ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 744 เฉินเอ้อร์หนิวผู้ชายสารเลว
บทที่ 744 เฉินเอ้อร์หนิวผู้ชายสารเลว
ความคิดในใจของนายกอง สวี่ชิงไม่ได้ยิน
แต่เขาสังเกตเห็นสายตาของนายกอง ในความทรงจำ สายตาแบบนี้ครั้งที่แล้วคือตอนที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตสร้างสำนักในมณฑลรับเสด็จราชัน โยวจิงสวมชุดเซียนหรูหรา ผ่านฟากฟ้าไป
ในตอนนั้น นายกองมองอาภรณ์ของโยวจิง สายตาแรงกล้าเหมือนในตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าขอเพียงมีอะไรประเภทนี้กล้าโอ้อวดผ่านหน้านายกอง ส่วนใหญ่ล้วนสร้างแรงดึงดูดอย่างรุนแรงให้กับนายกองได้ทั้งสิ้น
สวี่ชิงส่ายหน้า คร้านจะเอ่ยเตือนอะไร เขาชินเสียแล้ว
และในหลายวันต่อมา เรื่องที่เกิดขึ้นกับนายกองก็พิสูจน์การคาดเดาของสวี่ชิง…
เขาต้องตาต้องใจเจ้าขนมปิ่งมีขนเข้าแล้วจริงๆ
อาจเกิดจากความสงสัยใคร่รู้ และอาจเพื่อคบหาเป็นสหาย นายกองจากไปอย่างเงียบเชียบ ตามเจ้าขนมปิ่งมีขนขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าไป คิดอยากจะเข้าใกล้และเล่นกับมันอยู่หลายครั้ง
“เจ้าปุกปุย รอข้าก่อน ข้ามีเวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น หากข้าไม่ทักทายเจ้าทำความรู้จักสักหน่อยล่ะก็ วันหน้าข้าจะต้องเสียใจเสียดายอย่างแน่นอน แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตัวปุกปุยมากมายขนาดนั้น มีเพียงเจ้าที่พิเศษที่สุด”
แต่อาจเป็นเพราะความไม่จริงใจของคำพูดหรือไม่ก็ความไม่บริสุทธิ์ในสายตา ดังนั้นนายกองยังไม่ทันเข้าใกล้ ทั่วร่างก็เปล่งแสงพร่างพราย เสี้ยวขณะต่อมาก็หายไปไร้ร่องรอยทุกครั้ง
ถูกส่งข้ามไปแล้ว
แต่จิตวิญญาณมุ่งมั่นของนายกองน่าจะเป็นรากฐานพลังของความบ้าคลั่งของเขา ดังนั้นไม่นานนัก เขาก็กลับมาใหม่อีกครั้ง เดินไปอย่างจริงจังต่อไป
กระทั่งว่าเข้าใกล้ไปด้วย พลางเรียกอย่างอ่อนโยนไปด้วย ทำให้ตัวเองดูไม่มีพิษมีภัยใดๆ เพื่อให้ยิ่งสมจริงขึ้นอีกเล็กน้อย เขาจึงเอาลูกท้อออกมากิน
เพราะมีเพียงเวลาที่กินลูกท้อเท่านั้น ความอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ในใจของเขาถึงจะแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว
“หวัดดี ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก จึงอยากจะมาทำความรู้จักสักหน่อย”
ฟุ่บ!
เจ้าขนมปิ่งมีขนพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะสนใจ ถือโอกาสส่งข้ามนายกองไปด้วย
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เงาร่างของนายกองวิ่งมาจากที่ไกล วิ่งไปด้วย โบกไม้โบกมือไปด้วย
“อย่าไปสิ เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าเหมือนคนรู้จักเก่าแก่ของข้าคนหนึ่งเลย นั่นเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า…”
ฟุ่บ!
