ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 733 เทพเจ้าเผ่าฟ้าทมิฬ
บทที่ 733 เทพเจ้าเผ่าฟ้าทมิฬ
สวี่ชิงเงยหน้า มองไปยังเจ้าอ้วนม่วงขนาดมหึมาที่อยู่ไกลๆ ก้าวเท้าเดินไป
จากการเข้าใกล้ ความยิ่งใหญ่ของเจ้าอ้วนม่วงก็ยิ่งสะท้อนมาในดวงตาสวี่ชิง บนนั้นเปลวเพลิงลุกไหม้ ในขณะที่อุณหภูมิสูงบิดม้วนฟ้าดิน ก็มีระลอกคลื่นพลังที่คุ้นเคยแผ่มาในจิตใจของสวี่ชิง
ระลอกคลื่นนี้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือตราประทับบนเรือเวทในอดีต
แม้ในตอนที่เรือเวทยกระดับเป็นเรือศึกบรรพกาลจะถูกลบไป แต่ก็ยังคงเป็นพื้นฐานของเรือศึกบรรพกาล
อีกกลุ่มหนึ่งมาจากดวงอาทิตย์บรรพกาล
ตอนที่สวี่ชิงอยู่แดนใหญ่เซ่นจันทราล่ามดวงอาทิตย์บรรพกาลไว้นาน ระหว่างทั้งสองก็ได้สร้างสายสัมพันธ์ที่สนิทสนมเอาไว้ตั้งนานแล้ว และตอนนี้ ผ่านจากระลอกคลื่นทั้งสองประเภท สวี่ชิงไม่มีความรู้สึกแปลกหน้าอะไรกับเจ้าอ้วนม่วง
ขอแค่เขาประทับตราของตัวเองลงไปอีกครั้ง ผสานระลอกคลื่นพลังสองกลุ่มนี้ไว้ด้วยกัน เช่นนั้นก็จะสามารถควบคุมเจ้าอ้วนม่วงได้อย่างอิสระ
สัมผัสระลอกคลื่นพลัง ท่ามกลางสายตาของคนทั้งหลายรอบๆ สวี่ชิงเดินทีละก้าวๆ มายังเหนือเจ้าอ้วนม่วง ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสูดลมหายใจลึก ประสาทสัมผัสเทพแผ่ออก ลามไปหาเจ้าอ้วนม่วง
สัมผัสอย่างรวดเร็ว ไม่มีการขัดขวางใดๆ ผสานเข้าไปทันที จากนั้นก็แผ่ลามไปอย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนนี้ดำเนินไปสิบกว่าอึดใจ หลังจากประสาทสัมผัสเทพของสวี่ชิงแผ่ลามเจ้าอ้วนม่วงไปโดยสมบูรณ์แล้ว ในดวงอาทิตย์ดวงมหึมาก็ส่งเสียงเลื่อนลั่นครืนครัน
เหมือนอสูรยักษ์ที่หลับใหลตนหนึ่ง กำลังฟื้นตื่นขึ้นมา
เปลวเพลิงในนั้นก็ปะทุพวยพุ่งเช่นกัน กลิ่นอายยิ่งน่าตื่นตะลึง ทั้งดวงล้วนสั่นคลอน สุดท้ายก็ค่อยๆ ลอยขึ้น ลอยไปเหนือสวี่ชิง ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา ประดุจดวงอาทิตย์ที่แท้จริง
สวี่ชิงยืนอยู่ใต้มัน ผมยาวปลิวพริ้ว งดงามหล่อเหลา กลิ่นอายยิ่งผสานกับดวงอาทิตย์สีม่วง ไม่แบ่งแยกกัน ทำให้บนร่างเขาเกิดพลังกดดันออกมา
อยู่ในสายตาของคนทั้งหลาย กลายเป็นพลังกดดันเข้มข้น
“สู้ๆ อาชิงน้อย ช่วงเวลาแห่งการเป็นประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์มาถึงแล้ว ตอนนี้แม้พลังเจ้าอ้วนม่วงจะไม่น้อย แต่เทียบกับดวงตะวันแห่งแสงอรุณของจริงแล้ว อย่างไรก็ยังเทียบไม่ได้
“ดวงอาทิตย์แห่งแสงอรุณระเบิดสามารถแผ่ระลอกพลังได้ครึ่งแดนใหญ่ เจ้าอ้วนม่วงระเบิดอย่างมากก็แค่ครึ่งมณฑลเท่านั้น
“แต่ไม่เป็นไร จากการอนุมานของข้า หลังจากที่มันผสานเลือดเนื้อของชื่อหมู่ได้สำเร็จ พลังจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ข้าไม่แนะนำให้ลองที่นี่ พวกเราเปลี่ยนสถานที่ อย่างแดนต้องห้ามมรณะดีหรือไม่”
นายกองเลียริมฝีปาก ดวงตาทั้งสองฉายประการแรงกล้า เผยความบ้าคลั่งออกมา
