ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 712 พี่น้องต่างสำแดงพลังวิเศษ
บทที่ 712 พี่น้องต่างสำแดงพลังวิเศษ
สวี่ชิงมองนิ้วมือที่อยู่ในฟองอากาศทั้งสาม จากนั้นก็เงยหน้ามองนายกอง
นางกองทำหน้าจริงใจ
“อาชิงน้อย เป็นอย่างไร ผลประโยชน์ที่ได้ครั้งนี้ใช้ได้หรือไม่ ฮ่าๆ”
สวี่ชิงเงียบนิ่งไม่ปริปาก โคจรพลังบำเพ็ญในร่างกายทันที ระเบิดพลัง จำแลงสมบัติลับออกมาด้านหลังครืนครัน ทำให้ที่แห่งนี้ลมโหมเมฆทะลัก สั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ
ดวงตาเขาดำสนิทในทนใด ขณะที่พิษต้องห้ามอบอวล ตะวันจันทราในสมบัติลับก็ลอยขึ้นมา อสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ก็คำรามขึ้นด้านใน ก่อเปลวเพลิงร้อนระอุพวยพุ่งขึ้นแห่งหนึ่ง
เตาหลอมกำลังแผดเผา
พริบตานั้นก็มีเส้นใยกฎเกณฑ์ไร้รูปร่างเป็นทางๆ แผ่ออกมาจากด้านในสมบัติลับ วนล้อมรอบสวี่ชิง
นี่คือกฎเกณฑ์และปรากฏการณ์ในโลกสมบัติลับของเขา ยามนี้จากการขยายออกไป ปกคลุมอาณาบริเวณที่ร่างกายตนอยู่ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสนามรบของตัวเขา
เมื่อร่างอยู่ในสนามรบนี้ สวี่ชิงก็แสดงวิถีสวรรค์ออกมาจากร่างกาย
ยังไม่จบ เกิดไอพลังประหลาดขึ้นรอบๆ ในเสี้ยวขณะนี้ นั่นเป็นกลิ่นอายพิษต้องห้าม ทำให้ที่นี่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
นายกองเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็ใจสั่นสะท้าน แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับถลึงตา
“อาชิงน้อย เจ้าไม่เชื่อศิษย์พี่ใหญ่หรือ”
พูโพลาง พลังบำเพ็ญนายกองก็ปะทุขึ้นมา สมบัติลับลอยขึ้นมาด้านหลังเช่นกัน
สมบัติลับของเขากับสวี่ชิงแตกต่างกัน ที่แฝงไว้ไม่ใช่โลก แต่มืดมิดไปหมดเหมือนนรกจิ่วโยว ด้านในยังมีเสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตใจดังกึกก้อง ก่อพลังกฎเกณฑ์ที่เป็นของเขา กระจายไปทั่วสารทิศ ต้านทานกับกฎเกณฑ์ของสวี่ชิงอย่างไร้รูปร่าง
“อาชิงน้อย ดูท่าข้าต้องสำแดงเดชในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่เสียหน่อย” นายกองโบกมือใหญ่ ดวงตาเปล่งแสงสีน้ำเงิน
และสวี่ชิงยังระเบิดพลังออกมาต่อเนื่อง จากการที่พระจันทร์สีม่วงในสมบัติลับเปล่งแสงวูบวาบ ก็ค่อยๆ ลอยขึ้น บริเวณนี้มีพระจันทร์สีม่วงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า และแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาไม่ใช่แสงธรรมดา แต่เป็น…แมลงสีม่วงหลายต่อหลายตัว
