ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 732 สัตว์พาหนะของใครเติบโตขั้นแรกสำเร็จแล้ว
บทที่ 732 สัตว์พาหนะของใครเติบโตขั้นแรกสำเร็จแล้ว
วิกฤตของเขตปกครองผนึกสมุทร จากการที่เฉินหยางจื่อกลายเป็นตะเกียงดวงหนึ่ง จากการหลบซ่อนอำพรางตัวไปขององค์ชายเจ็ดก็คลี่คลายลงไปชั่วคราว
ความวุ่นวายในเขตปกครองผนึกสมุทรก็จบสิ้นอย่างรวดเร็ว
ด้านหนึ่งเป็นการกำราบอย่างรวดเร็วของนายท่านเจ็ด และเหตุผลที่ใหญ่กว่านั้นคือข่าวที่เมืองหลวงรัฐสายลมสวรรค์ถูกดวงตะวันแห่งแสงอรุณทำลายราบเป็นหน้ากลองก็ไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป เล่าลือไปทั่วทั้งแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเร็วที่น่าตื่นตะลึง
ต่อให้เป็นเผ่าต่างๆ ในทะเลต้องห้ามก็ล้วนได้ยินเรื่องนี้ทั้งนั้น แต่ละตนหวาดกลัวสุดขีด เนื้อตัวสั่นเทา ความเคารพยำเกรงต่อเขตปกครองผนึกสมุทรก็ยกระดับขึ้นมาอยู่สูงสุดในเพียงพริบตา
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนความความจริงแล้วล้วนมีความชั่วช้าทั้งนั้น
และดวงตะวันแห่งแสงอรุณก็มีผลต่อความชั่วช้าแบบนี้นัก
พลังสยบของมันสามารถบดขยี้การลอบวางแผนทุกอย่างได้ สามารถสั่นคลอนจิตใจทุกอย่างได้ โดยเฉพาะ…การปลดปล่อยมันทำให้ทุกคนได้เห็นความตาย
ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่า เขตปกครองผนึกสมุทรสร้างดวงตะวันแห่งแสงอรุณขึ้นมาได้อย่างไร ตอนนี้ยังมีอีกกี่ดวง
ไม่มีใครกล้าวางเดิมพัน
เพราะดวงตะวันแห่งแสงอรุณในตอนที่ปรากฏขึ้นตอนนั้น เผ่าแรกที่เดิมพันชื่อว่าฟ้าทมิฬ พวกเขาต้องแบกรับกับความเสียหายมหาศาล แทบจะเป็นจุดจบของเผ่าพันธุ์ บ่งบอกผู้คนในภายหลังทุกคนถึงค่าตอบแทนในการเดิมพัน
เผ่าฟ้าทมิฬยังเป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่อื่นแล้ว
ดังนั้น ต่างเผ่าที่ล้อมสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทำการถอนกำลังทันที อีกทั้งยังใช้ท่าทีที่เคารพนอบน้อมเป็นที่สุด ส่งของกำนัลไถ่โทษมา คิดอยากจะคลี่คลายบุญคุณความแค้น
แต่เรื่องราวจะไปคลี่คลายลงง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร สงครามไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าอยากจะทำก็ทำ อยากจะคลี่คลายก็คลี่คลาย ดังนั้นนายท่านเจ็ดจึงไปต่างเผ่ามากมายหลายแห่ง ทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเป็นชุด
นับจากนี้ตำแหน่งต่างเผ่าพวกนี้เทียบไม่ได้แม้กระทั่งเกาะเงือกในตอนนั้น ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนาภายใต้เขตปกครองผนึกสมุทร
เพียงพริบตา ความน่าเกรงขามของเขตปกครองผนึกสมุทรก็เลื่องลือไปทั่วแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
ชื่อของสวี่ชิงสะพัดไปทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เขตปกครองผนึกสมุทร แต่รวมถึงทะเลต้องห้าม รวมถึงทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ตลอดจนทั่วทั้งแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
นักศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ในเผ่าพันธุ์มากมายล้วนเกิดความรู้สึกเหม่อลอยกับเวลาช่วงนี้ คล้ายว่าในอดีตก็มียุคสมัยเช่นนี้เลาๆ เหมือนกัน บนแผ่นดินผืนนี้เคยเกิดเรื่องคล้ายๆ กัน