ความจริงหากไม่ใช่ว่าดวงอาทิตย์สีม่วงมีระลอกคลื่นพลังของสวี่ชิง มีเพียงสวี่ชิงที่ควบคุมเท่านั้นจึงจะมีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จ เขาลงมือลองเองตั้งนานแล้ว
สวี่ชิงก้มหน้า มองนายกองผาดหนึ่ง หลังจากเงียบนิ่งร่างก็ไหววูบ มาปรากฏบนดวงอาทิตย์สีม่วง
บัลลังก์ลอยขึ้นมาจากล่างตัวเขา สวี่ชิงนั่งลงไป จิตเทพแผ่ออก
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์สีม่วงส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายเสียงคำรามของเทพเจ้า พุ่งออกไปที่ไกลทันที
รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาก็พุ่งออกไปนอกอาณาเขตเกาะสิงซากสมุทร ส่วนนายกองทางนั้นก็เข้าประชิดอย่างรวดเร็ว เหาะเหินไปบนดวงอาทิตย์ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง ยืนอยู่ข้างสวี่ชิง
เสี้ยวขณะต่อมา ดวงดวงอาทิตย์สีม่วงหายไป เหลือเพียงวงคลื่นเป็นชั้นๆ แผ่ไปในอากาศ
บนทะเลต้องห้าม ในยามที่ดวงอาทิตย์สีม่วงปรากฏอีกครั้งก็มาอยู่เหนือท้องฟ้าแดนต้องห้ามมรณะแล้ว
น้ำทะเลสีดำมองไม่เห็นเลือดแต่กลับคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดรุนแรง ยิ่งมีไอพลังประหลาดที่ไม่เหมือนกับที่อื่นอบอวลอยู่ที่นี่ ทำให้ผิวน้ำตลบอวลไปด้วยไอหมอกบางๆ
แต่เดิมหมอกที่นี่ปกคลุมไปทั่วฟ้า แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งให้กับแดนต้องห้ามแห่งนี้
“ที่นี่เหมาะมากๆ เลย อาชิงน้อย สู้ๆ ลองบรรจุเลือดเนื้อชื่อหมู่ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดดู”
นายกองมองแดนมรณะที่อยู่ข้างล่าง ดวงตาทั้งสองเป็นประกาย ความบ้าคลั่งยิ่งรุนแรง
สวี่ชิงหันไปมองนายกอง เอ่ยราบเรียบ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ วางแผนอะไรกับแดนต้องห้ามมรณะเอาไว้หรือขอรับ”
นายกองได้ยินก็ทำหน้าจริงจังทันที เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ศิษย์น้องเล็ก ทำไมเจ้าจึงพูดเช่นนี้ ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าย่อมต้องให้ความสำคัญต่อการเพิ่มกำลังรบของเจ้าเป็นพิเศษอยู่แล้ว การยกระดับทุกครั้งของเจ้า ข้าให้ความสำคัญมากกว่าการยกระดับของตัวเองเสียอีก”
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่เชื่อคำพูดเพ้อเจ้อของนายกอง ความคิดของอีกฝ่ายจะมากจะน้อยเขาก็พอเดาได้บ้าง ดังนั้นตอนนี้จึงจ้องมอง ไม่พูดอะไร
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาของสวี่ชิง นายกองหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“อาชิงน้อย ตอนนี้แดนต้องห้ามมรณะไม่มีนาย ที่นี่เป็นสถานที่ทดลองที่ดีที่สุด หาก…เจ้าอ้วนม่วงระเบิดขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะระเบิดรังของนายแห่งแดนต้องห้ามมรณะได้ขึ้นมาจริงๆ เจ้านั่นตอนยังมีชีวิตอยู่มีสมบัติมากมาย
“แม้การระเบิดตัวเองหลังจากที่ล้มเหลวของเจ้าอ้วนม่วงจะอันตรายมาก แต่เรื่องอะไรบ้างที่ไม่อันตราย ต่อให้อันตรายแค่ไหนจะมากไปกว่าการจัดการชื่อหมู่หรือไร ไม่ต้องกลัว อย่างดีชาตินี้จบสิ้น รอเมื่อข้าเริ่มชาติใหม่ ข้าจะมาฟื้นคืนชีพให้เจ้า!”
