ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 718 ผู้ครองกระบี่ อยู่ที่ใด!
บทที่ 718 ผู้ครองกระบี่ อยู่ที่ใด!
โลกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์กว้างใหญ่ไพศาล แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ทางใต้ ดูภาพรวมแล้วก็เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ทั้งผืนก็เท่านั้น เทียบกับใจกลางของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ไม่ได้เลย
แต่ก่อนที่เคราะห์เทพเจ้าจะมาเยือน แผ่นดินใหญ่แห่งนี้ก็นับว่ามีชื่อเสียง แม้จะอยู่ร้างห่างไกล แต่ทิศเหนือติดกับแผ่นดินใหญ่วิญญาณนภา ทางตะวันตกติดกับแผ่นดินใหญ่ยลจันทร์ ระหว่างทิศตะวันตกกับทิศเหนือยังมีเส้นทางทะเลทรายโบราณของแผ่นดินใหญ่คิมหันต์ทมิฬเส้นหนึ่งด้วย
ยิ่งเพราะทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับทะเลโอฬาร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเดินเรือหรือสินค้าล้วนสมบูรณ์มากมายนัก ในยามรุ่งโรจน์กระทั่งว่ามากพอจะติดสิบอันดับแรกแผ่นดินใหญ่เผ่ามนุษย์
แต่การมาเยือนของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง สิ่งที่ทะเลต้องห้ามกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานั่นนำมาให้แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ความร่ำรวยอีกต่อไป แต่เป็นไอพลังประหลาดและอันตรายมากมายมหาศาล
ทุกอย่างนี้ดำเนินต่อไปต่อไป ประกายแสงของแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็หมองหม่นลงไปอย่างรวดเร็ว รวมกับความตกต่ำของเผ่ามนุษย์ และการย้ายถิ่นฐานของจักรพรรดิมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ตกอันดับ กลายเป็นดินแดนที่ไร้ค่า
แผ่นดินใหญ่ยลจันทร์กลายเป็นแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
แผ่นดินใหญ่วิญญาณนภาก็กลายเป็นแผ่นดินใหญ่วิญญาณทมิฬของเผ่าฟ้าทมิฬ
ส่วนเส้นทางทะเลทรายโบราณที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่คิมหันต์ทมิฬเส้นนั้นยิ่งกลายเป็นดินแดนที่ไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปได้ เพราะแผ่นดินใหญ่คิมหันต์ทมิฬ…ไม่ได้เป็นของเผ่ามนุษย์อีกต่อไป กลายเป็นชายแดนของเผ่านภาคิมหันต์
จวบจน…การปรากฏขึ้นของรัฐม่วงคราม ทำให้แผ่นดินใหญ่ที่มืดหม่นกลับมาส่องประกายเจิดจ้าอีกครั้ง ความพร่างพรายของมันราวกับแม่น้ำดารา ทำให้เผ่าพันธุ์ทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์หวาดกลัว
แต่ก็เป็นเพียงแค่ดอกถานบานเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น จากการดับดิ้นของรัชทายาทรัฐม่วงคราม ความรุ่งโรจน์ทั้งหมดกลายเป็นหมอกควัน
ต่อให้เป็นองค์ชายเจ็ดมาเยือน ดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่ปล่อยออกไปในศึกระหว่างจักรพรรดิมนุษย์และเผ่าฟ้าทมิฬ ทำให้เผ่าฟ้าทมิฬพ่ายแพ้ ต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ของรุ่นนี้เลือกที่จะกลับคืนสู่เผ่ามนุษย์ แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นแค่ระลอกคลื่นในพื้นที่เล็กๆ ก็เท่านั้น
สำหรับทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์แล้ว ความจริงไม่ได้เป็นคลื่นใหญ่อะไรเท่าใดนัก
คิดจะสร้างคลื่นลมพายุจริงๆ เรื่องพวกนี้เห็นได้ชัดว่ายังมีคุณสมบัติไม่พอ
ไม่มีใครรู้ว่า แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตจะส่องแสงสะท้านสะเทือนทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เหมือนในตอนรัฐม่วงครามตอนนั้นได้หรือไม่
และในตอนนี้ ทางเหนือของแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ ในแผ่นดินใหญ่วิญญาณทมิฬที่เคยเป็นแผ่นดินใหญ่วิญญาณนภา สงครามกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กวาดตามองไป ในฟ้าดินที่สว่างเป็นอย่างยิ่ง การป้องกันรักษาของฝ่ายเผ่าฟ้าทมิฬพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ในเผ่าฟ้าทมิฬจะมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อย แต่ดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่มีอยู่ทั่วทุกที่ทำร้ายพวกเขาอย่างแสนสาหัส จักรพรรดิเผ่าฟ้าทมิฬตลอดจนผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดของเผ่ามากมายยิ่งถูกผู้บำเพ็ญลึกลับลอบสังหารบาดเจ็บสาหัส
ทุกอย่างทำให้เผ่าฟ้าทมิฬตกเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ และทันทีที่พระจันทร์สีชาดหายไป แม้โลกภายนอกจะรู้เรื่องนี้และยืนยันจริงเท็จได้ก็ต้องใช้เวลา แต่ผู้เลื่อมใสในเผ่าฟ้าทมิฬส่วนใหญ่แล้วล้วนสัมผัสได้ในทันที
สัมผัสรับรู้นี้เหมือนเติมน้ำค้างแข็งลงไปบนหิมะ ทำให้เผ่าฟ้าทมิฬตกอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ
และเทียบกับเผ่าฟ้าทมิฬที่อ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สงครามที่เผ่ามนุษย์ก่อขึ้นในครั้งนี้ทรงพลังเกินต้านทาน ผู้ที่เคลื่อนไหวไม่ใช่แค่อ๋องเทียนหลันเท่านั้น ที่นอกแผ่นดินใหญ่ทั้งสองของเผ่าฟ้าทมิฬ ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์สิบสามอ๋องสวรรค์ล้วนเคลื่อนไหว
เข้าโจมตีแผ่นดินใหญ่ทั้งสองของเผ่าฟ้าทมิฬจากสิบสามทิศทาง
โดยเฉพาะอ๋องตงติ่งในฐานะที่เป็นอ๋องสวรรค์ฝ่ายพระมารดาขององค์หญิงสาม ซึ่งมีกำลังรบน่าตื่นตะลึง นำทัพด้วยตัวเอง สร้างความกดดันให้กับเผ่าฟ้าทมิฬมหาศาล
ในขณะเดียวกันก็สร้างความกดดันให้กับอ๋องเทียนหลันไม่น้อย
ตระกูลของพวกเขาได้จ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาลไปเพื่อสนับสนุนองค์ชายเจ็ด ถึงได้รับการอนุญาตจากจักรพรรดิมนุษย์ และข้อหนึ่งในค่าตอบแทนนั้นคือเขาจะต้องได้ครอบครองแผ่นดินใหญ่วิญญาณทมิฬครึ่งที่เหลือ
นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลังจากอ๋องเทียนหลันมาถึงแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกผู้บำเพ็ญทั้งแผ่นดินใหญ่มา สำหรับเขาแล้วคนของแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์จะเป็นจะตายไม่สำคัญ อย่างมากในอนาคตค่อยพักฟื้นหล่อเลี้ยงก็ได้
สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือสงครามครั้งนี้จะต้องชนะ เช่นนี้แล้วองค์ชายเจ็ดถึงจะเปลี่ยนให้ที่นี่เป็นแผ่นดินบรรดาศักดิ์ได้อย่างแท้จริง
และหากอยากจะชนะ อาศัยเพียงลูกน้องใต้บังคับบัญชาที่เขานำมานั้นไม่พอ เขายังต้องโคจรวิชาเซียนต้องห้ามวิชาหนึ่งด้วย
วิชานี้ต้องใช้เลือดและวิญญาณของผู้คนทั้งหลาย
ดังนั้นคำสั่งเรียกแต่ละคำสั่งๆ ก็ส่งออกมาจากทางองค์ชายเจ็ดทางนั้นไม่ขาดสาย ยิ่งมีคนรับผิดชอบเกณฑ์ทหารเป็นกลุ่มๆ อยู่ในทุกๆ ที่ในแผ่นดินใหญ่ บังคับเกณฑ์ทหารโดยนามของคำว่าผดุงธรรม
หากมีคนไม่ยอมก็จะรายงานองค์ชายเจ็ด ให้องค์ชายเจ็ดที่วางแผนการอยู่ข้างหลัง ส่งกองทัพไปสังหาร
เรื่องนี้ดำเนินมาได้นานครึ่งปีแล้ว
สรรพชีวิตหมื่นเผ่าพันธุ์ในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ใช้ชีวิตและเลือดเนื้อของตัวเอง ถมสนามรบทุกชุ่นในเผ่าฟ้าทมิฬ และรวมถึงเขตปกครองผนึกสมุทรด้วย
เผชิญหน้ากับคำว่าผดุงธรรม เผชิญหน้ากับอ๋องสวรรค์ เขตปกครองผนึกสมุทรไม่มีทางแข็งขืนได้ ต่อให้ทั้งๆ ที่รู้ว่าอ๋องเทียนหลันเก็บกำลังชั้นยอดเยี่ยมของตัวเองเอาไว้ จะลองใช้เลือดเนื้อสำแดงวิชาต้องห้าม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เพียงแต่ครึ่งปีมานี้ กำลังทหารที่ส่งไปยังสนามรบก็มากถึงห้ากลุ่มแล้ว
ในห้ากลุ่มนี้ครึ่งหนึ่งล้วนเป็นผู้ครองกระบี่
นี่สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทรที่ผ่านสงครามครั้งใหญ่มาไม่นานแล้วก็มาถึงในช่วงลมพายุสั่นคลอน สำนักและเผ่าพันธุ์มากมายในเขตปกครองแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเลือกวางอาวุธ เข้าสวามิภักดิ์องค์ชายเจ็ด
และเขตปกครองผนึกสมุทรก็ไม่มีกำลังมารวมกองทัพกลุ่มที่หกได้ นอกเสียจาก…ส่งผู้ครองกระบี่ที่เหลือและเมล็ดพันธุ์ของแต่ละสำนักออกไปให้หมด
แต่หากเป็นเช่นนั้น เขตปกครองผนึกสมุทรก็จะไร้อนาคต
ทว่าความแตกต่างของฐานะและกำลังแท้จริงของทั้งสองฝ่าย ทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรไร้กำลังต่อต้าน ตอนนี้ นอกเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร บนท้องฟ้ามีผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งถือคำสั่งเกณฑ์ทหารขององค์ชายเจ็ดมา
คนกลุ่มนี้มีจำนวนหมื่นกว่า แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่ข้างหน้า สวมชุดคลุมยาวสีดำ ปักกระบี่สีทอง เคลื่อนไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ในคนกลุ่มนี้ เผ่ามนุษย์มีจำนวนกว่าครึ่ง ต่างเผ่าก็มีบ้าง ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ สำนักต่างๆ ของเขตปกครองผมึกสมุทรในอดีตทั้งนั้น
พวกเขาหลังจากที่เลือกวางอาวุธแล้วก็มาสวามิภักดิ์องค์ชายเจ็ด ตำแหน่งเปลี่ยนไป ตอนนี้ภายใต้คำสั่งขององค์ชายเจ็ดยิ่งเป็นเหมือนข้าหลวงประจำพระองค์ มาที่นี่ทำการบังคับเกณฑ์ทหาร
ตอนนี้แต่ละคนสีหน้าสบายๆ ผ่อนคลาย ต่างยิ้มต่างหัวเราะ สายตาที่มองไปทางเขตปกครองผนึกสมุทรแฝงไว้ด้วยแววดูถูก บางคนยังมีรอยยิ้มเยาะที่มุมปากด้วย
