ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 723 เคียงคู่ร่วมผลักประตู จิตใจเคียงคู่เป็นหนึ่งร่วมกัน
บทที่ 723 เคียงคู่ร่วมผลักประตู จิตใจเคียงคู่เป็นหนึ่งร่วมกัน
แดนต้องห้ามเซียนที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของกรมราชทัณฑ์ เดิมเป็นหนึ่งในตำหนักใหญ่ของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว แบ่งอยู่ในที่ต่างๆ มากมายของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในยุคอดีต ทุกที่ล้วนมีตำหนักเทพ
มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่เข้าไปอาศัยได้
ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
แต่จากการมาเยือนของเสี้ยวหน้าเทพเจ้า จากการจากไปของจักรพรรดิเสวียนโยว เทพเจ้าก้างปลาใช้ที่นั่นเป็นที่พำนัก ดังนั้นตำหนักเซียนราชวงศ์ก็กลายเป็นแดนต้องห้ามเซียน
ของวิเศษมากมายในนั้นต่างท่วมจมไปในไอพลังประหลาด
คนธรรมดาตลอดทั้งผู้บำเพ็ญยากที่จะก้าวไปในนั้น ต่อให้เป็นจักรพรรดิมนุษย์ในยุคจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่งก็ไม่ยินดีที่จะเปิดศึกกับเทพเจ้าเพื่อตำหนักเซียนแห่งหนึ่งเช่นนี้
จวบจนเมื่อหลายปีก่อน จักรพรรดิมนุษย์ออกคำสั่งเปิดแดนต้องห้ามเซียน ชื่อหมู่ฟื้นตื่นในร่างจางซืออวิ้น กลืนกินเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียน ที่นี่ถึงได้กลับคืนสู่การควบคุมของมนุษย์อีกครั้ง
หลังจากเขตปกครองผนึกสมุทรปกครองตัวเอง ย่อมบุกเบิกมัน แม้ของวิเศษล้ำค่ามากมายในนั้นจะถูกองค์ชายเจ็ดขนออกไปหมดแล้ว แต่ที่เหลือเหล่านั้น สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วก็มีคุณค่ามหาศาลเช่นกัน
ตอนนี้ชั้นล่างสุดของกรมราชทัณฑ์ บนโพรงที่ค่ายกลผนึกตั้งอยู่ในอดีต เงาร่างของสวี่ชิงและจื่อเสวียนค่อยๆ ปรากฏออกมา
สำหรับคำขอของจื่อเสวียน สวี่ชิงไม่มีทางปฏิเสธ โดยเฉพาะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมหลังจากที่ตนได้ขวดแห่งกาลเวลามาแล้ว ถึงได้ยินเสียงถอนหายใจสะท้อน
เสียงถอนหายใจนั่นดูเหมือนคิดไปเอง แต่สวี่ชิงตอนนี้นึกย้อนไป เขารู้สึกว่ามันมีอยู่จริง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาในตอนนั้นสูญเสียความทรงจำไปสามวัน
กระทั่งว่าความทรงจำในตอนนี้ ตำหนักหงส์ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไร มีเพียงขวดแห่งกาลเวลาเท่านั้นที่โดดเด่นที่สุด
ความรู้สึกแบบนั้นทำให้ความคิดสวี่ชิงมากมายไปหมด
หลังจากผ่านเรื่องราวมากมายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา โดยเฉพาะเคยสัมผัสรับรู้เขตแดนจิตลืมเลือนมาก่อน เขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความทรงจำมากยิ่งขึ้น
“ที่นั่นข้าน่าจะเห็นภาพอะไรบางอย่างที่ไม่อาจทนรับได้ จึงไม่อาจจำได้”
