๆ กระแอมออกมาทีหนึ่ง
“อาชิงน้อย เจ้ารู้ว่าความสุขที่สุดของมนุษย์คืออะไรหรือไม่ คือความพอใจ เรื่องนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากข้า ข้าคนนี้น่ะนะพอใจง่ายมากๆ
“เจ้าลองคิดดู ชื่อหมู่เป็นเทพชั้นสูงเชียวนะ พวกเราครั้งนี้กำจัดภัยคุกคามของชื่อหมู่ที่มีต่อพวกเราได้สำเร็จ นี่ก็คือผลเก็บเกี่ยวที่ใหญ่ที่สุด แล้วก็ยังมีร่างแยกขององค์ท่าน ผลเก็บเกี่ยวชิ้นนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ที่สำคัญที่สุดคือเล็บทั้งสามชิ้นนี้
“นี่เป็นของล้ำค่าหายากเชียวนะ แต่ว่าอาชิงน้อยเจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ศิษย์พี่ใหญ่ข้าคนนี้ต้องดูแลเจ้า ดังนั้น ให้เจ้าสองชิ้น ข้าชิ้นเดียวก็พอแล้ว”
นายกองทำท่าเหมือนใจกว้างสุดๆ ให้เล็บเล็กๆ สองชิ้นกับสวี่ชิง จากนั้นร่างเพียงไหววูบก็จะจากไป
สวี่ชิงนับแต่ต้นจนจบสีหน้าสงบนิ่งมาโดยตลอด รับเล็บเล็กๆ สองชิ้นนี้มา เก็บพวกมันเอาไว้ จากนั้นก็เอาตำราไม้ไผ่ออกมาแผ่นหนึ่ง เริ่มสลักตัวอักษร
ภาพนี้อยู่ในสายตาของนายกอง หัวใจของเขาหล่นวูบ รีบกลับมาข้างกายสวี่ชิง สายตาจับจ้องไปยังตำราไม้ไผ่ เห็นสวี่ชิงกำลังแกะสลักชื่อของตัวเอง…
ดังนั้นแล้วเขาจึงกะพริบตาปริบๆ กระแอมออกมา
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ล้อเจ้าเล่น ฮ่าๆ รีบเก็บตำราไม้ไผ่ลงไปเร็วเข้า…ไม่จำเป็นๆ”
พูดถึงตรงนี้ นายกองก็สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ผลเก็บเกี่ยวที่แท้จริงของพวกเราจะเป็นเล็บสามชิ้นนี้ไปได้อย่างไร แต่เป็น…”
มือขวาของนายกองยกขึ้น แล้วแบออกอีกครั้ง
กลางฝ่ามือ มีฟองอากาศสามฟองปรากฏขึ้น ในนั้นต่างมีนิ้วที่ผสานขนนกและเลือดเนื้อนิ้วหนึ่งเอาไว้ เลือดชุ่มโชก น่าสยดสยองพรั่นพรึง ยิ่งมีพลังเทพเข้มข้นเป็นที่สุดอยู่ในนั้น