และข้างหลังพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญนักรบชุดคลุมยาวสีเลือดเกราะสีเลือดหลายพันคน ทุกคนล้วนสีหน้าเย็นชา รังสีอำมหิตรุนแรง ทุกทีที่พาดผ่าน เมฆดำทะมึนปกคลุมเหนือศีรษะ รัศมีอำนาจไม่ธรรมดา
พวกเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ ต่างมาจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ เป็นกองทัพที่องค์ชายเจ็ดนำมาในตอนนั้น
ทุกคนล้วนขี่กิ้งก่ายักษ์สีดำสวมเกราะ จากการเข้ามาใกล้เมืองหลวงเขตปกครอง พลังอำนาจแข็งแกร่งและพลังทำลายล้างเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง
ในผู้บำเพ็ญหมื่นกว่านี้ยิ่งมีฉัตรลอยสูง ข้างล่างเป็นช้างบินสีขาวตัวหนึ่ง อยู่ในนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก
ช้างสีขาวตัวนั้นมีชายกลางคนสวมชุดเกราะคนหนึ่งนั่งอยู่ หน้าตาธรรมดาๆ แต่ดวงตาทั้งสองที่ลืมตาอยู่นั้นกลับมีประกายเย็นชาฉายวูบ
รอบๆ ยังมีเงาร่างชุดเกราะสีทองสิบกว่าคน ทุกคนล้วนแผ่ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวออกมา กลิ่นอายหวนสู่อนัตตาแผ่ซ่านไปในฟ้าดิน ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ก่อเกิดเป็นเมฆดำ จากการเคลื่อนไปข้างหน้าของพวกเขา เมฆดำกลุ่มนี้ก็เดือดพล่านไปด้วย
ข้างช้างสีขาวยังมีชายชราอีกคนหนึ่ง
ชายชราคนนี้หน้าตาเต็มไปด้วยรอยย่น ในดวงตามีเส้นไหมเป็นเส้นๆ เหมือนดาวตกพุ่งผ่าน ตอนนี้เดินทางติดตามไปด้วย พลางมองไปยังเขตปกครองผนึกสมุทรที่รูปสลักจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวประคองเอาไว้บนสองมือ สีหน้าฉายแววอาฆาตและเคียดแค้น
“เสี่ยเลี่ยนจื่อ เจิ้งข่ายอี้ แล้วก็มีสวี่ชิงไอ้สารเลวนั่น!”
ชายชรากัดฟัน ไฟแห่งความเคียดแค้นในใจกำลังเผาไหม้
ชายกลางคนบนหลังช้างสีขาว สายตากวาดมาที่ร่างของชายชรา แย้มยิ้มราบเรียบ
“หลิงอวิ๋น ที่นี่มีสหายเก่าของเจ้ามากมายเชียว”
ชายชราได้ยิน ก็รีบก้มศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อม ประสานหมัดคารวะ
“ใต้เท้าผู้บัญชาการ อีกเดี๋ยวขอโปรดอนุญาตให้กับกับสหายเก่าได้พูดคุยรำลึกความหลังกันสักหน่อยด้วยเถิดขอรับ”
สหายเก่าสองคำนี้เขากัดฟันกรอดพูดออกมา
ชายกลางคนหัวเราะ พยักหน้า
ชายชราคนนี้ก็คือปู่ของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง บรรพจารย์หลิงอวิ๋นแห่งสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าพันธมิตรแปดสำนักนั่นเอง
เขาในอดีตเนื่องจากเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ถูกลงโทษให้ปิดด่านหกสิบปี ทว่าหลังจากการปรากฏตัวขึ้นของอ๋องเทียนหลัน พันธมิตรปล่อยเขาออกมาก่อนกำหนด หลังจากบอกเล่าทุกอย่างแล้ว บรรพจารย์หลิงอวิ๋นเลือกที่จะติดตาม เข้าสวามิภักดิ์กับองค์ชายเจ็ด
วันนี้เขากระตือรือร้นอาสาสุดชีวิต ติดตามมายังที่นี่ด้วย
เขาไม่กังวลว่าเขตปกครองผนึกสมุทรจะขัดขืนเลย เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ ขัดขืนเท่ากับเร่งความตายให้เร็วขึ้น
กระทั่งว่าในใจของเขาเฝ้ารอเสียด้วยซ้ำ
“ขัดขืนพวกเขาตายอย่างแน่นอน ไม่ขัดขืนพวกเขาก็รอความตาย!
