ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 73 องค์หญิงสองจอมอหังการ
บทที่ 73 องค์หญิงสองจอมอหังการ
ในหมู่ศิษย์สืบทอดเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดทั้งสามคน ถ้าว่ากันเรื่องนิสัยใจคอกล้าได้กล้าเสีย ทำตัวปลิ้นปล้อน คบเพื่อนกว้างขวาง จะเป็นตัวของน้องสาม
แต่ถ้าว่ากันเรื่องนิสัยมุทะลุ เป็นที่กริ่งเกรงของเพื่อนร่วมสำนัก ศิษย์พี่หญิงรองคือผู้ขึ้นนำ ไร้เทียมทาน ไม่เพียงแต่ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ ยอดเขาอื่นเองก็เช่นเดียวกัน
พวกเขาส่วนใหญ่รู้ดีว่าองค์หญิงสองยอดเขาลำดับเจ็ดเป็นคนที่อารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด พละกำลังแสนประหลาดทั้งร่างก็เกินจริง แค่อะไรไม่เข้าหูนิดเดียวก็ลงไม้ลงมือ ยิ่งไปกว่านั้น…หลายปีมานี้ ผู้บำเพ็ญสร้างฐานสูงสุดที่ถูกนางเล่นงานก็มีจำนวนมากมายเหลือเกิน
เดิมทีก็มีกำลังกายที่น่าตกตะลึงอยู่แล้ว นี่ยังมีเบื้องหลังระดับสูงเทียมฟ้าอยู่อีก ดังนั้นอยู่ต่อหน้าองค์หญิงสองคนนี้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องพูดคุยกัน ความอหังการของนางเลื่องลือไปทั้งเจ็ดเนตรโลหิตเช่นเดียวกับชื่อเสียง
ปกติเมื่อผู้อาวุโสบางส่วนพบเข้าก็ยังต้องปวดหัว ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ทั่วไปเลย
โดยเฉพาะบารมีของนาง ไม่เพียงแต่แผ่ไปในสำนักเท่านั้น ในท้องทะเลก็ยังโดดเด่นยิ่งกว่า จำนวนโจรสลัดที่ตายด้วยฝีมือนางมีไม่รู้เท่าไร เผ่าเล็กๆ บางส่วนพอได้ยินชื่อของนางก็ล้วนสั่นกลัวกันหมด
เวลานี้นางยืนอยู่ตรงนั้น สะกดไปทั้งแปดทิศด้วยพลังที่น่าตกตะลึง ทำให้คนทั้งหมดรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล สวี่ชิงเองก็เช่นกัน ในใจเกิดวิกฤตขึ้นรุนแรงราวกับเผชิญหน้ากับอสูรร้ายกาจในป่าพื้นที่ต้องห้าม
ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ดูแลหลี่ในวันนั้นเสียอีก
บรรพชนสำนักวัชระกับอีกฝ่ายก็ยิ่งห่างไกลไปโข
สิ่งนี้ทำให้ความระแวดระวังของสวี่ชิงไปถึงขีดสุด ร่างกายถอยหลังด้วยสัญชาตญาณหลายก้าว ลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย
ปณิธานอันป่าเถื่อนที่มาจากบนตัวของศิษย์พี่หญิงรองเข้มข้นเกินไปจริงๆ น่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด
กระทั่งมองลอดข้างตัวนางไป บนถนนด้านนอกเวลานี้กลับว่างเปล่า…เหมือนกับไม่มีใครยอมปรากฏตัวใกล้ๆ ในเวลานี้เลย
มีเพียง…เจ้าอ้วนน้อยหวงเหยียนเท่านั้น เขาเหมือนไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลยแม้แต่น้อย ราวกับความปลิ้นปล้อนที่ทำชั่วสำเร็จ ความดีใจกับความตื่นเต้นประดับอยู่เต็มใบหน้า
เข้าไปอยู่ข้างกายศิษย์พี่หญิงรองด้วยความเริงร่า เอ่ยขึ้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ศิษย์พี่หญิง~~ เถ้าแก่ร้านนี้กับเจ้าปลาเน่าตัวนั้น บอกว่าของที่ข้าให้ศิษย์พี่หญิงเป็นของโจรที่ลักมาจากสำนักวัชระ ศิษย์พี่หญิง ข้าหวงเหยียนทำตัวสง่าผ่าเผย ซื่อสัตย์จริงใจไร้เล่ห์เหลี่ยม อ่อนโยนเอาอกเอาใจ ทั้งชีวิตนี้จะรักแต่ศิษย์พี่หญิงคนเดียว พวกเขาหยามหมิ่นข้ายังพอว่า ข้ายังทนได้ แต่ห้ามมาหยามหมิ่นของขวัญของศิษย์พี่หญิง!