แมลงเหล่านี้ปกคลุมพื้นดิน ประเดี๋ยวๆ ก็เผยร่างแท้จริงออกมา ประเดี๋ยวๆ ก็กลายเป็นแสงจันทร์ แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ตอนที่ร่วงโรยลงมาที่ร่าง นายกองใจสั่นสะท้าน แสงสีน้ำเงินของเขากำลังถูกแสงสีม่วงครอบคลุม แต่เมื่อนึกถึงว่าตนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ จึงมีแรงขึ้นมาอีกครั้งทันใด ในดวงตามีใบหน้าปรากฏขึ้น ดวงตาในใบหน้าก็มีใบหน้าขึ้นมาเช่นกัน
ซ้อนทับกับซ้ำแล้วซ้ำเล้า แผ่แสงสีน้ำเงินออกมา ขณะที่ทำให้ทั้งร่างเขาเปล่งแสงวูบวาบ ร่างกายก็กำลังเปลี่ยนไป มีแมลงสีฟ้าปรากฏออกมาเป็นตัวๆ ในดวงตาฉายแววอยากลอง
“อาชิงน้อย พวกเราสองคนก็ไม่ได้ต่อสู้กันนานแล้ว ครั้งที่แล้วคือที่ทะเลต้องห้าม มาๆๆ ครั้งนี้ถ้าใครแพ้ คนนั้นก็…”
นายกองเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ร่างสวี่ชิงก็มีเสียงอัสนีน่าครั่นคร้ามดังครืนครันออกมา ขณะที่แสงสีม่วงระเบิดออกมา เขาก็ยกมือขวาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ชี้ไปทางเสี้ยวหน้าเทพเจ้านั่นเอง
ภาพนี้ คล้ายกับรัศมีอำนาจและท่วงท่าที่เขาอัญเชิญเสี้ยวหน้าเทพเจ้าจากในผลึกวารีสีม่วงออกมาที่วังจันทราก่อนหน้านี้ ราวกับตอนนี้จะอัญเชิญออกมาอีกครั้งจริงๆ
แม้ในผลึกวารีสีม่วงของเขาจะไม่มีภาพเสี้ยวหน้าเทพเจ้าอยู่แล้ว…
แต่เห็นได้ชัดว่านายกองไม่มั่นใจ ยามนี้เปลือกตากระตุก ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง หากยังกล่าวออกไปต่อ ได้ถูกเขากลืนลงไปแน่ หลังจากกะพริบตาปริบๆ นายกองก็หัวเราะฮ่าๆ
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าเพิ่งวู่วาม ศิษย์พี่ใหญ่ผิดเอง อะแฮ่ม”
พูดพลาง นายกองยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ล้วงขนนกออกมาอีกสามเส้น
“มีหกเส้น ไม่ใช่สามเส้น”
แสงสีม่วงบนตัวสวี่ชิงเข้มข้นขึ้น
หัวใจนายกองเต้นรัว รู้สึกร้อนรนมากขึ้น จึงสีหน้าเคร่งขรึม ล้วงขนนกอีกสามเส้นออกมาจากในถุงเก็บของ
“อะแฮ่ม ช่างเถิดๆ อาชิงน้อย มีแค่นี้จริงๆ”
นายกองถอนหายใจออกมา เก็บพลังบำเพ็ญทั้งหมดกลับไป มองสวี่ชิงอย่างจนใจ
กลิ่นอายจากร่างสวี่ชิงค่อยๆ สลายไป จนพระจันทร์สีม่วงกลับเข้าไปในสมบัติลับ สมบัติลับก็เจือจางลง รอบด้านกลับสู่สภาวะปกติ
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองก็โล่งอก ได้ใจขึ้นมา แอบคิดว่าอาชิงน้อยนะอาชิงน้อย เจ้ายังอ่อนหัดนัก
