ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 727 ผืนนภาอันมืดมิดของข้า
บทที่ 727 ผืนนภาอันมืดมิดของข้า
“เพลิงเทวะหรือ”
สวี่ชิงสายตาจ้องเพ่ง มองไปทางเจ้าเงาที่อยู่บนพื้น ในสายตาของเขา เจ้าเงาตัวสั่นเล็กน้อย ส่งระลอกคลื่นอารมณ์อย่างระมัดระวัง
“เพลิง…บึ้มๆๆ…”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาคิดถึงบรรพจารย์สำนักวัชระขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว
เพราะระลอกคคลื่นอารมณ์ของเจ้าเงาทางนี้บางครั้งก็เข้าใจได้ แต่หลายๆ ครั้งก็ยากจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน
และเพลิงเทวะสองคำที่อ่อนไหวเป็นพิเศษคำนี้ จากความเข้าใจที่แดนใหญ่เซ่นจันทราของสวี่ชิง นั่นเป็นเส้นทางที่จะต้องก้าวผ่านในการสำเร็จเทพ มีเพียงจุดเพลิงเทวะได้เท่านั้นถึงจะนับว่าเป็นเทพเจ้า
เหมือนชื่อหมู่ เหมือนบุตรเทวะ ล้วนเดินเส้นทางนี้ทั้งนั้น
แต่ว่า ฝ่ายหน้าสำเร็จ ฝ่ายหลังสุดท้ายจุดได้ไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์ เผาไหม้ตัวเอง
ดังนั้น หลังจากได้ยินคำว่าเพลิงเทวะสองคำนี้จากเจ้าเงาทางนั้น ในใจสวี่ชิงจึงเกิดระลอกคลื่น
“เจ้าก่อเพลิงเทวะได้หรือ”
สวี่ชิงถามขึ้นประโยคหนึ่ง
เจ้าเงาพยักหน้าก่อน แล้วก็ส่ายหน้า สุดท้ายตัวเองร้อนใจแล้ว ก็เลย…
“บึ้มๆๆ……”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว หลังจากนิ่งเงียบไปก็ยกมือวางค่ายกลรอบๆ จากนั้นก็เอาขนนกเลือดเนื้อของชื่อหมู่ออกมาอันหนึ่ง
มองขนนกนี้ เจ้าเงาตื่นเต้นยินดี เดือดพล่านอยู่บนพื้น เหมือนว่าจะเปลี่ยนให้อิฐของหอกลายเป็นบ่อโคลนสีดำ
หลังจากสัมผัสถึงอารมณ์ของเจ้าเงาได้ สวี่ชิงก็สะบัดมือโยนขนนกออกไป ยังไม่ทันจะร่วงลงบนพื้น เจ้าเงาก็พุ่งจากพื้นดินไปอย่างอดรนทนไม่ไหว อ้าปากกว้างกลืนกินขนนกลงไปในพริบตา
ร่างของมันเหมือนถ้ำมืดมิดที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งได้ เพียงพริบตาขนนกก็หายลับไป ส่วนเจ้าเงาในเสี้ยวขณะนี้ก็สั่นสะท้านรุนแรง ขยายไปข้างนอกไม่หยุด
สวี่ชิงสังเกตอยู่ตลอดขั้นตอน จนกระทั่งหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ระลอกคลื่นของเจ้าเงาค่อยๆ ลดลง สุดท้ายก็เสถียร หดมาจากรอบๆ ในตอนที่กลับมาที่ใต้เท้าของสวี่ชิง ในนั้นก็แผ่อารมณ์ปรารถนาอย่างสุดขั้วหัวใจออกมา
“อร่อย…กลืน…อยาก…”
ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด หลังจากสำรวจเลือดเนื้อชื่อหมู่ที่หลงเหลืออยู่ของตัวเอง เขาสะกดกลั้นความปวดใจ ก็เอาเนื้อขนาดเท่ากำปั้นออกมาชิ้นหนึ่ง
ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ทำให้เจ้าเงาตื่นเต้นสุดขีดทันที ก่อเป็นหนามเงาเป็นทางๆ จากบนพื้น ดวงตาทุกดวงที่ขยับขึ้นลงเป็นระลอกไม่หยุดฉายความตื่นเต้นออกมา ยิ่งมีปากขนาดใหญ่อ้ากว้าง ส่งเสียงกลืนน้ำลายดังออกมา