นายกองเลียริมฝีปาก ตบอกปุๆ
“อีกทั้ง จากการคาดเดาของข้า หลังจากผสานเลือดเนื้อชื่อหมู่แล้ว มีความเป็นไปได้ที่เจ้าอ้วนม่วงจะระเบิดตัวเองเพียงแค่สามส่วนเท่านั้น อัตราส่วนเจ็ดส่วนนั้นสำเร็จอยู่
“เจ้าลองคิดดู หากสำเร็จ เจ้านี่จะน่ากลัวยิ่งกว่าดวงตะวันแห่งแสงอรุณเสียอีก ถึงตอนนั้น พวกเราไม่ต้องฝึกบำเพ็ญแล้ว เอาเจ้านี่ไปสยบหมื่นเผ่า”
นายกองยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น
“เสี่ยวอาชิง ลองสักตั้ง!”
สวี่ชิงใบหน้ากระตุกเล็กน้อย เขารู้ว่านายกองบ้าระห่ำ และรู้ว่าอีกฝ่ายชอบเล่นกับชีวิต แต่การกระทำที่ไม่มีความหมายอะไรนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองอย่าเข้าร่วมด้วยเลยเป็นการดี
จึงกำลังจะปฏิเสธ แต่นายกองทางนั้นเอาเลือดเนื้อชื่อหมู่ออกมาชิ้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ในนั้นยัดแผ่นหยกสีทองแผ่นหนึ่งเอาไว้ด้วย บนนั้นมีระลอกคลื่นส่งข้ามแผ่ออกมา
สวี่ชิงกวาดตามองผาดหนึ่ง
นายกองกระแอม ยกมือเอาแผ่นหยกยื่นให้สวี่ชิง
“นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้นใหม่ของข้า หลังจากดูดซับพลังต้นกำเนิดเทพชื่อหมู่แล้ว แผ่นหยกแผ่นนี้สามารถแบกรับการควบคุมของคุณสมบัติสายเลือดได้ ทำการส่งข้ามได้สำเร็จ ดังนั้นไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ตายหรอก”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง มองๆ แผ่นหยก แล้วก็มองๆ ไปทางดวงอาทิตย์สีม่วง ความวาดหวังในการผสานเลือดเนื้อชื่อหมู่ค่อยๆ ทวีเพิ่มขึ้น ดวงตาตอนนี้ค่อยๆ ฉายความบ้าคลั่งเหมือนนายกอง
ดังนั้นหลังจากลังเล ในดวงตาของเขาก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ขณะยกมือขวา หนอนเส้นด้ายสีม่วงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา สะบัดมือผสานไปในแผ่นหยก ส่งข้ามออกไปไกล
หลังจากฝึกบำเพ็ญมาจนถึงตอนนี้ เขามีความสามารถที่จะฟื้นคืนชีพได้ในระดับหนึ่ง
ทำทุกเหล่านี้อย่างเสร็จ สวี่ชิงก็เอาเลือดเนื้อชื่อหมู่ชิ้นเท่ากำปั้นออกมาชิ้นหนึ่ง
ทันทีที่เนื้อชิ้นนี้ปรากฏออกมา ไอพลังประหลาดก็ปะทุขึ้นทันใด ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก
นายกองตื่นเต้น ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ ขณะเดียวกันก็เอาแผ่นหยกส่งข้ามแผ่นที่สองออกมา ขณะที่กำไว้แน่นในมือก็สังเกตเห็นหนอนเส้นด้ายสีม่วงของสวี่ชิง เขาก็รีบแบ่งหนอนสีน้ำเงินออกมาตัวหนึ่ง ส่งออกไปก่อน
เห็นนายกองก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก กำลังจะผสานเลือดเนื้อชื่อหมู่เข้าไปในดวงอาทิตย์สีม่วง แต่ในตอนนี้เอง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังก้องรอบๆ ตัวพวกเขา
