ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 726 นาย…เชื่อฟัง…ข้า
บทที่ 726 นาย…เชื่อฟัง…ข้า
ควันลอยอ้อยอิ่ง จางซานมองเห็นเด็กหนุ่มเมื่ออดีตในนั้น
สวี่ชิงในควันนั่นก็มองเห็นทะเลเลือดภูเขาศพ
และควันค่อยๆ สลายไป ทั้งสองสายตาประสานกัน สวี่ชิงหัวเราะ จางซานก็หัวเราะเช่นกัน เขาเคาะกล้องสูบยาบนพื้น ขี้เถ้าหลังจากที่เผาไหม้ร่วงเต็มพื้น
“ครั้งนี้ให้ข้าช่วยหลอมอะไร”
จางซานถาม
สวี่ชิงสะบัดมือ เอาขวดใบเล็กบรรจุเรือศึกเวทออกมา วางไว้ข้างหน้าจางซาน
หลายปีมานี้ เขาใช้เรือศึกเวทน้อยมาก เนื่องจากการยกระดับของพลังบำเพ็ญ เรือศึกเวทจึงไร้ประโยชน์
แต่สวี่ชิงไม่อยากทิ้ง ดังนั้นครั้งนี้เขามาหาจางซานคุยรำลึกความหลัง แล้วก็อยากให้เขาช่วยปรับปรุงเรือศึกเวทครั้งใหญ่
สายตาจางซานจับจ้องไปที่เรือศึกเวท ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชิงพูด มองผ่านจากขวดใบเล็ก เขาก็รู้ว่าเรือศึกเวทลำนี้แทบจะไม่ได้ใช้ และก็เข้าใจถึงความคิดของสวี่ชิง สายตาจึงฉายประกายประหลาดออกมา
“เรือศึกบรรพกาลหรือ”
สวี่ชิงพยักหน้า
จางซานตื่นเต้นทันที ถูๆ มือ เงียบนิ่งขบคิดไปครู่หนึ่ง
“ข้าคนเดียวทำไม่ได้ ข้าต้องเรียกช่างฝีมือคนเก่าคนแก่พวกนั้นของยอดเขาลำดับหกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมา ไม่พอด้วย ยังต้องมีค่ายกล…สวี่ชิง เรือศึกบรรพกาลที่ข้าหลอมให้ เรื่องนี้ต้องใช้ความร่วมแรงของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทั้งสำนัก เช่นนี้ถึงจะพอ!
“เรื่องนี้สำหรับคนอื่นแล้วยากมาก แต่สำหรับเจ้า ขอแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
“ต้นกำเนิดพลังของเรือศึกบรรพกาลถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ หากบรรจุของวิเศษเวทได้ เช่นนั้นก็ดีเลย หากใช้เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพได้ เช่นนั้นก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ”
จางซานพูดพลางสูบกล้องยาสูบเข้าไปหนึ่งที สวี่ชิงพลันหยิบขนนกอันหนึ่งออกมา วางไว้ข้างหน้าจางซาน
ขนนกนี้เพียงปรากฏขึ้น พลังอำนาจมหาศาลของเทพเจ้าในนั้นก็ปะทุออกมาทันที ดีที่สวี่ชิงเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ระลอกคลื่นพลังจึงไม่แรงมาก แต่ก็ยังคงทำให้รอบๆ รางเรือน เกิดการบิดเบี้ยว
ดวงตาจางซานเบิกกว้าง ควันในปากทำให้ตัวเองสำลัก กล้องยาสูบในมือถือเอาไว้ไม่มั่น ร่วงไปบนพื้นดังแกร๊ง หนังศีรษะของเขาแทบจะฉีกออก ในใจราวมีสายฟ้านับร้อยนับหมื่นฟาดผ่า