“น่าสงสารหลานชายของข้า ทั้งๆ ที่มีพรสวรรค์จักรพรรดิโบราณ แต่เพราะไอ้สารเลวสวี่ชิง อิจฉาพรสวรรค์ของหลานข้า วางแผนชั่วช้าทำร้ายเขา
“ทั้งยังมีลูกชายของข้าที่ตายอย่างอนาถ เป็นเพราะเจิ้งข่ายอี้!
“ต้นกำเนิดทุกอย่างคือเสี่ยเลี่ยนจื่อ!
“สายของพวกมันต้องตายไปให้หมด!”
จิตสังหารในดวงตาบรรพจารย์หลิงอวิ๋นรุนแรง มองไปทางเขตปกครองผนึกสมุทรที่อยู่ข้างหน้า มือขวาของเขายกขึ้นสะบัด ทันใดนั้นท้องฟ้าเดือดพล่านตามจิตของเขา ก่อเป็นสายฟ้าเป็นทางๆ พาดผ่านผืนฟ้า แล้วรวมกันเป็นมังกรสายฟ้าตัวมหึมาตัวหนึ่ง มาพร้อมด้วยเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น พุ่งตรงไปยังเขตปกครองผนึกสมุทร
คล้ายว่าจะฉีกทึ้งมัน
เพียงพริบตา มังกรสายฟ้าก็มาถึงยังท้องฟ้าของเขตปกครองผนึกสมุทร กำลังจะฟาดลงมา เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏหน้ามังกรสายฟ้า แล้วยกมือขึ้นกด
มังกรสายฟ้าถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายก็ระเบิด ก่อเป็นฝนฟ้าคะนองวงรี ปกคลุมเขตปกครองผนึกสมุทร
ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร ตอนนี้บนถนน ตามตรอกซอกซอยเงียบสงัด คนธรรมดาทั้งหมดถูกขอให้อยู่ในบ้าน อย่าได้ออกไปข้างนอก
มีเพียงผู้บำเพ็ญสามวังและผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมของสำนักต่างๆ ที่ร่วมอยู่และแตกดับไปกับเขตปกครองผนึกสมุทรเท่านั้น ที่อยู่ในเมืองหลวงเขตปกครอง ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น มองไปทางท้องฟ้า
ในนั้นมีเหยาอวิ๋นฮุ่ย มีหลี่ซือเถา มีลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต และคนที่สวี่ชิงคุ้นเคยมากมาย
แต่ว่าศิษย์พี่รองของเขาไม่อยู่ ข่งเสียงหลงก็ไม่อยู่เหมือนกัน
บนท้องฟ้า ตอนนี้จากกองทัพมหาศาลดำทะมึนที่มาเยือน เมฆดำรอบๆ ก็ยิ่งเดือดพล่าน รัศมีอำนาจรุนแรง มองไกลๆ เทียบกับพวกเขาแล้ว เขตปกครองผนึกสมุทรเหมือนเรือโดดเดี่ยวกลางคลื่นพิโรธ พร้อมจะเอียงล่มอยู่ตลอดเวลา
ในกองทัพ ชายกลางคนบนหลังช้างสีขาวหาว พูดไปตามปาก
“เขตปกครองผนึกสมุทรมีพลังรากฐานมากน้อยเพียงใดเจ้ารู้ดีที่สุด ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูปทำการเกณฑ์ทหารให้เสร็จ ข้ายังต้องไปที่ต่อไป”
พูดพลาง เขาก็เอาตำราโบราณม้วนหนึ่งขึ้นมา แล้วเริ่มอ่าน คล้ายว่าไม่สนใจเรื่องราวต่อจากนี้เลยสักนิดเดียว
ผู้บำเพ็ญนักรบเหล่านั้นที่อยู่ข้างๆ ต่างเฉยชา
มีเพียงผู้บำเพ็ญแต่เดิมเคยเป็นคนของเขตปกครองผนึกสมุทรอที่อยู่ข้างหน้าเหล่านั้น แต่ละคนล้วนตะโกนเสียงเอะอะโหวกเหวก ซึ่งรวมบรรพจารย์หลิงอวิ๋นอยู่ในนั้นด้วย
เขาก้มลงมองคนที่ระเบิดมังกรสายฟ้าของตัวเอง จิตสังหารลอยเอ่อ
“เจิ้งข่ายอี้!”