กระทั่งว่าเพื่อกินเนื้อชิ้นนี้ เจ้าเงายังสร้างหางขึ้นมาหางหนึ่ง ทำท่าโบกสะบัดไปมาบนพื้นเหมือนลูกสุนัข
ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นความรู้ที่ได้เห็นจากในความทรงจำของใครในตอนที่ช่วงชิงในอดีต…
ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่
สวี่ชิงกวาดตามองหางเงาที่กระดิกอยู่บนพื้น โยนเลือดเนื้อในมือไปให้เจ้าเงา
เพียงพริบตา หนามเงาทั้งหมดก็พุ่งไปยังเลือดเนื้อ ปกคลุมมันไปในนั้นทันที จากนั้นเสียงกลืนก็ดังก้อง ระลอกคลื่นของเจ้าเงายิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเดือดพล่าน กำลังระเบิดปะทุ
แต่เห็นได้ชัดว่าชิ้นใหญ่ขนาดนี้ สำหรับมันแล้วค่อนข้างยากที่จะทนรับได้ ดังนั้นไม่นานนักร่างของมันก็ไม่เสถียร ส่งเสียงดังบึ้มออกมา ร่างของเจ้าเงาแหลกสลายทันที เหมือนแท่นฝนหมึกร่วงลงบนพื้น แตกเป็นชิ้นๆ แหลกเป็นเสี่ยงๆ
เลือดเนื้อของชื่อหมู่ที่กลืนลงไปก็ร่วงลงมาจากในนั้น
แต่เพียงพริบตา เจ้าเงาที่แหลกเป็นเสี่ยงๆ ก็เหมือนสุนัขจรจัดหิวโหยมากมาย จากทั่วทุกทิศหลอมรวมไปยังเลือดเนื้ออย่างรวดเร็ว เข้าปกคลุมอีกครั้ง กลืนกินต่อไป แล้วก็ระเบิดต่อ
เป็นอย่างนี้อยู่ซ้ำๆ ความดื้อดึงของเจ้าเงาแสดงออกมาอย่างเต็มที่ในเสี้ยวขณะนี้
จวบจนปลายขอบฟ้าไกลสว่างเล็กน้อย หลังจากผ่านมาทั้งคืนแล้ว เจ้าเงาแหลกสลายไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ในที่สุดก็กลืนกินเลือดเนื้อชิ้นนั้นได้ทีละนิดๆ ร่างพอฝืนยืนหยัดไว้ได้ ไม่แหลกสลายอีก
ทว่ามันยังไม่พอใจ ตอนนี้รักษาร่างไม่ให้แหลกสลาย พลางพยายามส่งระลอกคลื่นอารมณ์ประจบประแจงไปหาสวี่ชิง
“นาย…เชื่อฟัง…ข้า…อยาก”
เขารู้สึกว่าเจ้าเงามีความเป็นไปได้ในระดับหนึ่งว่ามันเปลี่ยนแปลงได้แต่กลับจงใจสะกดเอาไว้ การคาดเดานี้ทำให้สวี่ชิงในใจไม่พอใจ
จึงจะกระตุ้นผลึกวารีสีม่วง ดูว่าจะเค้นของที่เจ้าเงากลืนลงไปออกมาได้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ข่มขู่กำราบสักหน่อย
สัมผัสได้ถึงแสงสีม่วงปรากฏบนร่างสวี่ชิง เจ้าเงาตัวสั่นงันงกทันที แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์อ้อนวอนออกมาอย่างรวดเร็ว
“อย่า…ไม่กิน…พื้นที่ต้องห้าม…ได้”
สวี่ชิงไม่สนใจ สยบทันที แสงสีม่วงแผ่ออกมาจากร่างสวี่ชิงทันที ซัดมาที่เจ้าเงา เสียงกรีดร้องดังออกมา เงาแหลกสลาย เลือดเนื้อที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งร่วงลงมา
สวี่ชิงยกมือคว้ามากลางอากาศ
เจ้าเงาสั่นสะท้าน มองสวี่ชิงเอาอาหารของตัวเองไปตาละห้อย เห็นได้ชัดว่ามันร้อนรนแล้ว วนรอบสวี่ชิงหมุนอย่างรวดเร็ว ก่อเป็นคลื่นวนสีดำลูกหนึ่ง
“กลืน…กลืน…
“บึ้มๆๆ
“ข้า…แข็งแกร่ง…มีประโยชน์!”