“พวกเจ้ารนหาที่ตายกันเก่งจริงๆ แล้วก็เลือกสถานที่ได้ดี ที่นี่สถานที่ฮวงจุ้ยเป็นเลิศ
“เหมาะจะเป็นหลุมฝังศพของพวกเจ้าทั้งคู่มากๆ”
นายกองกะพริบตาปริบๆ สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางเสียงที่ดังมา เห็นเพียงเงาร่างของท่านปู่เก้าปรากฏออกมาจากที่ไกลๆ เพียงก้าวเดียวก็มาปรากฏอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง ก้มหน้ามองดวงอาทิตย์สีม่วง พยักหน้าเล็กน้อย
“ไม่เลว สิ่งนี้รวมกับเลือดเนื้อชื่อหมู่ ส่งพวกเจ้าเดินทางไปภพหน้าได้พอดี พูดตามอัตราความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวโดยพื้นฐานก็เก้าส่วน แม้พวกเจ้าแบ่งพลังต้นกำเนิดเทพออกไป ทว่า ร่างจริงดับสลายในพริบตาจะสามารถฟื้นคืนชีพได้จริงๆ หรือไม่ ก็ดูที่วาสนาก็แล้วกัน
“แต่ว่า แผ่นหยกส่งข้ามของพวกเจ้าน่าจะส่งมรดกบางอย่างของพวกเจ้าทั้งคู่ออกไปได้ ข้าล่ะเลื่อมใสความสามารถในการรนหาที่ตายของพวกเจ้าจริงๆ
“ดังนั้นตอนนี้ พวกเจ้ามีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่”
ผู้อาวุโสเก้ามองไปทางสวี่ชิง แล้วมองไปทางนายกอง
สวี่ชิงไม่พูดอะไร เก็บเลือดเนื้อชื่อหมู่ลงไปเงียบๆ ยกเลิกความคิดที่จะผสานเข้าไปทันที เขารู้สึกว่าในเมื่อโอกาสล้มเหลวสูงขนาดนี้ เช่นนั้นการระเบิดตัวเองของดวงอาทิตย์สีม่วงในอนาคตก็ควรจะเอาไว้ในสถานที่ที่เหมาะสม ถึงจะดึงศักยภาพสูงสุดของมันออกมาได้
จะสิ้นเปลืองเช่นนี้ไม่ได้
และที่สำคัญที่สุดคือต้องรักษาระยะห่างในระดับหนึ่ง หรือก่อนที่มันจะระเบิดก็หนีไปให้ไกลให้สำเร็จ
นายกองหดคอ ในใจเสียดายนิดๆ แต่เขารู้สึกว่าคำพูดของท่านปู่เก้าน่าจะเชื่อได้มากกว่าการคาดเดาของตัวเอง หากความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จเล็กน้อยแค่นั้นจริงๆ ไปทุ่มสุดชีวิตดูเหมือนว่าจะไม่ได้คุ้มขนาดนั้นแล้ว
นึกถึงตรงนี้ นายกองยิ้มประจบ ผู้อาวุโสเก้าหัวเราะเย็นชา
“พวกเจ้าสองคนไม่รนหาที่ตายแล้วหรือ”
สวี่ชิงส่ายหน้า นายกองก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ผู้อาวุโสเก้าแค่นเสียงหึขึ้นจมูก เดินเข้าไปในความว่างเปล่า หายลับไป บนผิวน้ำเหลือแค่สวี่ชิงกับนายกองเท่านั่น ทั้งสองคนจ้องหน้ากันไปมา
นายกองถอนหายใจ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“เสียดายนิดๆ แฮะ ทำไมมีความรู้สึกเหมือนจะจุดดอกไม้ไฟแต่ถูกผู้ใหญ่ห้ามเลย แต่หากพวกเราทำสำเร็จ เช่นนั้นก็จะมีพลังทำลายล้างแดนใหญ่แห่งหนึ่ง ถึงตอนนั้น จักรพรรดิมนุษย์ก็ต้องเกรงอกเกรงใจพวกเรา!