ในยุคนั้นเป็นของรัฐม่วงคราม เป็นของรัชทายาทจื่อชิงที่มีชื่อเสียงเคียงคู่มากับจักรพรรดิมนุษย์จิ้งอวิ๋น
ตอนนี้เวลาเนิ่นนานหมุนผ่านไป เขตปกครองผนึกสมุทรผงาดขึ้น สวี่ชิง…ผงาดขึ้น
เนื่องจากในชื่อมีคำว่าชิงเหมือนกัน ดังนั้นเผ่าบางเผ่าคาดเดาว่าบางทีสวี่ชิงอาจจะมีสายเลือดของรัฐม่วงคราม
แต่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ฝั่งโหวเหยาทางนั้นก็ช่วยข่งเสียงหลงที่อยู่ในกลุ่มผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรหมื่นกว่าคนนั่นได้อย่างสำเร็จราบรื่นเป็นอย่างมาก
ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรที่เผชิญกับความตายนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านี้ ทันทีที่กลับมาถึง สวี่ชิงก็นำคนของเขตปกครองผนึกสมุทรมาคอยต้อนรับอยู่นอกเมืองด้วยตัวเอง
ในยามที่ต่างฝ่ายต่างพบหน้ากัน เสียงตื่นเต้นฮึกเหิมจากคนทั้งหลายในกองทัพก็ดังก้องไปทั่วสารทิศ
ในบรรดาพวกเขามีคนจำนวนมากที่คิดว่าความตายเป็นจุดจบเพียงอย่างเดียว คิดว่ากลับมาเขตปกครองผนึกสมุทรอีกครั้งเป็นความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงไปแล้ว
ตอนนี้ เมื่อเห็นเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร ในบรรดาพวกเขามีคนน้ำตาไหลอาบหน้า
สวี่ชิงมองพวกเขา ในใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ คนเหล่านี้ มีหลายคนที่เขาคุ้นหน้า ในนั้นมีสหายร่วมรบของเขา และมีสหายของเขาด้วย
ฝ่ายหลังคือข่งเสียงหลง
ข่งเสียงหลงอาการบาดเจ็บสาหัสไม่เบา หน้าตาของเขาเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย นิสัยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ความพยศดื้อดึงในอดีตหายไป ความเถรตรงและความเข้มงวดกลายเป็นทั้งหมดในสีหน้าของเขา
ส่วนพลังบำเพ็ญของข่งเสียงหลงก็ทะลวงขั้นตั้งนานแล้ว ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทรในอดีต พลังบำเพ็ญของเขามาถึงระดับปราณก่อกำเนิดบริบูรณ์ ครึ่งก้าวสู่หล่อเลี้ยงมรรคาแล้ว
ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเช่นนี้สูสีกับสวี่ชิง เห็นได้ถึงความบากบั่นและความพยายามหลายปีนี้ของเขา อีกทั้งจะต้องมีวาสนาอื่นๆ อย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาอยู่ต่อหน้ากลุ่มคน มองสวี่ชิง ในดวงตาฉายระลอกคลื่นอารมณ์ ก้าวเท้าเดินไปหาสวี่ชิง
สวี่ชิงก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน ภายใต้สายตาของผู้คนทั้งหลาย ท่ามกลางความตื่นเต้นฮึกเหิมและการต้อนรับของเขตปกครองผนึกสมุทร สวี่ชิงและข่งเสียงหลงกอดกันอย่างสุดแรง
จากนั้นข่งเสียงหลงก็ถอยไปสามก้าว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพอย่างผู้ครองกระบี่ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“คารวะเจ้าเขตปกครอง!”
เสียงของเขาดังก้อง กองทัพหมื่นกว่าข้างหลังต่างคุกเข่าคารวะ ส่งเสียงเอ่ยคำเดียวกัน เสียงกึกก้องยิ่งใหญ่
สวี่ชิงสูดลมหายหายใจลึก มองคนเหล่านี้ พยักหน้า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน!”
