ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 737 คลื่นศักดิ์สิทธิ์มีผู้เป็นนาย!
บทที่ 737 คลื่นศักดิ์สิทธิ์มีผู้เป็นนาย!
ฝนเลือดโปรยปราย ฟ้าดินเงียบสงัด
ใจผู้บำเพ็ญทั้งหมดในกองทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาอ๋องเทียนหลันพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ตกตะลึงตาค้างอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ หยุดทุกสิ่งทุกอย่าง
เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!
พวกเขาไม่อยากเชื่อภาพที่เห็น ยากจะเชื่อว่าอ๋องสวรรค์จะแตกดับได้ง่ายดายเช่นนี้
ในความรู้ความเข้าใจของพวกเขา ไม่มีพลังใดในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์คุกคามอ๋องเทียนหลันได้ ดังนั้นการตายของอ๋องสวรรค์เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ความเป็นจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว!
นึกภาพออกว่าเรื่องการแตกดับของอ๋องเทียนหลันจะสั่นสะเทือนไปทั้งแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ในเวลาสั้นๆ และจะต้องทำให้แดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิปั่นป่วนแน่นอน จากนั้น เกรงว่าจะมีพายุที่น่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าพัดโหมมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิ
โทสะที่มาจากจักรพรรดิมนุษย์ เพลิงโทสะที่มาจากตระกูลของอ๋องเทียนหลัน จะสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ
เรื่องนี้เหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้ เหนือกว่าที่จินตนาการไว้แล้ว
ผู้บำเพ็ญที่นี่ใจสั่นครืนครัน ลมหายใจของทุกคนถี่กระชั้น ความสั่นสะท้าน ความโกลาหลปะทุขึ้นกลางกองทัพใหญ่
ขณะเดียวกัน ที่สั่นสะท้านเช่นกันคือขั้วอำนาจต่างๆ ของแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความสนใจศึกนี้
“เป็นไปได้อย่างไร!”
“อ๋อง…อ๋องเทียนหลัน ถูกสังหาร!”
“สามกระบี่ ทั้งหมดก็แค่สามกระบวนท่าเท่านั้น…”
“เตรียมสู่เทวะ เขตปกครองผนึกสมุทรก็มีเตรียมสู่เทวะเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่งในบรรดาเตรียมสู่เทวะด้วย!”
“เบื้องหลังเขตปกครองผนึกสมุทร น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
เผ่าต่างๆ ที่คอยเฝ้าดูพลังความสามารถในการรบของเขตปกครองผนึกสมุทร หลังจากที่พวกเขาเห็นอ๋องเทียนหลันตาย คลื่นยักษ์ในใจก็โหมซัด ท่วมจมจิตใจ ท่วมจมทุกอย่าง เหลือไว้เพียงอาการสั่นเทาไม่รู้จบรวมถึงความยำเกรงเขตปกครองผนึกสมุทรถึงขีดสุด
อ๋องเทียนหลันใช้ชีวิตของตัวเอง ทำให้ขั้วอำนาจทั้งหมดได้รู้จักกับที่พึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทรอย่างลึกซึ้ง ว่าไม่ได้มีเพียงดวงตะวันแห่งแสงอรุณเท่านั้น ทั้งยังมี…เตรียมสู่เทวะด้วย!