เจ้าเงารีบสื่อสาร สวี่ชิงมองไปอย่างเย็นชา
“ไม่ต้องการเลือดเนื้อเพิ่มแล้วหรือ”
“ไม่…พื้นที่ต้องห้าม…ได้”
เจ้าเงาส่งคลื่นอารมณ์มาอย่างระมัดระวัง
สวี่ชิงไม่ได้พูดต่อ เขานึกย้อนถึงการยกระดับหลายครั้งก่อนหน้านี้ของเจ้าเงาล้วนเกี่ยวกับไอพลังประหลาดทั้งสิ้น
และไอพลังประหลาดนอกจากอยู่ในเลือดเนื้อแล้ว พื้นที่ต้องห้ามไม่ว่าที่ใดก็มีไม่น้อยทั้งนั้น
ดังนั้นสำหรับความต้องการในการยกระดับของเจ้าเงา และการคาดเดาของคำว่าเพลิงเทวะสองคำนั้นที่มันพูดออกมา สวี่ชิงร่างหายไปจากในหอทันที ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่นอกเมืองหลวงเขตปกครองแล้ว
เงาร่างของเขาไม่ได้หยุด หลังจากปรากฏขึ้นก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง พื้นดินอยู่ใต้เท้าเขาเหมือนหดเล็กลง ทุกก้าวที่เหยียบย่างลงมาล้วนเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
ระเบียบและกฎเกณฑ์ บนร่างของผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณปรากฏขั้นตอนออกมาให้เห็นแล้ว
เช่นนี้เอง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม สวี่ชิงก็ไปจากพื้นที่เมืองหลวงเขตปกครอง มาปรากฏที่มณฑลที่อยู่ข้างเคียง
ชื่อของมณฑลนี้ชื่อว่าถิ่นวิญญาณ เป็นมณฑลที่เล็กที่สุดในเขตปกครองผนึกสมุทร เนื่องจากในนั้นมีพื้นที่ต้องห้ามมีวิญญาณมากมาย จึงได้ชื่อนี้
วิญญาณคำนี้ไม่ได้มีความหมายจากคำว่าพลังวิญญาณ แต่เป็นวิญญาณคนตาย
พื้นที่ต้องห้ามผืนนั้นเป็นสวนสนุกของวิญญาณคนตายและไอพลังประหลาด ผู้บำเพ็ญทั่วไปเข้าไปในบริเวณชายขอบยังพอได้ แต่หากเดินเข้าในในส่วนลึกยากจะรอดกลับมา มีเพียงพลังบำเพ็ญถึงระดับปราณก่อกำเนิด พร้อมทั้งมีวาสนาในระดับหนึ่ง ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะรอดกลับมา
ยิ่งเป็นเส้นทางผ่านของเรือย่านการค้าเมืองผี
ในตอนที่สวี่ชิงมาถึงที่นี่ก็เห็นเรือของย่านการค้าเมืองผี
แม้ตอนนี้ฟ้าจะยังสว่าง แต่ที่ไกลๆ เมฆดำแผ่ครึ้ม ฟ้าค่อยๆ มืดมิด หมอกกลุ่มหนึ่งเดือดพล่านปกคลุมม่านฟ้าทำให้คลุมแสงค่อยๆ น้อยลง ความหนาวเหน็บแผ่ไปทั่วทิศ
เรือผีลำมหึมาผุพังลำหนึ่ง ปรากฏวับแวมในหมอก กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าบนท้องฟ้า
จ้องมองเรือย่านการค้าเมืองผีลำนี้ สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ
เขาไม่ได้มีพลังบำเพ็ญแบบในตอนนั้นอีกแล้ว ยิ่งไม่ได้มีฐานะแบบในตอนนั้น ในฐานะที่เป็นเจ้าเขตปกครอง ในเขตปกครองผนึกสมุทรเขาดึงพลังดวงชะตามาใช้ได้ สำหรับเรือผีที่เคยโดยสารลำนี้ก็ไม่ได้มีความสงสัยใคร่รู้อยากสำรวจมากเท่าใดนัก