เรื่องพวกนี้ ระหว่างทางเขาก็ได้บอกให้จื่อเสวียนได้รู้ ดังนั้นหลังจากที่มาถึงที่นี่ ทั้งสองคนก็ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ต่างก้าวเท้าเหยียบย่างลงไปข้างล่าง เพียงพริบตาเงาร่างของพวกเขาก็ดิ่งลงไปในนั้น วังใต้ดินกว้างใหญ่ จากการลงมาเยือนของคนทั้งสอง ก็สะท้อนในดวงตาของพวกเขา
ที่นี่ไม่ค่อยเหมือนกับตอนที่สวี่ชิงได้เห็นในตอนนั้น
ตอนนั้นที่นี่ตลบอวลไปด้วยไอพลังประหลาด หนาแน่นราวหมอก ทุกอย่างรางเลือนบิดเบี้ยว ผืนดินยิ่งถูกเนื้อชุ่มเลือดปกคลุม
แต่ตอนนี้ไอพลังประหลาดหายไปแล้วเก้าส่วน พื้นดินไม่ใช่เนื้อชุ่มเลือดอีกต่อไป เผยให้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของที่รกร้าง
ในครรลองสายตา ตำหนักที่สมบูรณ์มีน้อยมาก ส่วนใหญ่พังถล่มไปแล้ว
ความรู้สึกเก่าแก่โบราณ ร่องรอยของการไหลไปของเวลา อยู่ที่นี่เห็นเด่นชัดเป็นอย่างมาก
ยิ่งมีเสามหึมาแต่ละต้น ตั้งตระหง่านบนพื้น แผ่ประกายแสง ส่องสว่างทุกสิ่ง
อาจเป็นเพราะมาที่นี่หลายครั้งมาก จื่อเสวียนจึงคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ยืนอยู่กลางอากาศ นางสูดลมหายใจลึก ร่างเพียงไหววูบก็พุ่งตรงไปข้างล่าง
สวี่ชิงติดตามอยู่ข้างหลัง
ทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง ความเร็วรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
เวลาไม่นานนัก ที่รกร้างพังถล่มแห่งหนึ่งก็ปรากฏข้างหน้าสวี่ชิงและจื่อเสวียน
“ที่นี่แหละ”
เงาร่างจื่อเสวียนหยุดนิ่ง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
ในใจสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ สถานที่ที่เขาได้ขวดแห่งกาลเวลาก็คือที่นี่ ดังนั้นหลังจากสายตาจ้องเพ่ง สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไร เคลื่อนไปข้างหน้า
ก้าวไปข้างหน้าที่ละก้าว เดินไปยังข้างหน้าที่รกร้างแห่งนี้
การเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่นี่ตอนนั้นไม่ได้เกิดขึ้น
‘หลังจากที่ข้าได้ขวดแห่งกาลเวลามาแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่นี่ก็หายไปด้วย ไม่ใช่เข้าใกล้ที่นี่ก็จะชัดเจน แต่กลายเป็นแดนรกร้างที่แท้จริง’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เดินอยู่ในที่รกร้าง มองซากปรักหักพังรอบๆ มีทั้งไม่คุ้นเคย และมีทั้งคุ้นเคย
แต่ในความคุ้นเคยมีความไม่คุ้นเคย และในความไม่คุ้นเคยก็มีความคุ้นเคยอยู่
ทุกอย่างนี้ทำให้ในใจสวี่ชิงที่มีความรู้สึกเหมือนความทรงจำถูกเปลี่ยนค่อยๆ รุนแรงขึ้นมา
จวบจนกระทั่งเขามาถึงยังสถานที่ในความทรงจำที่ให้ศีรษะและสิงโตหินไปเอาขวดแห่งกาลเวลากลับมา
อยู่ที่นี่ สวี่ชิงหันไปมองจื่อเสวียนที่อยู่ข้างหลัง
จื่อเสวียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้างดงามเย็นยะเยือก ดวงตาทั้งสองราวบนบ่อน้ำลึกหยกดำมีไอหมอกปกคลุม ฉาบความงุนงงสับสนอย่างหนักหน่วงออกมา