ขณะเดียวกัน องค์ชายเจ็ดก็กระอักเลือดออกมา
ร่างของเขาสั่นเทิ้ม แววตาหม่นหมอง ตอนนี้ใจเขาไม่สงบยิ่งกว่าตอนที่เห็นดวงตะวันแห่งแสงอรุณระเบิดเสียอีก
เขตปกครองผนึกสมุทรใช้พลังอำนาจที่แข็งแกร่งบอกเขาหนึ่งเรื่อง
นั่นก็คือ…แผนการทั้งหมด เล่ห์กลทั้งหมด ความสุขุมทั้งหมด เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่เด็ดขาด นั้นไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลยจริงๆ
ความจริงแล้วตอนที่ดวงตะวันแห่งแสงอรุณระเบิด เขาก็มีความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่เขายังเชื่อว่าตนทางนี้ต่างหากที่กุมพลังเด็ดขาดเอาไว้ ยามท่านลุงของตนกลับมาทุกอย่างจะต้องพินาศย่อยยับ ถูกจัดการอย่างราบรื่น
ทว่าจะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะจบลงเช่นนี้
เขาไม่อาจยอมรับการแตกดับของอ๋องสวรรค์ได้ และยากที่จะเผชิญหน้ากับผลลัพธ์เช่นนี้
ความหวาดกลัวและความพรั่นพรึงในใจกลายเป็นพายุคลั่งนานแล้ว ห่อหุ้มเขาไว้ในหุบเหวลึก แต่ถึงอย่างไรเขาก็คือองค์ชายเจ็ด ต้องดิ้นรนหาโอกาสโต้กลับให้ได้ต่อให้ใจจะอยู่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง
“เขตปกครองผนึกสมุทร สวี่ชิง…ต่อให้พวกเจ้าจะมีเตรียมสู่เทวะคอยกุมบังเหียน แต่การสังหารอ๋องสวรรค์ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว นี่เป็นเรื่องของเผ่ามนุษย์ เสด็จพ่อทางนั้นไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่
“ไม่ว่าจะด้วยศักดิ์ศรีของเผ่ามนุษย์ หรือว่าเกียรติของจักรพรรดิมนุษย์ เรื่องนี้…จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าครั่นคร้ามแน่นอน!”
องค์ชายเจ็ดเงยหน้าขึ้น จ้องไปทางเขตปกครองผนึกสมุทรเขม็ง สุดท้ายก็อดกลั้นความไม่ยอมรวมถึงความไม่เต็มใจ ยิ่งมีปวดใจ บีบแผ่นหยกโบราณในมือชิ้นหนึ่งจนแหลกละเอียด
แผ่นหยกนี้ไม่ใช่ของในยุคสมัยนี้ แต่เป็นสมบัติในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ตอนเป็นของรักษาชีวิตขององค์ชายเจ็ด
ประโยชน์ของมัน คือไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใด ก็ส่งข้ามกลับไปที่แดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิได้ในพริบตา
มูลค่าของมันสูงมาก จำนวนก็มีอยู่น้อย ใช้หนึ่งแผ่นก็น้อยลงไปหนึ่งแผ่น ไม่ใช่ของธรรมดาในตอนนั้น ตอนนี้จึงล้ำค่ายิ่ง
เดิมองค์ชายเจ็ดไม่มีคุณสมบัติครอบครอง เป็นมารดาของเขาใช้แต้มความชอบแลกมาจากคลังสมบัติเผ่ามนุษย์
“เขตปกครองผนึกสมุทร เรื่องระหว่างเรายังไม่จบ ข้าจะไปรอที่เมืองหลวงจักรพรรดิ…ดูพวกเจ้าพินาศย่อยยับ”
สีหน้าองค์ชายเจ็ดเหี้ยมเกรียม จากการที่แผ่นหยกโบราณแหลกละเอียด แสงที่เหมือนมาจากบรรพกาลก็ปกคลุมร่างเขา หายไประหว่างฟ้าดิน
แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่แผ่นหยกชิ้นนี้ทำได้เพียงพาตัวเขาไปได้เท่านั้น ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นของเขาถูกทิ้งไว้ในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