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องท่วมฟ้า
เสี้ยวขณะนี้ เขตปกครองผนึกสมุทรทั้งระดับบนล่าง ต่างจิตใจเป็นหนึ่ง
และในวันที่เจ็ดที่ข่งเสียงหลงกลับมา สวี่ชิงได้รับข่าวที่จางซานฝากคนส่งมาให้ เรือศึกบรรพกาลของเขาสร้างเสร็จแล้ว
สร้างเรือศึกบรรพกาล ไม่ใช่เรื่องที่จางซานคนเดียวสามารถทำได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาได้เดินจากไป มุ่งหน้าไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ยิ่งนำคนสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไปพักอาศัยบนเกาะเผ่าสิงซากสมุทร
อาศัยของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักเจ็ดเนตร สร้างเรือศึกบรรพกาลให้สวี่ชิงที่นั่น
แม้ระหว่างนั้นเรื่องจากแผนการของผู้นำพันธมิตร เนื่องจากการปรากฏตัวของต่างเผ่าทะเลต้องห้าม จึงมีอุปสรรคบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วการสร้างก็นับว่าราบรื่น
ตอนนี้ในที่สุดก็สร้างสำเร็จ ขาดเพียงสวี่ชิงวางแหล่งกำเนิดพลังลงไปเท่านั้น
หลังจากได้ยินข่าวนี้ ในใจสวี่ชิงก็เกิดความวาดหวังขึ้นมา
สำหรับเรือเวทที่นับจากฝึกบำเพ็ญก็อยู่เคียงข้างเขามาตลอด สวี่ชิงมีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง อย่างไรเสีย เขาในอดีต ทุกวันล้วนพักอาศัยอยู่ในเรือเวท และมันก็ช่วยเขาคลี่คลายวิกฤตอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้นสวี่ชิงไปจากเมืองหลวงเขตปกครองทันที นั่งอยู่บนคอของมหาวิหคชิงฉิน มุ่งหน้าไปยังเผ่าสิงซากสมุทรอย่างรวดเร็ว
สำหรับการได้ออกไปข้างนอกกับสวี่ชิงอีกครั้ง ชิงฉินมีความสุขมาก ร้องแกว๊กๆ ไปตลอดทางไม่หยุด คล้ายว่ากำลังคุยเล่น
สวี่ชิงอารมณ์ดีเช่นกัน ประเดี๋ยวๆ ก็ยิ้มพลางเอ่ย พูดคุยกับมันอย่างสนุกสนาน ชิงฉินบางครั้งยังเปล่งประกายแสงทั่วร่าง ทุกครั้งในเวลานี้ สวี่ชิงก็จะร่วมสาดแสงพรายรุ้งออกมาด้วยเช่นกัน
ชิงฉินยิ่งมีความสุขกว่าเดิม
เวลาหนึ่งวัน พวกเขาก้าวข้ามเขตปกครองผนึกสมุทร ในตอนที่ผ่านภูเขาจักรพรรดิภูต สวี่ชิงทอดสายตามองไปบนท้องฟ้า มองภูเขาลูกใหญ่มหึมา ในใจรู้สึกทอดถอนใจ
เขารู้ว่าศิษย์พี่สามฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ แต่ว่าตอนนี้มองไปง่ายๆ มองไม่เห็น
และเขาในตอนนี้ก็ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ดังนั้น เขาจึงรู้เป็นอย่างดีว่าระดับเตรียมสู่เทวะที่บ่าแบกโลกใบใหญ่สองใบเอาไว้แข็งแกร่งปานใด
รัฐทายาทยังมีแค่โลกใบใหญ่ใบเดียว มีแค่องค์หญิงหมิงเหมยและท่านปู่เก้าเท่านั้นที่มีสองใบ
และทางภูเขาจักรพรรดิภูตทางนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เหมือนกับท่านปู่เก้า
ผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะโลกใบใหญ่สองใบที่เชี่ยวชาญการต่อสู้เช่นนี้ ความแข็งแกร่งของกำลังรบย่อมยิ่งน่าพรั่นพรึง
‘เขาไม่ได้เป็นระดับโลกใบใหญ่สองใบ!’ ในตอนที่สวี่ชิงจ้องมอง ข้างหูก็มีเสียงเย็นชาของผู้อาวุโสเก้าดังมา
‘บนร่างเขายังมีร่องรอยของโลกใบใหญ่อีกสามใบหลงเหลืออยู่ แต่น่าเสียดาย พลังรากฐานถูกทำลาย ในยามยุครุ่งโรจน์ของเขาเป็นผู้วิเศษเตรียมสู่เทวะโลกห้าใบ!