ในใจคิดเช่นนี้ แต่ใบหน้านายกองกลับทำหน้าจนใจ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“อาชิงน้อย ของเหล่านี้…เจ้าเอาไปเจ็ดส่วนแล้วกัน ศิษย์พี่ใหญ่ผิดไปแล้ว ไม่ควรโลภมาก”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร เขามองนายกองนิ่งๆ หลังจากครุ่นคิด สายตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป ฉายแววห่างเหินออกมา ยิ่งมีความโดดเดี่ยวอ้างว้างเกิดขึ้นบนร่างเขาในขณะนี้
สายตาและสีหน้าของเขาเช่นนี้ นายกองที่เห็นก็ใจหวิว
“ศิษย์พี่ใหญ่…” สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว นี่เป็นประโยคแรกที่เขากล่าวออกมาตั้งแต่เริ่ม
หลังจากนายกองได้ยิน ร่างกายก็สั่นเทิ้ม
“ข้าไม่เอาแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่” สวี่ชิงพึมพำ
“ให้ท่านทั้งหมดเลย
“ข้าคิดถึงเขตปกครองผนึกสมุทรแล้ว ขอกลับไปก่อนนะขอรับ”
สวี่ชิงน้ำเสียงแหบแห้ง กล่าวจบเขาก็หันหลังเดินจากไปไกล ความเงียบเหงาวูบหนึ่งเข้มข้นบนร่างเขา ร่างเงานั้นแฝงความโดดเดี่ยว ความอ้างว้าง
ภาพนี้ นายกองมองไม่ออกว่ามันคล้ายกับลูกไม้ที่เขาเคยใช้กับสวี่ชิงมาแล้ว…
เขาในยามนี้มองแผ่นหลังสวี่ชิง ระลอกคลื่นในใจโหมซัดอย่างรุนแรง ยิ่งรู้สึกละอายใจไม่รู้จบ เขารู้สึกว่าตนทำเกินไปจริงๆ จะโลภมากกับใครก็ได้ ไยต้องทำกับศิษย์น้องเล็กของตนเช่นนี้
แม้นี่จะเป็นนิสัยตามสัญชาตญาณของตน แต่ยามเห็นท่าทางของสวี่ชิง นายกองก็กระทืบเท้า รีบร้องตะโกน
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ผิดไปแล้ว”
พูดพลาง นายกองก็โบกมือ ภูเขาใหญ่ที่เกิดจากเลือดเนื้อขนนกหลายก้อน ก็พลันร่วงลงบนพื้นเสียงดัง
อำนาจเทพน่าครั่นคร้ามปะทุขึ้นมาจากด้านใน และเมื่อนำขนนกหกเส้นที่นายกองหยิบออกมาเทียบ ภูเขาลูกนี้ใหญ่กว่ามาก มากพอจะทำให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า
“สามส่วน นี่คือเลือดเนื้อของชื่อหมู่สามส่วน อยู่นี่หมดแล้ว กฎเดิม พวกเราคนละครึ่ง!”
นายกองก็ยอมเฉือนเนื้อเถือหนังออกมาแล้ว ตะโกนเสียงดังลั่น
สวี่ชิงชะงักผีเท้า ปรับสีหน้า ค่อยๆ หันหลังกลับมา มองไปทางศิษย์พี่ใหญ่ ด้วยสายตาจริงใจยิ่งมีความซาบซึ้ง เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
นายกองถอนหายใจ รีบเรียกสวี่ชิงให้มาเอาส่วนแบ่งไป