ความรู้สึกโดดเดี่ยวรางๆ คล้ายว่าค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากร่างของนางอย่างช้าๆ
ความรู้สึกนี้ทำให้สวี่ชิงในใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พลันเอ่ยขึ้น
“จื่อเสวียน”
ครั้งนี้เขาไม่ได้เรียกจอมเซียน
จื่อเสวียนค่อยๆ หันมา มองไปทางสวี่ชิง
“ข้าได้ขวดแห่งกาลเวลาจากที่ตรงนี้ ข้าไม่รู้ว่าวางมันกลับคืนลงไปใหม่อีกครั้งจะเกิดอะไรขึ้น ความทรงจำได้รับผลกระทบ เจ้า…แน่ใจว่าจะตามหาต้นกำเนิดของความคุ้นเคยหรือไม่
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า เหตุที่เจ้าแค่คุ้นเคยในฝัน เป็นเพราะทุกอย่างในอดีตเป็นเจ้าเลือกที่จะลืมเลือนมันไป”
คำพูดของสวี่ชิงทำให้จื่อเสวียนเงียบนิ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางยกมือทัดปอยผมข้างหู ดวงตาใสกระจ่างราวน้ำในทะเลสาบ จ้องมองใบหน้าสวี่ชิง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ทุกอย่างในฝันสร้างความกังวลว้าวุ้นให้ข้ามานานหลายปี ข้าอยากรู้…ตะเกียงดวงนั้นมีความเกี่ยวพันอะไรกับข้า”
สวี่ชิงหลับตา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สมบัติเทพข้างหลังส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ขวดแห่งกาลเวลาพุ่งออกมาอีกครั้ง ลอยอยู่ข้างหน้าเขา ค่อยๆ ลอยต่ำลงมา
ในพริบตาที่สัมผัสพื้น ขวดแห่งกาลเวลาสั่นสะท้านรุนแรง ปะทุประกายแสงพร่างพรายไร้ขอบเขต ส่องสว่างพื้นที่รกร้างแห่งนี้โดยสมบูรณ์ เสี้ยวขณะต่อมาที่แห่งนี้ก็รางเลือน ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง
ตำหนักหงส์แต่ละตำหนักๆ ผุดขึ้นมาจากผืนดิน มาพร้อมด้วยกำแพงสูงสีแดงชั้นหนึ่ง ที่รกร้างแห่งนี้กลายเป็นเรือนที่พักอาศัยหลังหนึ่ง ยิ่งมีตำหนักหงส์ที่ใหญ่กว่าตำหนักอื่นๆ มากตำหนักหนึ่ง ก่อขึ้นบริเวณใจกลาง ตั้งตระหง่านในเรือนที่พัก
ตำหนักหงส์เก้าตำหนักปรากฏขึ้นทั้งหมด
สวี่ชิงมองตำหนักเหล่านี้ ในสมองมีความเจ็บปวดเกิดขึ้น คล้ายว่ามีความทรงจำช่วงหนึ่ง จากภาพที่ปรากฏขึ้นข้างหน้านี้ กำลังฟื้นคืนในทะเลความรู้สึกของเขา
ส่วนจื่อเสวียนทางนั้น ร่างของนางกำลังสั่นสะท้าน มองตำหนักหงส์ มองทุกอย่างรอบๆ ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจของนางยิ่งซัดโหมรุนแรง
“ข้าเคยมาที่นี่…
“ในฝัน ข้ามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่…”
จื่อเสวียนลมหายใจหอบถี่ พึมพำก้าวไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ ผ่านตำหนักแห่งแล้วแห่งเล่า แล้วมาอยู่ข้างหน้าตำหนักหงส์ที่อยู่ตรงกลางแห่งนั้น ฝีเท้าของนางหยุดชะงัก หันมามองสวี่ชิง
“ข้า…เหมือนเคยอาศัยอยู่ที่นี่”
เสียงของจื่อเสวียนแฝงรอยสั่นสะท้าน ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางชั่วชีวิตนี้ก็คือความฝันอันมืดมิดที่ปรากฏอยู่ตลอด