ยามที่ฝ่ายต่างๆ อกสั่นขวัญแขวนกับการลงมือของผู้อาวุโสเก้า ในสมรภูมิรบเขตปกครองผนึกสมุทร ผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องเทียนหลันก็ยิ่งระส่ำระส่าย ตื่นตระหนก อยู่ไม่สงบขึ้นเรื่อยๆ แผ่ขยายไปทั้งฟ้าดิน
บัดนี้บนพื้นดิน มังกรดำตัวนั้นของอ๋องเทียนหลันกำลังคร่ำครวญ มันลุกขึ้นมาอย่างสั่นเทา โขกศีรษะไปทางท้องฟ้า หลังจากคารวะไม่หยุด ก็มีเสียงแค่นขึ้นจมูกเย็นชาดังมา มิติระเบิด
ร่างเงาของผู้อาวุโสเก้า ก้าวเดินออกมาจากรอยแยกบนฟากฟ้า ยืนอยู่ระหว่างฟ้าดินอย่างองอาจ
หัวของมังกรดำยิ่งก้มต่ำลงไปอีก ไม่กล้าขยับตัว
กองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์ทั้งหมดพากันตัวสั่นเทา
ผู้อาวุโสเก้าสีหน้าไร้อารมณ์ กวาดตามองกองทัพใหญ่ สุดท้ายก็มองไปที่สวี่ชิงในเขตปกครองผนึกสมุทร
สายตาของเขากวาดไปบนร่างของทุกคน ผู้บำเพ็ญทุกคนที่สบตาเขาล้วนก้มหน้าลง สีหน้าเคารพนบน้อม ยิ่งมีความบ้าคลั่ง
โหวเหยาก็ไม่ยกเว้น
มีเพียงสองคน ที่ทำให้ผู้อาวุโสเก้าหยุดมอง
คนหนึ่งคือนายท่านเจ็ด
ตอนที่มองนายท่านเจ็ด สายตาผู้อาวุโสเก้าเจือแววล้ำลึกเล็กน้อย เขากระทั่งพยักหน้าให้นิดๆ แต่ท่าทีนี้ขยับน้อยมาก นอกจากนายท่านเจ็ดกับตัวเขาเอง คนอื่นๆ ก็ยากจะสังเกตเห็น
คนที่สองคือสวี่ชิง
“สามกระบี่นี้ หลังจากนี้เจ้าตั้งใจสัมผัสรับรู้ให้ดี”
สวี่ชิงหายใจหอบถี่ ประสานหมัดคารวะ
ใจของเขากำลังมีคลื่นกระหน่ำซัดอย่างรุนแรง แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยเห็นท่านปู่เก้าลงมือมาก่อน แต่ผู้บัญชาการทหารอ่อนแอเกินไป จึงไม่สามารถสัมผัสพลังต่อสู้ของท่านปู่เก้าได้อย่างแท้จริง ส่วนชื่อหมู่ก็แข็งแกร่งเกินไป เทียบกันแล้วก็ยากที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของท่านปู่เก้า
จนกระทั่งการฟาดฟันเทียนหลันด้วยสามกระบี่!
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงรับรู้ได้ทันทีว่าทำไมในยามที่บุตรเทวะสะกดผู้อาวุโสเก้าตอนนั้น จึงผนึกไว้แน่นหนากว่าพี่น้องคนอื่นๆ
ผู้อาวุโสเก้า แข็งแกร่งเกินไป!
และหลังจากจบศึกชื่อหมู่ หลังจากหลี่จื้อฮว่าฟื้นคืนชีพแล้วจากไป เห็นได้ชัดว่าผลประโยชน์ที่ผู้อาวุโสเก้าได้รับ มีส่วนช่วยในการยกระดับตัวเขาไม่น้อยเลยเช่นกัน
แต่สวี่ชิงเข้าใจ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาขบคิดเรื่องเหล่านี้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกองทัพนับล้านคนนี้จะอยู่หรือจะไป
ดีที่เขาและอาจารย์รวมถึงโหวเหยาได้หารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว สวี่ชิงจึงหันหลัง ขยับหลีกไปก้าวหนึ่ง ให้ร่างเงาที่ยืนอยู่ด้านหลังตนโดดเด่นออกมา
หนิงเหยียนนั่นเอง
หนิงเหยียนยามนี้ สวมชุดคลุมจักรพรรดิ สวมกวานจักรพรรดิ คลื่นพลังสายโลหิตที่เป็นราชวงศ์แผ่ออกมาทั่วร่าง สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง
หลังจากที่สวี่ชิงหลีกทางให้ สีหน้าเขาก็จริงจัง เดินออกมาอย่างหยิ่งผยอง ก้าวออกไปกลางอากาศทีละก้าว ก้มหน้ามองกองทัพใหญ่
“ข้าคือกู่เยว่หนิงเหยียน บุตรจักรพรรดิมนุษย์ลำดับที่สิบสององค์ปัจจุบัน!”