เขาเคยเห็นเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพ อีกทั้งไม่ใช่แค่ครั้งแรก กระทั่งเลือดเนื้อของจวีอิงก็เคยเห็นมาก่อน แต่ความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในขนนกอันนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้พบเจอมาก่อนเลยตลอดทั้งชีวิตนี้
เทียบกับในอดีตแล้ว สิ่งที่เขาเห็นในอดีตพวกนั้นในเสี้ยวขณะนี้ล้วนกลายเป็นขยะไปทั้งหมด เทียบกับขนนกอันนี้แล้วราวแสงหิ่งห้อยกับแสงจันทร์เดือนเพ็ญ
“นี่…นี่…”
จางซานสั่นสะท้าน เนื้อตัวสั่นเทา ไออยู่นาน มองขนนกนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วเงยหน้าอย่างยากลำบาก
“นี่คือเลือดเนื้อของเทพเจ้า”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
จางซานสีหน้าอึ้งตะลึงไปทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาเก็บกล้องยาสูบที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเงียบๆ สูบเข้าไปทีหนึ่งไปตามสัญชาตญาณ กระทั่งว่าออกแรงมากเกินไป สะเก็ดไฟจึงร่วงลงบนตัว
ส่วนสีหน้าของเขาแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด ลมหายใจหอบถี่เป็นอย่างยิ่ง เสียงแหบแห้ง เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“พอแล้วล่ะ!
“สวี่ชิง ข้าจะต้องออกแบบเรือศึกบรรพกาลที่ไม่เคยมีมาก่อนให้เจ้าอย่างแน่นอน จากนั้นจะใช้ขนนกอันนี้เป็นแหล่งพลังงาน ข้าเชื่อว่า เรือศึกบรรพกาลลำนี้จะต้อง…”
สวี่ชิงลังเล แต่ก็ยังขัดจังหวะอีกฝ่ายอยู่ดี
“ศิษย์พี่จางซาน ความหมายของข้าคือ ท่านออกแบบเรือศึกบรรพกาลจากกลิ่นอายของขนนกอันนี้ ส่วนแหล่งกำเนิดพลัง…ไม่ใช่ขนนกอันนี้ขอรับ”
จางซานงงงัน มองสวี่ชิง แล้วมองขนนก จากนั้นเขาก็นึกถึงรูปแบบของนายกอง…ดังนั้นจึงเข้าใจ
และความเข้าใจนี้แทบจะทำให้เขาแข็งเป็นหิน กระทั่งว่าสวี่ชิงจากไปแล้วก็ยังไม่หายตะลึง
จวบจนนานหลังจากนั้นเขาถึงถอนลมหายใจยาว ในใจสั่นสะท้านสุดขีดกับคำตอบที่ตนตระหนักได้ก่อนหน้านี้
‘ขนนกยังไม่เหมาะจะเอามาเป็นแหล่งกำเนิดพลัง นั่นหมายความว่าพวกเขาได้อะไรมามากกว่านี้ และหากเลือดเนื้อของเทพเจ้าเพียงเล็กน้อยแบบนี้มีวิธีได้มามากมาย แต่หากมีพลังมหาศาล…
‘พวกเขาสังหารเทพอย่างนั้นหรือ!’
จางซานฉุกคิดขึ้นได้ รีบสะกดความคิดนี้ลงไป เขารู้ดีว่า เรื่องบางอย่างตัวเองรู้ได้ แต่เรื่องบางอย่าง รู้แล้วแต่ก็ต้องไม่รู้!