นี่ทำให้นางอยากตามหาแสงไปตามสัญชาตญาณ ตามหาความอบอุ่นที่จะขับไล่ความมืดมิดนี้
และในวันนี้ ต้นเหตุของทุกอย่างคล้ายว่าจะวางอยู่ข้างหน้านาง แต่ใจของนางไม่รู้ว่าทำไมจึงเกิดความโศกเศร้า
ความโศกเศร้านี้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความโดดเดี่ยวเข้าท่วมจมนาง
สวี่ชิงได้ยินประโยคนี้ในใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์มหาศาลเช่นกัน สายตามองไปทางตำหนักใหญ่แห่งนั้นตามจื่อเสวียน เสี้ยวขณะต่อมาเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าในสมองของเขา ทำให้ภาพความทรงจำที่ถูกลบไปภาพนี้ปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง
นั่นเป็นเงาร่างที่ฉายวูบร่างหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำสามวันที่หายไปที่นี่ของเขา
ในภาพ สวี่ชิงเห็นตัวเองเคยผลักประตูเปิดตำหนักแห่งนี้
แต่ในนั้นมีอะไร ความทรงจำของเขาขาวโพลน
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขามองจื่อเสวียนที่เนื้อตัวสั่นเทา ในใจเกิดความสงสาร ปกติแล้วจื่อเสวียนในสายตาของเขางดงามเลิศล้ำอยู่ตลอด ล้วนมั่นใจอยู่ตลอด โฉมสะคราญหยาดเยิ้ม
เป็นฝ่ายนำตลอด คล้ายว่าคำว่าอ่อนแอสองคำนี้ไม่มีทางปรากฏบนร่างของนางเด็ดขาด
แต่วันนี้เขาเห็นอีกด้านหนึ่งของจื่อเสวียน
นางเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ท่ามกลางเนื้อตัวที่สั่นเทา ฉายความตื่นกลัว ความกังวล ความโศกเศร้า และความโดดเดี่ยวลึกๆ
สวี่ชิงก้าวไปเงียบๆ เดินมาข้างกายจื่อเสวียน ยื่นมือมากุมมือนุ่มเย็นเฉียบของจื่อเสวียนเอาไว้
ใช้ความอบอุ่นของตัวเองไปละลายความเย็นยะเยือกบนมือของนาง
จื่อเสวียนหันมาตามสัญชาตญาณ ในดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา กุมมือของสวี่ชิงเอาไว้แน่น คล้ายสัญชาตญาณเป็นตายของคนที่กำลังจมน้ำ จนมือของนางขาวซีดก็ยังไม่คลายลงแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางสูดลมหายใจลึก ฝืนยิ้มให้สวี่ชิง
“ข้าเสียกิริยาแล้ว”
สวี่ชิงส่ายหน้า ไม่ได้ปล่อยมือ
จื่อเสวียนหลับตาทั้งสองลง หลังจากนั้นหลายอึดใจก็ลืมตาอีกครั้ง เก็บความอ่อนแอทุกอย่างของนางลงไป ในดวงตาฉายแววยืนหยัด กำลังจะผลักประตูตำหนักที่อยู่ข้างหน้า
สวี่ชิงยกมืออีกข้างหนึ่ง แตะไปบนนั้นร่วมกับนาง
“ข้าจะร่วมเปิดมันกับเจ้า”
จื่อเสวียนใจสั่นสะท้าน มองสวี่ชิง
สวี่ชิงมองนาง
นานหลังจากนั้น ทั้งสองคนออกแรงร่วมกัน จากเสียงสะท้อนของเสียงแอ๊ดที่ดังขึ้น ประตูตำหนักหงส์ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาบานนั้นก็ค่อยๆ เปิดออก
มิดสนิทไปทั้งแถบ ความมืดมิดราวหมึกจากในประตูแผ่ลาม ปกคลุมร่างของทั้งสองเอาไว้
ในขณะเดียวกัน ในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ เมืองหลวงของราชวงศ์สายลมสวรรค์ในอดีต ตอนนี้เป็นขององค์ชายเจ็ด
เขาสร้างจวนไว้ที่นี่ ผู้ใต้บัญชาการมากมาย รัศมีอำนาจท่วมท้น