“หยามหมิ่นของขวัญที่ข้าให้ศิษย์พี่หญิง นี่เป็นการหยามหมิ่นความรู้สึกแปดปีของข้าที่มีต่อศิษย์พี่หญิง!” เจ้าอ้วนน้อยยืนอยู่ข้างๆ ศิษย์พี่หญิงรอง ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากัน ไม่ว่าจะความสูงหรือระดับความหนาบาง เหมือนเด็กน้อยกับผู้ใหญ่ไม่มีผิด
ยังดีที่พุงของเขาใหญ่มาก บางมุมมองก็ใช่ว่าจะไม่คู่ควรกันทั้งหมด
เพียงแต่ว่าการเอื้อนเอ่ยของเขา ทำเอาคนทั้งหมดในร้านล้วนตกตะลึงต่างสูดลมหายใจลึกอึ้งตามกัน สีหน้าแต่ละคนตกตะลึงสั่นสะท้านกันไปหมด
ศิษย์ยอดเขาต่างๆ ที่ดูมหรสพอยู่ก่อนหน้า แต่ละคนเวลานี้ถลึงตาโต เผยความไม่อยากเชื่อออกมา กระทั่งมีบางส่วนคิดสารตะไปแล้ว จางซานที่อยู่ในกลุ่มคนก็เป็นเช่นเดียวกัน
ส่วนเถ้าแก่ร้านก็หน้าเหวอไปแล้ว งึมงำขึ้นว่า
“องค์หญิงสอง…เป็นศิษย์พี่หญิงของเจ้าหรือ”
คำพูดตะกุกตะกัก แต่ก็ยังเผยให้เห็นโลกในใจที่มีม้าจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานผ่านไปของเถ้าแก่ได้
ถึงอย่างไรคนทั้งหมดในที่นี้ล้วนรู้ว่าหวงเหยียนก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในยอดเขาลำดับเจ็ด เพียงแต่ว่าชื่อเสียงนี้ส่วนใหญ่มาจาก “ความลุ่มหลงงมงาย” ของเขา
ทุกคนเคยแอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของหวงเหยียนมาบ้างลับๆ รู้ว่าเขาไล่ตามศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งมาแปดปี มอบของขวัญให้จนซื้อร้านได้หลายร้านแล้ว…
พอคุยกันถึงเรื่องนี้ก่อนหน้า ส่วนใหญ่ก็ล้วนคาดเดาว่าหวงเหยียนคนนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นถึงสามารถรักษาความมั่งมีมาได้จนถึงปัจจุบันโดยไม่ตายได้ แต่ในคำพูดส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นการเสียดสีประชดประชัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็เข้าใจว่าเกิดเป็นชายชาตรี ทำไมต้องมาโก้งโค้งเอาอกเอาใจผู้หญิงคนหนึ่งถึงขนาดนี้
ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะจางซานหรือเถ้าแก่ หรือแม้แต่ศิษย์คนอื่นๆ ในสถานที่นี้ สายตาที่มองเจ้าอ้วนน้อยที่ขณะตกตะลึง ก็เริ่มมีความเคารพขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กระทั่งในสายตาบางคนยังเผยความอิจฉาออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ชัดเจนว่า…ถ้าหากมีศิษย์พี่หญิงอย่างนี้ พวกเขาเองก็อยากมีบ้าง
อย่าว่าแต่แปดปีเลย จะสิบแปดปี ยี่สิบแปดปีก็ยังไหว
ในใจสวี่ชิงก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งขึ้นเช่นกัน เขามองเจ้าอ้วนน้อยหวงเหยียน และหันไปมององค์หญิงสอง สายตามีความไม่แน่ใจ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่เจ้าอ้วนน้อยไล่จีบถึงแปดปี จะเป็นองค์หญิงสองแห่งยอดเขาลำดับเจ็ด
และสาเหตุที่วันนี้เจ้าอ้วนน้อยคิดจะดึงเรื่องนี้ไป สวี่ชิงเองก็เข้าใจคำตอบแล้ว นี่เป็นเรื่องที่อีกฝ่ายจงใจทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วดึงเอาศิษย์พี่หญิงเข้ามาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากความคิดถึง
สวี่ชิงมองไปทางเจ้าอ้วนน้อยที่ภาคภูมิใจเหลือประมาณ จากนั้นก็มองไปยังองค์หญิงสองที่อหังการจนน่าตกตะลึง ก็เงียบไป
เมื่อเจอกับความน้อยเนื้อต่ำใจของหวงเหยียนตอนนี้ คิ้วขององค์หญิงสองก็เลิกขึ้นเล็กน้อย เดินตรงไปด้านหน้า ตอนเดินผ่านเด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่ก้มหน้าอยู่ข้างๆ นางไม่พูดอะไร เพียงแต่ในสายตาเผยกลับความเหยียดหยามออกมา
หวงเหยียนที่อยู่อีกด้าน ก็ส่งความหยามหมิ่นตามมาด้วยเช่นกัน เชิดคางขึ้นร้องเชอะ
สายตาขององค์หญิงสองกระตุ้นเด็กหนุ่มเผ่าเงือกเป็นอย่างมาก ร่างกายเขาสั่นเครือ กระทั่งกำลังข่มมันอย่างสุดกำลัง แต่ความขาวซีดบนใบหน้าก็ยังเผยความหวาดกลัวในใจเขาออกมา
ในหัวของเขาปรากฏภาพการสังหารเมื่อสามสิบปีก่อนบนเกาะเงือกตามสัญชาตญาณ เงาของอีกฝ่าย เต็มไปด้วยความกระหายเลือดในลานสังหารนั้น
นั่นเป็นการแข่งขันครั้งหนึ่งของยอดเขาลำดับเจ็ด เพราะความชั่วร้ายเหลือคณาของเผ่ามนุษย์ รวมไปถึงการไม่ยอมศิโรราบของเผ่าเงือกที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นการแข่งขันของยอดเขาลำดับเจ็ดจึงจัดขึ้นที่อาณาเขตของเผ่าเงือก
ขณะเดียวกันก็เป็นฉากบดขยี้ฉากหนึ่ง และหลังจากศึกนั้น ทั้งสองฝ่ายก็กลายเป็น ‘พันธมิตร’ กันอีกครั้ง
ถึงแม้ต่อมาเผ่าเงือกจะเจอกลับวิกฤติล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้ง แต่ก็ล้วนเป็นเจ็ดเนตรโลหิตที่เข้ามาแก้ไขและมอบทรัพยากรให้มากมาย แต่ในสายตาของเผ่าเงือกทั้งหมด นี่เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายสมควรทำ พวกเขาคิดว่าการกลายมาเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์ เดิมทีก็เป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง
แม้ความรู้สึกในใจจะขัดแย้งกัน แต่เขายังคงก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ทำได้เพียงคำรามต่ำอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าสักวันหนึ่งเผ่าเงือกของพวกเขาจะทำให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตต้องชดใช้เสียบ้าง
พอเห็นว่าอีกฝ่ายก้มหน้าต่ำ ความหยามหมิ่นในดวงตาองค์หญิงสองก็มากขึ้น เดินมาอยู่เบื้องหน้าสวี่ชิง มองไปอย่างเย็นชา
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สีหน้าเคร่งขรึม ประสานมือคารวะ
“คารวะองค์หญิงสอง”
“ศิษย์พี่หญิง คนผู้นี้คือสวี่ชิง สหายของข้า ครั้งนี้ก็ถูกข้าลากเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย” หวงเหยียนเก็บของที่เมื่อครู่ล้วงออกมาเก็บลงไป ตอนแนะนำสีหน้าก็มีความภาคภูมิใจอยู่
องค์หญิงสองพยักหน้า เดินตรงไปยังโต๊ะจ่ายเงิน ไม่สนใจสวี่ชิง หลังจากไปถึง นางก็ยกกระบี่ใหญ่ในมือนางขึ้น กระแทกลงบนโต๊ะจ่ายเงินเสียงดังปังขณะที่เถ้าแก่กำลังตัวสั่นงันงก
กระบี่ใหญ่สีดำเล่มนี้หนักมาก ต่อให้โต๊ะที่ทำจากไม้จะแข็งแกร่งทนทานเพียงใด แต่ตอนที่กระบี่ใหญ่กระแทกลงมา ก็ยังมีเสียงลั่นเปรี๊ยะดังขึ้นจนทำให้ปลายกระบี่ชี้ไปตรงหน้าท้องของเถ้าแก่พอดี ประกายคมเย็นเยียบที่แผ่ออกมาทำให้หน้าผากเถ้าแก่เหงื่อผุดไม่หยุด หน้าซีดเป็นไก่ต้ม สั่นระริกเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“องค์หญิงสอง ข้า…”