“เสียดายจัง”
สวี่ชิงพยักหน้า ค่อนข้างเสียดายเหมือนกัน ตอนนี้ยกมือขึ้นกดดวงอาทิตย์สีม่วง ทันใดนั้นเจ้าอ้วนม่วงก็หดเล็กกลายเป็นก้อนกลมเล็กๆ ลอยมาที่ฝ่ามือเขา ถูกเขาล่ามเอาไว้ที่เอว จากนั้นสวี่ชิงก็มองไปรอบๆ ส่งจิตเทพไปหานายกอง
‘ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าได้ร้อนใจไป รอเมื่อพวกเราเตรียมการ มีความมั่นใจที่มากขึ้น ครั้งต่อไปค่อยบรรจุ!’
นายกองได้ยินก็พยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง
“ศิษย์น้องเล็กพูดถูก พวกเราเตรียมตัวให้ดีๆ มีโอกาสค่อยไปทางเมียเก่าข้าทางนั้น ไปจุดดอกไม้ไฟลูกโตให้นาง!”
พูดพลางเขาก็กอดคอสวี่ชิง ทั้งสองจากไปไกล
กลางท้องฟ้า ผู้อาวุโสเก้าถอนหายใจ เขารู้สึกว่าสองคนนี้รนหาที่ตายได้เก่งมาก แต่ว่านึกถึงพวกเขาเมื่อหลายปีก่อนกล้าใช้พลังบำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดลอบวางแผนชื่อหมู่…
เขาพลันรู้สึกว่าทุกอย่างก็ไม่ได้บ้าบิ่นขนาดนั้น
ในขณะเดียวกันนี้ ในแดนใหญ่วิญญาณทมิฬ บนสนามรบเผ่าฟ้าทมิฬ สงครามมาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว
อ๋องเทียนหลันนำผู้ใต้บัญชาการของตัวเองเข้าฆ่าฟันสังหารกับผู้บำเพ็ญเผ่าฟ้าทมิฬ เลือดไหลเป็นแม่น้ำ วิชาเซียนเป็นทางๆ ฟาดลงมา จิตวิญญาณเป็นดวงๆ ลอยพุ่งเป็นทางๆ
เผ่าฟ้าทมิฬพ่ายแพ้อยู่ตลอด สุดท้ายก็วนล้อมอยู่ด้วยกัน ที่ตรงกลางเป็นผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีม่วงสิบเจ็ดคน พวกเขากำลังหมอบกรายบผืนฟ้า ทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง
“จันทร์ดวงใหม่นายแห่งข้า เหนี่ยวนำพาดินแดนต้องประสงค์ ผู้คนทุกข์ยากสุดแสนระทม แต่ร่มเย็นอยู่สุขได้ใต้บารมี
“พลีกายาสังเวยแด่นายแห่งข้า ชั่วชีวาไร้ทุกข์เป็นสุขศรี มีทิวาราตรีเป็นม่านกั้น กายข้านั้นไม่สลายคงอยู่ชั่วกาลนาน
“จันทร์ดวงใหม่นายแห่งข้า ถือกำเนิดบนแดนต้องประสงค์ สรรพชีวิตนับหมื่นพัน เคารพนายแห่งจันทร์สีม่วง
“มอบวิญญาณแด่นายแห่งข้า ยามชีวาดับสิ้นช่วยปกปักษ์ จักไปสู่ดินแดนอันสุขสงบ กลับชาติภพฟื้นตื่นคืนมาใหม่”
อ๋องเทียนหลันรัศมีอำนาจท่วมท้น เห็นภาพนี้ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็น
“อัญเชิญเทพหรือ เทพเจ้าของพวกเจ้าหลับใหล ไม่มีทางสนใจพวกเจ้า”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่อ๋องเทียนหลันในใจกลับสั่นสะท้าน เพราะเขาฟังออกว่าในคำอธิษฐานไม่ใช่พระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ แต่เป็นนายแห่งพระจันทร์สีม่วงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
อ๋องเทียนหลันหรี่ตา ไม่อยากเสียเวลา มือใหญ่เพียงสะบัดก็พุ่งออกไปทันที ผู้บำเพ็ญมหาศาลข้างหลังตามไป จะสังหารกองทัพเผ่าฟ้าทมิฬที่อยู่ข้างหน้า
แต่ในตอนนี้เอง แสงสว่างที่สาดส่องจากดวงตะวันแห่งแสงอรุณบนฟ้าจู่ๆ ก็มีสีม่วงเกิดขึ้น ดวงดาวสีม่วงดวงมหึมาดวงหนึ่งปรากฏบนม่านฟ้า มาพร้อมด้วยพลังกดดันอันน่ากลัว ค่อยๆ กดทับลงมา