หลังจากที่กองทัพใหญ่นับล้านคนสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังสายโลหิตรวมถึงคำพูดของหนิงเหยียน ก็ครืนครันกันหมด โดยเฉพาะหนิงเหยียนเวลานี้ ด้านหลังของเขาเป็นรูปสลักจักรพรรดิโบราณตั้งตระหง่านอยู่บนผืนแผ่นดิน
ดังนั้นในสายตาของทุกคน จึงเห็นเหมือนร่างเงาของหนิงเหยียนซ้อนทับกับจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว
รัศมีอำนาจประดุจสายรุ้ง
“เสด็จพี่เจ็ดนำทัพทหารทำประโยชน์ส่วนตน ในใจไม่เห็นแก่เผ่ามนุษย์ สร้างความวุ่นวายในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงนำดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่พกติดตัว ทำให้มันระเบิดเบื้องหน้าเขา
“อ๋องเทียนหลัน ในฐานะที่เป็นอ๋องสวรรค์ แต่กลับเห็นแก่ตัว ตนแพ้พ่ายสงคราม กลับใส่ร้ายผนึกสมุทร ใช้อำนาจกดขี่ ไม่ละอายฟ้าดิน ดังนั้นภายใต้การเห็นด้วยจากข้า จึงสังหารเขา!
“ผลกรรมทั้งหมด ล้วนเป็นข้ากู่เยว่หนิงเหยียนกระทำแต่เพียงผู้เดียว!”
คำกล่าวนี้ของหนิงเหยียน ไม่ใช่สวี่ชิงให้เขาพูด เดิมตามที่สวี่ชิงแนะนำ สิ่งที่หนิงเหยียนต้องพูดไม่ใช่แบบนี้ แต่หนิงเหยียนรู้สึกว่า เรื่องบางเรื่อง ตนต้องแบกรับ
ดังนั้น เขาจึงพูดเช่นนี้
สวี่ชิงแปลกใจเล็กน้อย มองหนิงเหยียนผาดหนึ่ง
พวกโหวเหยาและนายท่านเจ็ดก็ทำหน้าคล้ายครุ่นคิด ดวงตาฉายประกายชื่นชมขึ้นเป็นครั้งแรก
ส่วนกองทัพใหญ่นับล้านของเผ่ามนุษย์ ความสั่นสะเทือนของจิตใจในตอนนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น
หนิงเหยียนสูดลมหายใจ ก้าวมาอีกสองสามก้าว เดินมาอยู่เบื้องหน้ากองทัพใหญ่ หนึ่งคนเผชิญหน้ากับคนนับล้าน เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“พวกเจ้าไม่ได้เป็นขององค์ชายเจ็ด ยิ่งไม่ได้เป็นของอ๋องสวรรค์ พวกเจ้าคือเผ่ามนุษย์ พวกเจ้าคือตัวของพวกเจ้าเอง!
“สิ่งที่ดาบและกระบี่ของพวกเจ้าต้องชี้ ไม่ใช่สหายเผ่ามนุษย์ แต่เป็นศัตรูจากภายนอก!
“บัดนี้ สงครามเผ่าฟ้าทมิฬยังไม่จบ จากนี้ พวกเจ้าจงติดตามข้า…ทำศึกของเผ่ามนุษย์ให้สำเร็จ ทำศึกกับเผ่าฟ้าทมิฬอีกครั้ง!”