“เจ้าบอกว่าของของข้า เป็นของโจรหรือ” องค์หญิงสองเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
เหงื่อบนตัวเถ้าแก่เพิ่มมากขึ้น แผ่นหลังเปียกชุ่มไปหมด หน้าตาเหยเก ในใจกรีดร้อง เดิมทีเขาคิดแค่จะหากำไรจากเรื่องวันนี้เสียหน่อย แต่ดันมีเจ้าอ้วนนี่เข้ามาแทรก หนำซ้ำเขายังคิดไม่ถึงอีกด้วยว่าเจ้าอ้วนน้อยจะมีมหาเทพอยู่เบื้องหลัง
เขาไปยั่วโมโหคนตรงหน้านี้ไม่ได้ กระทั่งเขายังคิดว่าไม่ต้องพูดถึงตนเองเลย ต่อให้เป็นผู้ดูแลที่ส่งเรื่องนี้มาให้เขาทำ คงไม่ยอมยั่วโมโหองค์หญิงสองที่เป็นเหมือนมังกรคลั่งคนนี้ง่ายๆ แน่
ถึงอย่างไร คนผู้นี้ก็ได้รับความเอ็นดูอย่างมากจากนายท่านเจ็ด เป็นองค์หญิงคนโตที่เสมือนเป็นไข่มุกบนฝ่ามือของยอดเขาลำดับเจ็ด
จึงรีบร้อนตอบกลับตะกุกตะกัก
“เข้า…เข้าใจผิด นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้ามองพลาดไปแล้ว จะกลายเป็นของโจรไปได้อย่างไรกัน…”
สวี่ชิงมองฉากนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายลึกล้ำออกมา กระจ่างแจ้งในใจว่าความแข็งแกร่งคือเหตุผลเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะคำพูดต่อมาขององค์หญิงสอง ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจว่าอะไรคือความอหังการ
“เจ้าไม่ได้มองผิดหรอก ของเหล่านี้เป็นของโจรจริงๆ ข้านี่ล่ะที่ไปจัดการย้ายมาจากสำนักวัชระ เจ้ามีความเห็นอะไรหรือ” องค์หญิงสองพูดออกมาเสียงเย็น กระบี่ในมือที่จิ้มไปด้านหน้าตอนนี้แทงทะลุเสื้อผ้าเถ้าแก่เข้าไปถึงหนังท้องเขาแล้ว
ร่างเถ้าแก่สั่นเทา เหงื่อบนหน้าผากไหลมากขึ้นกว่าเดิม ท่าทีเออออห่อหมก ไม่รู้ควรจะตอบกลับอย่างไร
“ไปบอกคนเบื้องหลังของเจ้าว่า เรื่องสำนักวัชระข้าเป็นคนทำเอง แล้วก็ไปบอกสำนักวัชระด้วย ภายในสามวัน นำของชดเชยมาให้ข้าเสีย ของขวัญที่นำมาต้องทำให้ข้าพอใจด้วย”
คำพูดขององค์หญิงสองไม่ใช่ประโยคที่คุกคามเลย แต่หลังจากที่ทุกคนได้ยินก็ล้วนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าถ้าหากสำนักวัชระไม่ยอมชดเชยให้ หรือมูลค่าของขวัญไม่เพียงพอ เช่นนั้น…โลกใบนี้ก็จะไม่มีสำนักวัชระอยู่อีกต่อไป
ประโยคนี้ แสดงความอหังการขององค์หญิงสองออกมาอย่างหมดจดไร้ข้อกังขา นางกวาดตามองสิ่งของที่สาดกระจายอยู่บนพื้น
“แล้วของพวกนี้ เจ้าจะรับไว้หรือไม่”
“รับ…ข้ารับ…” เจ้าของร้านรีบร้อนเอ่ยตอบ รีบหยิบหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนออกมา ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง จากนั้นพอมองเห็นคิ้วของศิษย์พี่หญิงรองเลิกขึ้น เขาก็กัดฟันตัวสั่น ล้วงออกมาอีกหนึ่งร้อย
หินวิญญาณทั้งหมดสองร้อยก้อนวางอยู่ด้านหน้า ฉีกยิ้มให้กับหวงเหยียนกับสวี่ชิง สายตามีประกายอ้อนวอน
และศิษย์พี่หญิงรองไม่สนใจอะไรอีก หยิบกระบี่ใหญ่ที่พาดอยู่บนโต๊ะ หมุนตัวเดินออกมา ตอนเดินผ่านเด็กหนุ่มเผ่าเงือก นางก็เอ่ยขึ้นอย่างรังเกียจ
“ไสหัวไป ขวางทางข้า ทั้งตัวมีแต่กลิ่นคาว”
เด็กหนุ่มเผ่าเงือกตัวสั่นยิ่งขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายก็ยังยอมถอยหลังออกไปอย่างเงียบงัน
“น้อมส่งองค์หญิงสอง!”