ตอนนี้ฟ้าค่อยๆ มืดลง สวี่ชิงที่กลับมาจากจางซานทางนั้น เดินอยู่บนถนนเมืองหลวงเขตปกครอง เขาไม่ได้จงใจอำพรางกลิ่นอาย แต่ระลอกคลื่นบนร่างทำให้เงาร่างของเขาไม่อาจก่อรูปร่างได้ในสายตาของคนธรรมดา
เดินอยู่ในฝูงชน สัมผัสความพลุกพล่านคึกคักของที่นี่ ในใจของสวี่ชิงสงบสุขนัก
เขาเห็นผู้บำเพ็ญ เห็นผู้ครองกระบี่ เห็นคนธรรมดา กระทั่งว่าเห็นเหยียนเหยียนที่ใบหน้าไม่มีความสุข สายตาแฝงด้วยจิตสังหารกำลังเดินลาดตระเวน
ในสายตาของเหยียนเหยียนนางมองไม่เห็นสวี่ชิง นางมาพร้อมด้วยอารมณ์ทารุณสังหาร เดินผ่านข้างกายสวี่ชิงไป
สวี่ชิงจ้องมอง ครู่หนึ่งก็เดินไป ไปจากข้างกายเหยียนเหยียน
และจากการจากไปของเขา ฝีเท้าของเหยียนเหยียนพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็พลันหันมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง…ก็ก้มหน้าลงไปเงียบๆ
จวบจนเวลาไหลผ่านไป เวลายิ่งดึกขึ้น ฝูงชนบางตาลง สวี่ชิงที่เดินไปทางจวนเจ้าเขตปกครอง ฝีเท้าหยุดลง มองไปข้างหลัง
ห่างออกไปร้อยจั้งข้างหลังเขา มีคนย่อตัวนั่งอยู่คนหนึ่ง ท่าทางของเขาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
ทันทีที่สวี่ชิงหยุดลง เขาก็หยุดลงตามด้วย ในดวงตาฉายแววสงสัย มองไปทางสวี่ชิง
ในม่านตาของเขาไม่มีเงาร่างของสวี่ชิง
แต่เขาสามารถสัมผัสกลิ่นอายของสวี่ชิงได้ นี่เป็นพรสวรรค์ของเขา ดังนั้นแม้จะมองไม่เห็น แต่ก็ยังคอยตามมาตลอดทาง จวบจนกระทั่งตอนนี้ กลิ่นอายกลุ่มนั้นที่เขาสัมผัสได้หายไปแล้ว
นี่ทำให้เขาเศร้าซึม ย่อตัวลงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เหมือนถูกทอดทิ้ง
แต่ข้างกายของเขา สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น มองคนที่อยู่ข้างหน้า
คนคนนี้ก็คือเจ้าใบ้น้อยนั่นเอง
สวี่ชิงสัมผัสอีกฝ่ายได้ตั้งนานแล้ว และเพียงผาดเดียวก็มองออกว่าพลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายมาถึงขั้นไฟชีวิตสามดวง กระทั่งว่าช่องเวทเปิดได้ไม่น้อย ห่างจากไฟชีวิตสี่ดวงอีกแค่สองช่องเท่านั้น
พรสวรรค์เช่นนี้ อยู่ที่สำนักใดก็นับว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะแล้ว
และจากบาดแผลมากมายบนร่างเขา ก็มากพอที่จะบอกว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นตัวเขาเองที่ฆ่าฟันสังหาร
รวมกับพรสวรรค์ของเขา สามารถสัมผัสสิ่งที่คนอื่นสัมผัสไม่ได้ ทุกอย่างนี้ทำให้อนาคตของเจ้าใบ้น้อยจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เจ้าสามารถยกระดับวังสวรรค์ได้ทุกเวลาแล้ว”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