หนิงเหยียนคำรามประโยคสุดท้ายของออกมาสุดเสียง
ท่ามกลสงการสะท้อนก้องของเสียงเขา กองทัพใหญ่นับล้านคนบนพื้นดิน เงียบนิ่งไปสิบกว่าอึดใจ มีคนที่ก้มหน้าคารวะให้ทันที ไม่นานนักก็มีผู้บำเพ็ญเลือกคารวะมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย…กองทัพใหญ่นับล้านคนก็เปล่งเสียงร้องออกมา
“เฮ!”
ทัพผู้บัญชาการทหารหมื่นคนในตอนนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับเผ่ามนุษย์แล้ว ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ขอแค่มีระบอบอันมีผู้ปกครองทรงเป็นประมุข เช่นนั้นสถานะจึงยังสำคัญอย่างยิ่งยวด
เช่นหากหนิงเหยียนอยากจะเรียกใช้เขตปกครองผนึกสมุทร เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่เจ้าเขตปกครอง
ทว่าแม้คำพูดสวี่ชิงจะมีน้ำหนักมหาศาล แต่หากอยากจะระดมกำลังทหารเหล่านี้ ให้พวกเขาคารวะ สวี่ชิงก็ทำไม่ได้
มีเพียงสถานะองค์ชายเท่านั้นที่ทำได้
และตอนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาอ๋องเทียนหลันเหล่านี้คารวะ เมฆหมอกบนท้องฟ้าก็ปั่นป่วน ร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็ว รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งขอบฟ้ายังถูกพลังอำนาจของเขาพัดม่วน กลายเป็นพายุครืนครัน
ชั่วพริบตา ร่างเงานี้ก็ปรากฏอยู่เหนือเขตปกครองผนึกสมุทร เมื่อเมฆหมอกรวมตัวกันก็ก่อร่างชัดเจนขึ้น
ต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง!
เขาหน้าขาวซีด ตอนที่ปรากฏตัวก็คารวะไปทางผู้อาวุโสเก้า
“ผู้เยาว์อันมู่หลัน คารวะคุณชายเก้าเซ่นจันทรา!”
ท่าทีของต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์นอบน้อมอย่างมาก กระทั่งส่วนลึกในดวงตายังเห็นความนอบน้อมที่ปิดบังไว้มิด และคำพูดของเขาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขา…รู้จักสถานะของผู้อาวุโสเก้า
หากรู้สถานะในตอนนี้ได้ ก็บ่งบอกได้ว่า เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนใหญ่เซ่นจันทราแล้ว
และลองคำนวณเวลา เรื่องแดนใหญ่เซ่นจันทราตอนนี้ก็น่าจะถูกผู้แข็งแกร่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สัมผัสได้
ถึงอย่างไร พระจันทร์สีชาดก็หายไปจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์แล้ว
จุดนี้จากสายตาของต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่อดมองไปทางสวี่ชิงไม่ได้ ก็พอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร
เขารู้แล้วจริงๆ อีกทั้งยังเพิ่งรู้ด้วย
ดังนั้นในใจเขายามนี้จึงครืนครันอย่างยิ่ง หลังจากคารวะผู้อาวุโสเก้า เขาก็สูดลมหายใจลึก เอ่ยเสียงต่ำว่า
“ฝั่งคลื่นศักดิ์สิทธิ์ จะเชื่อฟังองค์ชายสิบสอง ยอมเคลื่อนพลติดตามออกรบกับเผ่าฟ้าทมิฬ และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาองค์ชายสิบสองพ่ะย่ะค่ะ!”
คำกล่าวนี้พูดกับหนิงเหยียน แต่สายตาเขากลับมองไปทางสวี่ชิง
ด้วยประสบการณ์และความคิดอ่านของเขา ย่อมมองจุดสำคัญออก…ที่เขตปกครองผนึกสมุทรดันองค์ชายสิบสองออกมา
“ศึกชิงบัลลังก์…เปิดม่านแล้ว!”