นอกจากผู้ติดตามแต่เดิมของเขาเองแล้ว ฝ่ายพระมารดาของเขาก็จัดคนมาไม่น้อยมาคอยช่วยเหลือสนับสนุนที่นี่ ยิ่งมีอำนาจของอ๋องเทียนหลัน ทำให้เขาอยู่ในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่มีใครขัดขืน
ไม่แตกต่างอะไรกับแผ่นดินบรรดาศักดิ์สักเท่าไร
ต่อให้เป็นต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทางนั้นก็ยังต้องหลบรัศมีความรุ่งโรจน์ของอ๋องเทียนหลัน แม้จะไม่ถึงกับขั้นศิโรราบ แต่ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ปรองดองกันเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น สำหรับองค์ชายเจ็ดแล้ว ตอนนี้หนามเพียงอันเดียวในใจก็คือเขตปกครองผนึกสมุทร
เดิมเป็นแค่เขตปกครองแห่งหนึ่งก็เท่านั้น เขาไม่มีทางใส่ใจ แต่เขตปกครองผนึกสมุทรต่างออกไป
ที่นั่น เขาประสบกับความอุปสรรคครั้งแรกในชีวิต
ที่นั่น เขาจำได้ว่ามีคนที่ชื่อว่าสวี่ชิง
ดังนั้นเรื่องเกณฑ์ทหารเขาถึงจับตามองเขตปกครองผนึกสมุทรเป็นพิเศษ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปได้เป็นอย่างดี เขตปกครองผนึกสมุทรกำลังถูกแบ่งแยก ถูกรุกรานไปตามความคิดของเขา
และภายใต้แนวโน้มของสถานการณ์สงครามเผ่าฟ้าทมิฬ ทิศทางสุดท้ายของเขตปกครองผนึกสมุทรไม่เลือกที่จะศิโรราบ ก็จะต้องถูกสยบ
ดังนั้น การสูญเสียการติดต่อของกองทัพที่เขตปกครองผนึกสมุทรครั้งนี้ทำให้เขาประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจเช่นกัน
เพราะข่าวปกปิดเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เขาไม่รู้รายละเอียดของการสูญหายของกองทัพ นี่ทำให้ในขณะเดียวกับที่ประหลาดใจแล้ว ก็สัมผัสได้ว่าเขตปกครองผนึกสมุทรต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังมีพลังรากฐานที่ไม่ธรรมดา
ส่วนสิ่งที่ทำให้เขาไม่ประหลาดใจคือการตัดสินใจของเขตปกครองผนึกสมุทร นี่เดิมก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว
ดังนั้นหลังจากที่ได้รับข่าวการสูญเสียการติดต่อของกองทัพในเขตปกครองผนึกสมุทร ในดวงตาองค์ชายเจ็ดฉายแววเย็นชา ในขณะที่ส่งผู้ใต้บัญชาการไปรายงานเรื่องนี้กับอ๋องเทียนหลันแล้ว สายตาของเขาก็มองไปนอกตำหนัก
ตรงนั้นมีคนแต่งกายอย่างบัณฑิตสองคน กำลังรอเรียกเข้าเฝ้า
หนึ่งในนั้นคือผู้นำพันธมิตรแปดสำนักนั่นเอง
“เฉินหยางจื่อ!”
องค์ชายเจ็ดเอ่ยราบเรียบ
นอกตำหนัก ผู้นำพันธมิตรได้ยินก็รีบก้มหน้าโค้งตัวเดินเข้ามา อยู่ในตำหนักประสานหมัดโค้งคารวะ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม
“พะย่ะค่ะองค์ชาย!”
องค์ชายเจ็ดกำแผ่นหยกในมือเล่น เอ่ยไปตามปากขึ้น
“เตาหลอมที่เจ้าว่าเมื่อครั้งที่แล้วไปเอามาจากเขตปกครองผนึกสมุทรได้แล้ว ข้าอยากลองดูว่าจะอัศจรรย์อย่างที่เจ้าว่าหรือไม่”
ผู้นำพันธมิตรแม้ในใจจะเสียดายนิดๆ แต่ไม่นานนักก็ทำใจได้ โค้งคารวะอย่างสุขุม
“น้อมรับบัญชา!”