‘คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญยุคข้ายุคนั้น น่าจะเป็นชนรุ่นหลัง แต่โดดเด่นเลิศล้ำไร้เทียมทาน’
ในเสียงเย็นชาของผู้อาวุโสเก้ามีความทอดถอนใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย พูดต่อไปว่า
‘คนที่ฆ่าเขาไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นเจ้าเหนือหัว สวี่ชิง เจ้าสืบทอดวิชาบางส่วนของเขามา ในอนาคตในต่างแผ่นดิน บางทีอาจจะดึงผลกรรมเวรบางอย่างมา
‘แต่ว่า ก่อนเจ้า จิตวิญญาณของเขาจะรับเคราะห์ก่อน เจ้าจงจำไว้จิตวิญญาณของเขาขอเพียงแตกดับไปหนึ่งดวง เจ้าต้องรีบมาแดนใหญ่เซ่นจันทราทันที’
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน มองภูเขาจักรพรรดิภูต ไม่ได้พูดอะไร
ชิงฉินไม่สังเกตเห็นอะไรทั้งนั้น พาสวี่ชิงไปจากเขาจักรพรรดิภูต มาถึงยังทะเลต้องห้าม จนกระทั่งมาถึงเกาะเผ่าสิงซากสมุทร
เกาะเผ่าสิงซากสมุทรในอดีต สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือรูปสลักบรรพชนศพขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านบนเกาะเหล่านั้น รูปสลักสูงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ทรงพลังน่าเกรงขาม มอบแหล่งกำเนิดพลังมากเพียงพอให้กับของวิเศษเวทต้องห้ามสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
นอกจากนี้ก็เป็นกระจกโบราณสีเลือดที่น่าครั่นคร้ามและดวงตาทั้งเก้าที่ปิดสนิทอยู่บนท้องฟ้า
ทว่าตอนนี้ ทุกอย่างถูกวัตถุที่มีขนาดมหึมายิ่งกว่าชิ้นหนึ่งแทนที่!
นั่นเป็นลูกทรงกลมใหญ่โตมีขนาดเท่ากับเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง!
สีเป็นสีม่วง ประกายแสงระยิบระยับพร่างพราย มองไกลๆ จะมองเห็นรัศมีสะท้านฟ้าดินของมันได้ เหมือนมีดวงอาทิตย์ร่วงหล่นมาในโลกมนุษย์ ในขณะเดียวกับที่แผ่ประกายแสงไร้ขอบเขตออกมา ก็มีเปลวเพลิงโชติช่วงลุกไหม้อยู่รอบๆ มัน
อุณหภูมิสูงหลอมรวมกับพายุ กำลังแผ่ซ่านไปรอบๆ
หรือจะพูดอีกอย่างว่า นี่…ก็คือดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง
ตอนนี้มันสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว บนแผ่นดินของเกาะจะมองเห็นผู้บำเพ็ญสำนักเจ็ดเนตรโลหิตหลายแสนคน พวกเขากำลังรอคอยการมาถึงของสวี่ชิง
ทันทีที่สวี่ชิงเห็นดวงอาทิตย์ดวงนี้ก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนมาแปลกประหลาด เห็นเงาร่างนายกองอยู่ข้างจางซานที่อยู่ไกลๆ อย่างไม่ผิดคาดเลย
ทั้งสองกำลังคุยอะไรกันอยู่ หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิง นายกองก็หัวเราะฮ่าๆ สาวเท้ายาวเดินมาหาสวี่ชิงทางนี้
“อาชิงน้อย เป็นอย่างไร พอใจกับเรือศึกบรรพกาลหรือไม่!”
นายกองเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
สายตาของสวี่ชิงกวาดไปบนดวงอาทิตย์สีม่วงขนาดมหึมา ในนั้นเขาสัมผัสได้ถึงดวงอาทิตย์บรรพกาลที่เคยล่ามอยู่บนร่างตัวเอง
วันนั้นตอนที่นายกองจะจากไป แม้ศึกสู้กับชื่อหมู่ในภายหลังจะใช้ดวงอาทิตย์แห่งแสงอรุณเหมือนกัน แต่ดวงอาทิตย์บรรพกาลไม่ได้เอาออกมาใช้
จางซานที่อยู่ข้างๆ ยิ้มขื่น ถอนหายใจให้สวี่ชิง
“ที่ข้าออกแบบไว้ทีแรกไม่ใช่แบบนี้ แต่นายกองบอกว่าเจ้าชอบดวงอาทิตย์…จากนั้นยังเอาเจ้าอ้วนใหญ่ออกมาเป็นแกนกลาง บอกข้าว่านั่นคือดวงตะวันแห่งแสงอรุณ…
“แต่เดิมข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว!”
จางซานพูดจบก็ชี้ไปที่ดวงอาทิตย์สีม่วง
“วัตถุชิ้นนี้ก็คือดวงตะวันแห่งแสงอรุณดวงหนึ่ง!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
นายกองเงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้า สีหน้าได้ใจเป็นอย่างยิ่ง กอดคอสวี่ชิงเอาไว้ เอ่ยเสียงดัง
“วันหน้าพวกเราจะไปที่ไหนก็นั่งเจ้านี่ไป ดูสิว่าใครกล้าหาเรื่องพวกเรา พวกเรานั่งอยู่บนดวงตะวันแห่งแสงอรุณจะต้องทำให้ฟ้าดินอับแสง หมื่นเผ่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่ว่าเรือเวทของเจ้าจะต้องระเบิดทุกครั้งหรอกหรือ ไม่เป็นไร ครั้งนี้ระเบิดได้ตามสบาย หาเรื่องพวกเรา พวกเราก็ระเบิดมันไปเลย!
“นอกจากนี้ ข้าได้ยินมาว่าเผ่าบางเผ่าในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์เดาว่าพวกเราไม่มีดวงตะวันแห่งแสงอรุณดวงที่สองแล้ว ตอนนี้ใครกล้าพูดคำว่าไม่แม้แต่แอะเดียว ข้าจะวางดวงตะวันแห่งแสงอรุณไว้หน้าประตูบ้านพวกมัน!”
สวี่ชิงกำลังจะพูดอะไร แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขารู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่บนดวงตะวันแห่งแสงอรุณ น่าเกรงขามก็น่าเกรงขามอยู่หรอก แต่อันตรายเป็นอย่างมาก หากเจ้าสิ่งนี้ระเบิดตัวเองขึ้นมา…
อีกทั้งนี่ไม่เหมือนกับเรือศึกบรรพกาลที่เขาจินตนาการเอาไว้เลย นี่มันคือป้อมปราการชัดๆ
แต่ว่าพลังอำนาจสยบ ก็น่าตื่นตะลึงครั่นคร้าม…จริงๆ
ชิงฉินที่อยู่ข้างๆ ก็สูดลมหายใจลึก ส่งเสียงแกว๊กๆ ออกมา สวี่ชิงฟังเข้าใจแล้ว มันกำลังบอกว่ากลัวเจ้าสิ่งนี้
“อาชิงน้อย ชื่อของมันข้าก็คิดเอาไว้แล้ว ชื่อว่าเจ้าอ้วนม่วง ชื่อนี้เพราะดีใช่ไหมเล่า
“ตอนนี้เจ้าอ้วนม่วงของพวกเรารอแค่เจ้าวางแหล่งกำเนิดพลังเท่านั้นแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าจะวางอะไร ฮ่าๆ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกัน หลังจากที่เจ้าอ้วนม่วงผสานเลือดเนื้อของชื่อหมู่แล้ว จะสำแดงความยอดเยี่ยมเกรียงไกรอะไรออกมา!”
นายกองดวงตาเป็นประกาย ตื่นเต้นสนอกสนใจ ทำท่าเหมือนไม่กลัวเรื่องจะใหญ่อย่างไรอย่างนั้น