ไม่นานนักหลังจากทั้งสองคนก็แบ่งเลือดเนื้อแต่ละชิ้นเป็นสองส่วนข้างกองเลือดเนื้อ นายกองก็ให้ถุงหนังเก็บของกับสวี่ชิงใบหนึ่งเป็นพิเศษ ใช้สำหรับเก็บเลือดเนื้อ
เลือดเนื้อเทพเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่ของธรรมดาจะบรรจุได้ และถุงหนังของนายกอง มองจากลวดลาย คล้ายผิวหนังของตัวเขามาก…
มองผลประโยชน์ที่ได้มาเหล่านี้ สวี่ชิงรู้สึกฮึกเหิม พอใจกับสิ่งที่ในที่สุดก็ได้รับในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราช่วงหลายปีนี้มาก
เมื่อสังเกตเห็นว่าอารมณ์สวี่ชิงเปลี่ยนไป นายกองก็เกิดสงสัยขึ้นมา อดถามไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก ก่อนหน้านี้เจ้าเล่นละครหรือไม่ ไยข้ารู้สึกว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตา…”
สวี่ชิงได้ยินก็สะกดความตื่นเต้นในใจ มองตาของนายกองอย่างตั้งใจ ส่ายหัว
นายกองลังเล ในใจยังรู้สึกผิดปกติ หลังจากกะพริบตาปริบๆ ก็แอบคิดว่าตนก็ทำได้ จึงทำหน้าเปล่าเปลี่ยว กำลังจะเอ่ยปาก
สีหน้าสวี่ชิงก็ฉายแววขมขื่น
ทั้งสองต่างมองกัน ต่างเงียบนิ่ง
ผ่านไปเนิ่นนาน นายกองก็ถอนหายใจ กระแอมไอ
“อาชิงน้อยนี่ก็รู้จักทำตัวไม่ดีเสียแล้ว…ช่างเถอะๆ มาพูดเรื่องสำคัญกัน ผลประโยชน์ที่ได้มาของพวกเราไม่ได้มีแค่นี้นะ ยังมีอีกอย่าง”
นายกองพูดพลาง ก็มองรอบด้านตามสัญชาตญาณ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ของพวกนี้เป็นสิ่ที่ได้มาจากชื่อหมู่ ยังมีส่วนหนึ่งที่มาจากหลี่จื้อฮว่าด้วย องค์ท่านรับปากไว้ว่าตอนกลับมา จะมอบอาณาจักรเทวะให้พวกเราแห่งหนึ่ง!”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ ดวงตาก็แข็งค้างทันที
“อาณาจักรเทวะ?”
“อาณาจักรเทวะ!”
นายกองพยักหน้าอย่างจริงจัง
เดิมสวี่ชิงเชื่อ แต่เห็นสีหน้าจริงจังของนายกอง เขาก็เริ่มไม่แน่ใจ แต่เขาไม่ไปคิดเล็กคิดน้อย พูดคุยกับนายกองอย่างเป็นมิตร
สุดท้ายสวี่ชิงไม่ได้ต้องการเลือดเนื้อจางซืออวิ้นร่างแยกของชื่อหมู่ เขาขอหนามสีม่วงส่วนหนึ่งที่เหลือจากกวานหนามที่ไหม้เกรียมของจางซืออวิ้น
สำหรับส่วนแบ่งนี้ นายกองพอใจมาก
ตอนนี้แบ่งผลประโยชน์เสร็จ นายกองจึงกระปรี้กระเปร่า เลิกคิ้วขึ้น ขยิบตาให้สวี่ชิง
“อาชิงน้อย เรื่องในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็ประมาณนี้ เจ้ารอข้าอีกสองสามวัน แม้ภรรยาเก่าข้าจะไม่ตอบ แต่ข้ารู้ว่าองค์ท่านยังไม่จากไป ข้าจะไปหาองค์ท่านเพื่อระลึกความหลังเสียหน่อย
“รอข้ากลับมาแล้ว พวกเราจะกลับผนึกสมุทรกัน!”