เมื่อองค์หญิงสองเดินถึงประตู คนในร้านก็ประสานหมัดขึ้นทั้งหมด เอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
สวี่ชิงเงยหน้า มองแผ่นหลังของศิษย์พี่หญิงรองอย่างลึกซึ้ง ประสานหมัดขึ้นเช่นเดียวกัน
หวงเหยียนเวลานี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ กวาดตามองทุกคน ตบลงบนบ่าของสวี่ชิง
“เห็นหรือยัง นี่คือศิษย์พี่หญิงของข้า เทพธิดาของข้า ข้าว่าหลังจากนี้คงไม่มีใครกล้าหยามหมิ่นพวกเราแล้วล่ะ
“แต่ว่าเจ้าเองก็น่าสนใจเหลือเกิน ลงมืออย่างไม่เสียดายเพื่อเรื่องของข้า แล้วยังจะรับหน้าแทนข้าอีก เรื่องนี้ข้าจดจำไว้แล้ว ข้าบอกกับเจ้าไว้เลย ข้าเป็นคนที่มีหนี้บุญคุณย่อมต้องทดแทน แต่ตอนนี้บนตัวไม่ติดอะไรมา รอกลับไปเจอของดีๆ ก่อนแล้วจะส่งมาให้เป็นของขวัญ”
หวงเหยียนสีหน้าภูมิอกภูมิใจถึงขีดสุด พูดจบอย่างดีอกดีใจ โบกไม้โบกมือให้สวี่ชิง และไม่รอให้เขาตอบกลับ ก็รีบร้อนวิ่งตามองค์หญิงสองออกไป
“ศิษย์พี่หญิง รอข้าด้วย…”
สวี่ชิงสีหน้ายังคงไม่แน่ใจ ครู่หนึ่งจึงดึงสายตาที่มองไปยังประตูกลับมา ดวงตาเองก็เหมือนมองไปยังชายเสื้อของตนเองอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นก็มองไปทางเด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่สีหน้าเคร่งขรึมเวลานี้ ในดวงตามีประกายทึบทึมแล่นผ่าน แต่ก็กลับสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
เขาหยิบสองร้อยหินวิญญาณที่เถ้าแก่มอบให้ เดินออกจากร้านไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเด็กหนุ่มเผ่าเงือกท่ามกลางสายตาขมขื่นและความขลาดเขลาไม่กล้าแตะต้องของอีกฝ่าย
จนเดินออกมานอกร้าน สวี่ชิงจัดการกับชุดคลุมเล็กน้อย มองไปยังชายเสื้อ สายตาหม่นลง
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มเผ่าเงือกในร้านเวลานี้ก็มองไปทางแผ่นหลังของสวี่ชิงที่จากไป สีหน้าดูไม่ได้ วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ในดวงตามีแต่ความรังเกียจ
“คนที่เคยลงมือกับข้า ต่อให้หนีไปได้ก็น้อยนักที่จะรอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ข้าไม่เห็นภาพตอนพวกเขาตาย”
ร้องเชอะเย็นชาขึ้นในใจ ชายหนุ่มถอนสายตากลับ สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากร้าน
สวี่ชิงสำหรับเขาเป็นแค่มดปลวกตัวหนึ่ง ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่ใช่เพราะหวงเหยียน ตนเองคงเล่นงานอีกฝ่ายจนตายไปแล้วแน่นอน
“คนของเจ็ดเนตรโลหิตมันสมควรตายทั้งหมด เจ้านี่มาแย่งความดีความชอบข้า ก็สมควรตายยิ่งกว่า สักวันมันต้องตาย”