และเรือผีลำนั้นก็แผ่ส่งความเคารพออกมาให้สวี่ชิง หลังจากสังเกตเห็นเงาร่างของสวี่ชิง หมอกของเรือผีก็แข็งค้าง บนเรือลำนี้มีเงาผีมากมายพุ่งขึ้นไป ลอยอยู่ข้างนอก โค้งคารวะมาทางสวี่ชิงทางนี้
สวี่ชิงพยักหน้า หลังจากที่ผ่านมันไป ก็มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามถิ่นวิญญาณ
หลังจากที่เงาร่างเขาจากไปไกล หมอกบนฟ้าก็เดือดพล่านอีกครั้ง เรือผีเคลื่อนหน้าต่อไป ไม่นานนักก็หายลาลับ ส่วนท้องฟ้าก็กลับมาสว่างอีกครั้ง
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป จากการเคลื่อนหน้าไปของสวี่ชิง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ต้องห้ามถิ่นวิญญาณก็ปรากฏอยู่ลิบๆ ในสายตา
มณฑลถิ่นวิญญาณทั้งมณฑลมีพื้นที่ต้องห้ามถิ่นวิญญาณทั้งหมดสิบสามแห่ง
ทุกแห่งล้วนเก่าแก่โบราณ ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน จากบันทึกในตำรา มันเกิดขึ้นมาในยุคจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่ง
แต่เดิมเป็นแดนต้องห้ามถิ่นวิญญาณ แต่ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลง เวลาเพียงชั่วข้ามคืน พื้นที่ต้องห้ามพังทลายกลายเป็นสิบสามส่วน กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม
ส่วนสาเหตุไม่มีบันทึกไว้ในตำราเล่มใดทั้งสิ้น แต่ว่าจากร่องรอยแล้ว มีคนวิเคราะห์ว่าที่นี่บางทีอาจจะเคยเกิดศึกเทพเจ้าขึ้น
แต่ความจริงเป็นเช่นไร ก็ถูกฝังกลบไปในประวัติศาสตร์แล้ว
ตอนนี้พื้นที่แห่งนี้ที่ปรากฏข้างหน้าสวี่ชิง มีขนาดพื้นที่พอๆ กับพื้นที่ต้องห้ามฐานที่มั่นคนเก็บกวาดทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ มองไกลๆ นี่เป็นป่าดำมืดผืนหนึ่ง
ต้นไม้ใบหญ้าในนั้นล้วนเป็นสีดำ แผ่ความแห้งเหี่ยวออกมา ยิ่งมีไอพลังประหลาดหนาแน่นแผ่ลามอยู่ในนั้น ก่อเป็นหมอกดำปกคลุมไปบนพื้นที่ต้องห้าม ขณะเดียวกันก็เสียงคำรามที่จิตวิญญาณสัมผัสได้ประเดี๋ยวๆ ก็ดังก้องมาจากในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม
กระทั่งว่าเมื่อเข้าใกล้ ตาเนื้อก็จะเห็นเงาร่างโครงกระดูกจำนวนหนึ่ง เดินเพ่นพ่านไปในป่า และมีสิ่งประหลาดต่างๆ นานาปรากฏในนั้น
อย่างเช่นตอนนี้ สวี่ชิงยืนอยู่นอกพื้นที่ต้องห้าม เขามองเห็นหญิงชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามได้อย่างชัดเจน
หญิงชราคนนี้สวมเสื้อสำหรับคนตาย ใบหน้าขาวซีด กำลังยิ้มมาให้สวี่ชิง
รอยยิ้มกว้างมาก เผยให้เห็นฟันสีดำ ยิ่งมีกลิ่นศพคละคลุ้งมาจากร่างของนาง ตลบอวลไปทั่ว
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ สำหรับสิ่งประหลาด เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้ก็เคยเจอมามากมายก่ายกองนัก ไม่มีอะไรน่าประหลาด ล้วนแต่เป็นอาหารของเจ้าเงาก็เท่านั้น