ชายชรากลางท้องฟ้าคือนายท่านเจ็ดนั่นเอง
เขามองกองทัพมหาศาล สีหน้าเคร่งขรึม สะบัดมือเบาๆ สลายสายฟ้าวงรีบนฝ่ามือไป ในขณะเดียวกันนี้ ข้างหลังเขาตอนนี้มิติแผ่ระลอก เงาร่างแต่ละร่างๆ ทยอยปรากฏออกมา
เป็นโหวเหยาก่อน จากนั้นก็เป็นเจ้าวังทั้งสามที่รับตำแหน่งต่อ และยังมีผู้ดูแลวังต่างๆ ยิ่งมีผู้แข็งแกร่งจากทุกสำนัก ขอเพียงเป็นผู้มีพลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาล้วนปรากฏบนท้องฟ้าทั้งสิ้น
เสี่ยเลี่ยนจื่อและย่าของเหยียนเหยียน อีกทั้งเจ้าสำนักทั้งสามของพันธมิตรแปดสำนักล้วนอยู่ในนี้ด้วย
แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม
เพียงแต่ เทียบกับก่อนที่สวี่ชิงจะจากไป คนที่ปรากฏตัวออกมาในตอนนี้น้อยลงไปมาก
คนที่น้อยลงไปเหล่านั้น ไม่เข้าสวามิภักดิ์ ก็รบตาย
ในกลุ่มคนยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ร่างสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วง ราวดอกชงโคบานอยู่บนม่านฟ้า หน้าตางดงามล้ำเลิศ เป็นจื่อเสวียนนั่นเอง
นางอยู่ตรงนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก อีกทั้งมองจากตำแหน่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งต่างไปจากคนอื่นๆ สูงส่งยิ่งกว่า
เพียงแต่หน้าตาคล้ายมีความกลัดกลุ้ม ทำให้นางทั้งคนดูแล้วค่อนข้างหมองหม่น ตอนนี้ใบหน้าไม่พอใจสายตาเย็นชา มองไปทางบรรพจารย์หลิงอวิ๋นและกองทัพที่อยู่ข้างหลังเขา
ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรเงียบงัน
การมาเยือนของกองทัพก่อเป็นพลังกดดันอย่างมหาศาล ปกคลุมไปบนร่างของทุกคนในเขตปกครองผนึกสมุทร ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากส่งกองทัพออกไป แต่ตอนนี้มาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว
“เหยาเทียนเยี่ยน เจิ้งข่ายอี้ พวกเจ้าบังอาจนัก!” บรรพจารย์หลิงอวิ๋นก้าวออกมา ยืนอยู่ข้างหน้ากองทัพ ในดวงตาแฝงด้วยจิตสังหาร ในใจเกิดความสุขสะใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน แค่นเสียงเย็นเอ่ยขึ้น
“คำสั่งเกณฑ์ทหารที่องค์ชายเจ็ดเรียกพวกเจ้าผ่านไปเจ็ดวันแล้ว เขตปกครองผนึกสมุทรเห็นแล้วว่าสนามรบวิกฤตอันตราย เผ่ามนุษย์บาดเจ็บล้มตายสาหัสแต่กลับรักษาตัวเอาตัวรอด ไม่ยอมส่งทหารมาแม้แต่คนเดียว
“การกระทำของพวกเจ้าก็คือการคบค้าศัตรู เป็นเศษเดนของเผ่ามนุษย์!
“วันนี้ใต้เท้าผู้บัญชาการมาด้วยตัวเอง พวกเจ้ายังดื้อดึงไม่รู้สำนึก เช่นนั้นเขตปกครองผนึกสมุทรยังเป็นเผ่ามนุษย์อยู่อีกหรือ เหนือศีรษะของพวกเจ้ายังมีจักรพรรดิมนุษย์อยู่อีกหรือไม่ ในใจของพวกเจ้ายังผดุงธรรมเผ่ามนุษย์อยู่อีกหรือไม่!”