นายกองเลียริมฝีปาก เหมือนในใจมีไฟลุกโชน โบกมือให้สวี่ชิงแล้วเหาะเหินจากไป
มองร่างของนายกอง สวี่ชิงก็นั่งลงขัดสมาธิ
อาณาบรอเวณนี้มีผนึกของพวกเขาทั้งสอง และมีเลือดของนายกองด้วย เหมาะกับการปิดด่านของสวี่ชิงมาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราอยู่ใต้การดูแลของรัฐทายาท ปลอดภัยอย่างยิ่ง
สวี่ชิงจึงไม่ได้ไปหาที่อื่น ตอนนี้เขาก้มหน้ามองเศษหนามสีม่วงเล็กๆ ในมือ แสงสีม่วงบนนั้นก็แทบจะเหมือนกับแสงจากผลึกวารีสีม่วงของเขา
ที่สำคัญสุดคือ ตอนที่เขาถือหนามนี้ ผลึกวารีสีม่วงในร่างกายก็แผ่ระลอกคลื่นออกมาอย่างชัดเจน
‘น่าจะเป็นของที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน’
สวี่ชิงพึมพำในใจ ดวงตาเผยความเด็ดขาด กระตุ้นผลึกวารีสีม่วงสุดกำลัง
ชั่วพริบตา แสงสีม่วงก็ระเบิดไปทั่วร่างสวี่ชิง ตอนที่ปกคลุมไปรอบด้านจนกลืนร่างเขาจนมิด หนามสีม่วงในมือเขาก็เปล่งแสงเจิดจ้า ผสานรวมกัน
พริบตาต่อมา แสงสีม่วงหายไป สวี่ชิงก้มมองมือขวาที่ว่างเปล่า ดวงตาฉายแววประหลาดใจ จากนั้นก็สัมผัสผลึกวารีสีม่วงของตัวเอง
ผลึกวารีสีม่วงไม่ค่อยต่างกับก่อนหน้านี้นัก มีเพียง…ด้านในผลึกวารีสีม่วง ไม่ได้มีหมอกเหมือนปุยฝ้ายอยู่ด้านในเหมือนแต่ก่อน ทว่ามีคลื่นวนวงหนึ่งปรากฏขึ้น
คลื่นวนนี้หมุนอย่างไร้ซุ่มเสียง ไม่รู้ว่ามันเชื่อมโยงไปที่ใด
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของผลึกวารีสีม่วงนี้ สวี่ชิงไม่ค่อยเข้าใจ เขาลองใช้ประสาทสัมผัสเทพตรวจสอบ แต่คลื่นวนนี้ก็ลึกไร้ก้น ลำพังแค่แผ่ประสาทสัมผัสเทพของสวี่ชิงเข้าไป ยังหาปลายทางไม่เจอ
แต่ระหว่างที่หานี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงอันตราย
คล้ายมีสายตาบางอย่าง กำลังมองตนจากปลายคลื่นวนนี้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง สุดท้ายก็เลือกเก็บประสาทสัมผัสเทพกลับมา ไม่ทำอะไรวู่วาม
จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึก ล้วงถุงหนังที่นายกองมอบให้ออกมา สายตาเฉียบคม สีหน้าจริงจัง
‘เลือดเนื้อของชื่อหมู่ สำหรับเทพเจ้าแล้วถือเป็นของบำรุงชั้นยอด แต่สำหรับข้าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง
‘เช่นนั้น ก็เก็บเลือดเนื้อเหล่านี้ไว้ในสมบัติลับ เมื่อเตาหลอมวิถีสวรรค์สูดรับ จะมีส่วนช่วยพลังบำเพ็ญของข้ามากเพียงใด’
สวี่ชิงเกิดความคาดหวังอย่างเข้มข้น หลังจากผ่านเรื่องในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา โดยเฉพาะตอนที่เห็นสงครามเทพเจ้าด้วยตาตนเองรวมถึงได้เข้าร่วมในระดับหนึ่ง…
ทุกอย่างนี้ ทำให้สวี่ชิงยึดมั่นกับการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น
โดยเฉพาะ…ก่อนที่บุตรเจ้าเหนือหัวคนที่สี่จะตาย ประโยคนั้นที่กล่าวกับเขา ดังก้องอยู่ในใจสวี่ชิงมาตลอด
‘อดีตของข้า คือเป็นอนาคตของเจ้าหรือไม่…’
สวี่ชิงเงียบนิ่ง สมบัติลับจำแลงขึ้นด้านหลังครืนครัน ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ
มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติตามหาองค์รัชทายาทม่วงคราม แล้วสังหารเขาได้
มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงตามหาความลับของโลกใบนี้ เปิดเผยความจริงได้
มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะมีความมั่นใจไปลบล้างทุกสิ่งได้!
สวี่ชิงยกมือขึ้น โยนถุงหนังในมือเข้าไปในสมบัติลับ!