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าแค่ครั้งเดียว หากไม่สามารถยกระดับได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องการเจ้าแล้ว”
สวี่ชิงเอ่ยสงบนิ่ง เจ้าเงาที่อยู่ใต้เท้าสั่นงันงก หลังจากส่งคลื่นอารมณ์มุ่งมั่นออกมา ก็แผ่ลามออกไปจากใต้เท้าของสวี่ชิงไปยังพื้นที่ต้องห้ามทันที
และทันทีที่เจ้าเงาปรากฏตัวขึ้น หญิงชราที่ก่อนหน้านี้จ้องสวี่ชิงยิ้มอยู่ตลอดคนนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เหมือนเห็นศัตรูตัวฉกาจ หันหลังอย่างรวดเร็ว คิดจะหนี
แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี ความเร็วในการแผ่ลามของเจ้าเงาเร็วยิ่งขึ้น เพียงพริบตาก็พุ่งไปในพื้นที่ต้องห้าม ไล่ตามไปทัน หลังจากที่ปกคลุมเงาร่างของนางได้ หญิงชราก็ละลายอย่างรวดเร็ว หายไปในเงา
ส่วนเจ้าเงาก็ไม่ได้หยุด ส่งเสียงเคี้ยวออกมาพลางทุ่มสุดกำลังแผ่ลามไปทั่วทุกสารทิศ
สวี่ชิงไม่ได้ตามไป เขายืนอยู่นอกพื้นที่ต้องห้าม อาศัยความเชื่อมโยงรางๆ ระหว่างเจ้าเงา สัมผัสทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าเงา สีหน้าของเขาค่อยๆ ฉายความประหลาดใจ แล้วค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นตกใจ สุดท้ายจิตใจก็สั่นสะท้าน
‘มันกำลังทำอะไร’
ในสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง พื้นที่ที่แผ่ลามของเจ้าเงาครั้งนี้เหนือกว่าอดีตโดยสิ้นเชิง มาถึงในขั้นเหลือเชื่อ
มันแผ่ลามไปทั่วทั้งพื้นที่ต้องห้าม!
และทันทีที่มันปกคคลุมพื้นที่ต้องห้าม พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ก็ค่อยๆ รางเลือนไปต่อหน้าสวี่ชิง คล้ายว่ากำลังถูกกลืนกิน!
สวี่ชิงมั่นใจได้ทันที พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ไม่ได้เหมือนถูกกลืนกิน แต่เป็น…กำลังถูกกลืนกินอยู่จริงๆ
มันจางลงไปเรื่อยๆ รางเลือนไปเรื่อยๆ บริเวณชายขอบหายไปแล้วโดยสมบูรณ์ จนกระทั่งหนึ่งวันหลังจากนั้น สวี่ชิงก็มองไปข้างหน้าอย่างตื่นตะลึง
ที่นั่น…ว่างเปล่า
พื้นที่ต้องห้ามหายไปแล้ว!
นับจากนี้ มณฑลถิ่นวิญญาณไม่ได้มีพื้นที่ต้องห้ามสิบสามแห่งอีกต่อไป หายไปหนึ่งแห่งชั่วกาล!
มันถูกเจ้าเงากลืนกินไปแล้ว!
และบนแผ่นดินว่างโล่ง ดินสีเทาไม่มีพลังชีวิตและไม่มีกลิ่นอายของความตายเช่นกัน สีเทาตรงแถบนั้นเป็นเหมือนสีรองพื้นของโลก
บนสีรองพื้นนี้เป็นเงาดำที่ขยุกขยิกไม่หยุดกลุ่มหนึ่ง
เสียงพึมพำเป็นระลอกๆ ราวเสียงพึมพำของเทพเจ้าดังออกมาจากในเงาดำ ดังก้องไปในฟ้าดิน
“สามพลังต้นกำเนิดก่อเก้าปราณ แบ่งแยกแปรผันเป็นธุลีทั้งห้าก่อเป็นอวัยวะ ดาวทั้งเจ็ดเป็นจุดชีพจร พลังรากฐานวิญญาณของสรรพสิ่งทั้งหลายค้ำยัน แสงดาวสามฉื่อสาดแสงพร่างพรายผืนนภาอันมืดมิดของข้า”