คำพูดของเขาดังก้องไปในถนนที่ว่างโล่ง เจ้าใบ้น้อยหลังจากที่ได้ยิน ร่างสะท้านเฮือก รีบคุกเข่าลงไปทันที โขกศีรษะคำนับไม่หยุด
ทุกครั้งล้วนใช้แรง
จวบจนพลังอ่อนโยนกลุ่มหนึ่งประคองเขาลุกขึ้นมา เจ้าใบ้ถึงได้หยุด เขาอาศัยสัมผัสรับรู้ ชูนิ้วห้านิ้วไปทางสวี่ชิง สายตาฉายแววเคารพบูชา
สวี่ชิงมองเข้าใจแล้ว
เจ้าใบ้น้อยกำลังบอกว่า เขาจะเปิดไฟชีวิตห้าดวง เขาจะเดินเส้นทางที่สวี่ชิงเคยเดิน
สวี่ชิงพยักหน้า เขายินดีที่จะได้เห็นในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีคนกำลังเดินบนเส้นทางที่เขาเคยเดิน แต่เส้นทางนี้ยากลำบากนัก ดังนั้นสวี่ชิงหลังจากครุ่นคิดก็หันหลังจากไป
แต่กลับมีหยกประดับชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศหน้าเจ้าใบ้น้อย มีเสียงสวี่ชิงดังมาด้วย ดังก้องอยู่ในจิตใจเจ้าใบ้น้อย
“ช่องเวทช่องสุดท้ายของเจ้า จงถือหยกประดับชิ้นนี้ไปยังเกาะสิงซากสมุทรแล้วกระตุ้นมันระหว่างเป็นตาย หากเจ้าจุดไฟชีวิตได้ห้าดวง ก่อวังสวรรค์ขึ้นได้ เช่นนั้นก็ไปที่กรมราชทัณฑ์ ไปเป็นพลทหาร”
เจ้าใบ้น้อยร่างสะท้านเฮือก รับหยกประดับไว้ กำไว้เต็มแรง เงยหน้ามองไปที่ไกล ในสายตายิ่งแสดงความมุ่งมั่น
เขาเลื่อมใสสวี่ชิง หลายปีมานี้ล้วนเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ดังนั้นเขาอยากเดินเส้นทางของสวี่ชิง อยากได้รับการยอมรับจากสวี่ชิง อยากติดตามข้างกายสวี่ชิง
โดยเฉพาะเขาสัมผัสได้ว่าตัวตนน่ากลัวที่อยู่ในเงาสวี่ชิงที่ตนได้เห็นในตอนนั้น มันในตอนนี้น่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว
เพราะสายตาของมันมองสวี่ชิงอยู่ตลอดเวลา ยำเกรงและอ้อนวอน เป็นอารมณ์ทุกอย่างที่แฝงอยู่ในสายตา
สวี่ชิงกลับมายังจวนเขตปกครอง นั่งอยู่ในหอ มองไปยังท้องฟ้ายามราตรี รอบๆ เงียบสงบนัก ลมพัดปลายผมหางม้าของเขาสะบัดเบาๆ เหมือนกับใจของเขาในตอนนี้
‘คนคุ้นเคยเก่าแก่ เหมือนว่าจะไม่เหลือมากมายเท่าใดแล้ว…
‘คนพวกนี้เดินๆ ไปก็หายไปไม่เห็นกันแล้ว’
สวี่ชิงหลับตา
วันนี้ นอกจากจางซานและเจ้าใบ้แล้ว เขายังเห็นเหยียนเหยียน
เหยียนเหยียนเป็นผู้ครองกระบี่แล้ว
สวี่ชิงไม่ได้พบหน้ากับนาง แต่ในที่สุดเขาก็มองเห็นต้นตอของอาการป่วยของนางแล้ว ในความทรงจำของเขา นิสัยของเหยียนเหยียนฉายความโหดเหี้ยมทารุณ ทำกับตัวเองแบบนี้ ทำกับศัตรูยิ่งเป็นเช่นนี้
ทารุณสังหารอยู่ตลอด ทำร้ายตัวเองเหมือนว่าจะทำให้นางมีความสุข
ท่านย่าของเหยียนเหยียนเคยบอกสวี่ชิงว่าเหยียนเหยียนป่วย
ตอนนั้นสวี่ชิงมองไม่เห็นคำตอบ มาวันนี้เขารู้แล้ว
เหยียนเหยียนเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาผู้คนที่เขาเคยเจอในหลายปีมานี้เท่านั้นที่ในกายไม่มีไอพลังประหลาดแม้แต่น้อย
นอกจากเหยียนเหยียนแล้ว แม้คนอื่นจะดูเหมือนไม่มีแต่ความจริงแล้วคือถูกชำระล้างออกไป เวลานานไปก็จะปรากฏขึ้นอีก ไม่เหมือนกับเหยียนเหยียน
ร่างของนางคล้ายว่าไม่เคยมีไอพลังประหลาดเลย
เพราะไอพลังประหลาดของนางผสานไปในวิญญาณ วิญญาณของนางแปดเปื้อนอย่างสาหัส ทำให้นางคลุ้มคลั่ง โรคจิต ทำร้ายตัวเอง อีกทั้งยังจินตนาการได้ว่า จากการหมุนผ่านไปของเวลา จากการเติบโตขึ้น ก็จะยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นเหตุผลที่ย่าของนางรักและตามใจนาง เพราะรู้ว่าหลานสาวคนนี้ของตัวเองมีชีวิตได้ไม่นาน
แต่หลังจากผ่านเรื่องราวที่แดนใหญ่เซ่นจันทรา ในสายตาของสวี่ชิง วิญญาณที่แปดเปื้อนอย่างสาหัสของเหยียนเหยียนเดิมก็มีลักษณะพิเศษของความเป็นเทพอยู่รางๆ
ดังนั้นสวี่ชิงแม้จะไม่ได้พบเหยียนเหยียน แต่กลับผสานขนนกชื่อหมู่ไปในวิญญาณของเหยียนเหยียน ทิ้งคำพูดไว้ให้นางประโยคหนึ่ง ให้นางลองใช้พลังขนนกฝึกฝน
‘นางเหมาะที่จะบำเพ็ญเทพ’
สวี่ชิงลืมตา มองไปทางมณฑลรับเสด็จราชัน ตรงนั้นมีภูเขาจักรพรรดิภูตลูกหนึ่ง
เมื่อสามวันก่อนนายท่านเจ็ดก็เดินทางไปยังเขาจักรพรรดิภูต เพราะพี่สามฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นั่น คนที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นั่นกับเขา ยังมีเด็กชายตัวน้อยคนนั้นในตอนนั้นด้วย
ความคิด จากสายลมที่พัดมาแผ่ลามไปไม่หยุด สวี่ชิงคิดถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย คนคุ้นเคยเก่าแก่หลายๆ คน อย่างชิงชิว นางก็อยู่ที่มณฑลรับเสด็จราชันเช่นกัน
สุดท้าย สวี่ชิงทอดสายตามองไปยังทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ลมหยุดลงในเสี้ยวขณะนี้ ความคิดและสายตาของสวี่ชิงดึงกลับมาพร้อมกัน เอ่ยราบเรียบ
“นับจากที่ได้เลือดเนื้อของชื่อหมู่มา เจ้าก็มองข้าอย่างอ้อนวอนแบบนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะตอนโหยวหลิงจื่อถูกอาจารย์ข้าเอาไป สายตาเจ้าก็ยิ่งรุนแรง ดังนั้น…เจ้าอยากกินหรือ”
คำพูดสวี่ชิงเพียงดังขึ้น ใต้แสงจันทร์เงาของเขาเกิดระลอกคลื่นทันที แผ่ลามไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว โลงสีดำโลงหนึ่งลอยขึ้นมาจากในนั้นอย่างรวดเร็ว บนนั้นมีดวงตาเต็มไปหมด
ดวงตาทุกดวงฉายความยำเกรงและอ้อนวอน ยิ่งมีระลอกคลื่นอารมณ์ขาดๆ หายๆ ดังก้องมาในใจสวี่ชิง
“นาย…เชื่อฟัง…ข้า”
“กินๆ…แข็งแกร่ง…ข้า…สังเวย…”
“เพลิงเทวะ…”