ชั่วชีวิตนี้บรรพจารย์หลิงอวิ๋นผ่านเรื่องราวมามากมาย ฝึกฝนการคิดวางแผนล้ำลึกมาตั้งนานแล้ว ทุกคำล้วนมีคำว่าผดุงธรรมแฝงอยู่ ทุกประโยคไม่ขาดคำว่าเผ่ามนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสู้ได้
ตอนนี้จากคำพูดฮึกเหิมที่ดังก้อง แม้แต่ชายกลางคนบนหลังช้างขาวก็ยังเงยหน้า ดวงตาฉายแววชื่นชม
ฝ่ายเขตปกครองผนึกสมุทร เมื่อได้ยินก็ต่างโกรธแค้นเศร้าโศก ผู้บำเพ็ญวังทั้งสามในเขตปกครองต่างสีหน้าเคร่งเครียด กัดฟันกรอดๆ ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยเพลิงพิโรธ บนท้องฟ้า โหวเหยาก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง สีหน้าโศกเศร้าโกรธเคือง
“เจ้าว่าเขตปกครองผนึกสมุทรรู้จักแต่ปกป้องตัวเอง ไม่ยอมส่งทหารออกไปแม้แต่คนเดียว ครึ่งปีมานี้ เขตปกครองผนึกสมุทรเราส่งชายอกสามศอกออกไปห้ากลุ่มเป็นจำนวนล้านคน ยิ่งมีเจ้าวังพิธีการและผู้ดูแลทั้งสามวังอีกหลายคน!
“ชายล้านคนนี้ล้วนเป็นความหวังของอนาคตเขตปกครองผนึกสมุทร ยิ่งเป็นกองกำลังที่เหลืออยู่ของพวกเรา!
“สำนักต่างๆ โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรตะเกียงมอดน้ำมันหมดแล้ว
“ตอนนี้ เจ้ากลับมาพูดดำให้เป็นขาวที่นี่!
“แต่ละคำล้วนพูดว่าผดุงธรรรมเผ่ามนุษย์ ข้าขอถามว่าชายล้านคนห้ากลุ่มนั้นของเขตปกครองผนึกสมุทรตอนนี้ที่ยังมีชีวิตรอดเหลืออยู่อีกเท่าไร เจ้าวังพิธีการรบตาย ผู้ดูแลทั้งหลายกระดูกฝังอยู่ต่างบ้านต่างเมือง การตายของพวกเขา ไม่ใช่เพื่อผดุงธรรมเผ่ามนุษย์หรือ!
“และเขตปกครองผนึกสมุทรข้าหลายปีนี้ผ่านเรื่องราวมากมาย คลื่นศักดิ์สิทธิ์รุกรานพวกเราแบกไว้ เจ้าวังทั้งสามรบตาย เจ้าเขตปกครองแตกดับอย่างน่าแปลกประหลาด องค์ชายเจ็ดมาแย่งชิงความชอบจากสงคราม ดูเหมือนมาช่วย แต่เรื่องราวที่แท้จริงนั้น ใครบ้างที่ไม่รู้!
“ความตายของชายล้านคนห้ากลุ่มของเขตปกครองผนึกสมุทรยังไม่พออีกหรือ หรือแม้แต่เชื้อไฟกลุ่มสุดท้ายของพวกเราก็จะดับมันอย่างนั้นหรือ!”
โหวเหยาหลังเหยียดตรง ดวงตาไม่ได้มองไปทางบรรพจารย์หลิงอวิ๋น แต่มองไปทางกองทัพข้างหลังเขา ทุกคำทุกประโยค ถามใจดู แล้วไม่มีสิ่งใดให้ละอาย
นายท่านเจ็ดที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ก็ก้าวออกมาเช่นกัน มองไปทางช้างสีขาวในกองทัพ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“ในใจของพวกเรามีการผดุงธรรมเพื่อเผ่ามนุษย์ พวกเราพลีชีพได้เช่นกัน แต่ต้องคุ้มค่า
“ข้าขอถามใต้เท้าผู้บัญชาการสักหน่อยว่า องค์ชายเจ็ดส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปยังสนามรบเท่าไร”
ชายกลางคนบนหลังช้างขาวในกองทัพไม่ได้วางตำราโบราณในมือลง เพียงแค่พูดกับบรรพจารย์หลิงอวิ๋นอย่างราบเรียบ
“เจ้ายังเหลือเวลาอีกครึ่งก้านธูป”
บรรพจารย์หลิงอวิ๋นได้ยินดวงตาทั้งสองก็ฉายประกายวูบ กวาดมองไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง สุดท้ายก็มองไปยังนายท่านเจ็ดและพวกโหวเหยา เอ่ยเสียงเย็นชาออกไป
“วังครองกระบี่ วังพิธีการ วังอาญา เจ้าวังทั้งสาม รองเจ้าวัง ผู้ดูแล ตลอดจนผู้ครองกระบี่ทั้งหลายเหลืออยู่เท่าไร ก็เอามาเท่านั้น
“สำนักต่างๆ เจ้าสำนักไปเข้าร่วมสงคราม
“นอกจากนี้…เมื่อครึ่งปีก่อนองค์ชายเจ็ดก็ได้เลือกให้สวี่ชิงเข้าร่วมสงครามในคำสั่งแรก พวกเจ้าใช้ข้ออ้างว่าปิดด่านหลบเลี่ยง ครั้งนี้ สวี่ชิงต้องเข้าร่วม!
“ภายในครึ่งก้านธูป คนกลุ่มนี้และสวี่ชิงจะต้องมารวมตัวกันให้เรียบร้อย!”
บรรพจารย์หลิงอวิ๋นพูดจบก็ก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
ก้าวนี้ยิ่งกว่าทัณฑ์สวรรค์ คำรามลั่นไปทั่วสารทิศ ทำให้ลมเมฆเปลี่ยนสี ท้องฟ้าเกิดคลื่นวนมหึมา ขณะที่หมุนวนครืนครันเลื่อนลั่น ฝ่ายเขตปกครองผนึกสมุทรก็โมโหอย่างสุดขีด แต่ละคนรัศมีอำนาจพวยพุ่ง
โหวเหยาในดวงตาฉายแววมุ่งมั่น หลังจากมองหน้ากันกับนายท่านเจ็ด ในความมุ่งมั่นมีความเด็ดเดี่ยวเพิ่มขึ้นมากลุ่มหนึ่ง เสียงแฝงด้วยความอำมหิตดังก้อง
“วังทั้งสาม!”
เพียงพริบตา เจ้าวังทั้งสามที่อยู่ข้างหลัง ต่างพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า เปล่งเสียงคำรามต่ำทุ้มขานรับคำเรียก
โดยเฉพาะวังครองกระบี่ที่รับผิดชอบเรื่องการต่อสู้สงคราม รองเจ้าวังคนนั้นเมื่อตอนนี้เป็นเจ้าวังในวันนี้ อยู่ท่ามกลางฟ้าดิน เปล่งเสียงดุดันขึ้น
“ผู้ครองกระบี่อยู่ที่ใด!”
คำพูดของเขาดังก้องไปทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร เงาร่างแต่ละร่างๆ ทะยานขึ้นจากพื้นแผ่นดินเมืองหลวงเขตปกครองขึ้นมา ยิ่งมีเสียงดุดันแข็งกร้าวดังตามมา
“ผู้ครองกระบี่ ซุนเฉินอู่ อยู่นี่!”
“ผู้ครองกระบี่ จางเจี๋ย อยู่นี่!”
“ผู้ครองกระบี่ หลี่ว์เทา อยู่นี่!”
…
และในเสียงมากมายเหล่านี้ มีเสียงหนึ่งที่ดังก้องกังวานเป็นอย่างยิ่ง ราวสายฟ้าฟาดที่ข้างหูคนทั้งหลาย ซัดเป็นคลื่นไร้จุดสิ้นสุด
“ผู้ครองกระบี่ สวี่ชิง อยู่นี่!”