หายตัวต่อไป
หลังจากนั้นเจ็ดวัน ภายใต้ความดื้อดึงสุดฤทธิ์ของนายกอง ภายใต้คำพูดอ่อนหวานนับไม่ถ้วนของเขา เจ้าขนมปิ่งมีขนที่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ในที่สุดก็สนใจนายกองเช่นนี้เอง
ในดวงตากลมโตของมันฉายความสงสัย และยอมให้นายกองเข้าใกล้เล็กน้อยเป็นครั้งแรก มาอยู่ภายในบริเวณสิบลี้
นายกองเห็นเป็นเช่นนี้ ในใจตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง มีความรู้สึกเหมือนที่เข้าใกล้หลี่ซือเถาทีละนิดๆ อย่างในตอนนั้น ดังนั้นเขาพยายามทำให้ตัวเองอ่อนโยน กินลูกท้อไปด้วย ปลอบประโลมเสียงอ่อนโยนไปด้วย พยายามจะเข้าใกล้อีกนิด
แต่ความหวาดระแวงของเจ้าขนมปิ่งมีขนยังคงสูงมาก นายกองทางนี้กำลังจะเข้าไปใกล้ ทั่วร่างมันแสงฉายวูบจะส่งข้ามนายกองไป
นายกองร้อนรนแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้าปุกปุย เจ้าทำของตก ข้าช่วยเก็บกลับมาให้เจ้า”
พูดพลาง นายกองก็สะกดกลั้นความเจ็บปวด นำเลือดเนื้อชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมา เล็กกว่าเล็บเสียอีก ค่อยๆ เดินไปช้าๆ
เพียงเลือดเนื้อปรากฏออกมา สายตาของเจ้าขนมปิ่งมีขนก็จ้องเพ่ง ความระแวงระวังคลายลงไปเล็กน้อย และฉวยโอกาสในเสี้ยวพริบตานี้ นายกองถือเลือดเนื้อเอาไว้ ในที่สุดก็มาอยู่หน้าเจ้าขนมปิ่งมีขน
ป้อนเนื้อก้อนนี้ไปในปากเจ้าขนมปิ่งมีขน ฉวยโอกาสที่เจ้าขนมปิ่งมีขนกลืนเนื้อลงไป เขาทุ่มสุดกำลังยกมือคว้าขนสีฟ้าหลายร้อยเส้นบนตัวเจ้าขนมปิ่งมีขนเอาไว้ แล้วดึงเต็มแรง
เสียงปึ้ดดังขึ้น ขนหลายร้อยเส้นนี้ขาดทันที สิ่งกระตุ้นที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าขนมปิ่งมีขนสะท้านเฮือก แสงเจิดจ้ารุนแรงแปรเปลี่ยนเป็นทะเลแสง สาดไปทั่วทุดสารทิศ
เพียงพริบตา เมฆหมอกรอบๆ ถูกส่งข้ามไปจนหมด และเงาร่างของนายกองก็หายลับไปเช่นกัน
และครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งอื่น หลังจากแสงส่งข้ามเลือนหายไป เจ้าขนมปิ่งมีขนไม่มีร่องรอยเที่ยวเล่นเอ้อระเหยต่ออย่างก่อนหน้านี้ ดวงตากลมโตของมันฉายความโกรธเคืองออกมา เหมือนว่าถูกหลอกแล้วอย่างนั้น ปะทุแสงส่งข้ามอยู่ที่เดิมต่อไป ทำให้ท้องฟ้าสว่างจ้าไปทั้งแถบ
จากนั้นร่างของมันก็พุ่งออกไปทันที ไล่ตามหาร่องรอย จับเป้าหมายทิศทางหนึ่ง กวาดโหมไปในความว่างเปล่า
ดังนั้น ในเวลาหลังจากนั้น ผู้คนในเขตปกครองประชาสุขสงบมักจะได้เห็นภาพที่น่าตื่นตะลึง
บนท้องฟ้า เจ้าขนมปิ่งมีขนระเบิดทะเลแสง ไล่ตามเงาร่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ตามทัน มันจะอ้าปากกว้างแล้วเขมือบไปทันที เคี้ยวอย่างสุดแรง แต่ไม่นานนักก็สัมผัสได้ว่าไม่ใช่ร่างจริง
จึงไล่ตามหาด้วยความโกรธแค้นต่อไป กลืนกินต่อไป
ซ้ำๆ วนไปวนมา เป็นวัฏจักรวนไปไม่หยุด
และเสียงร้องน่าเวทนาที่มาจากผู้ที่ถูกไล่ล่าทรมานนั่นก็ดังก้องไปทั่วสารทิศ
ภาพนี้ ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรก็ได้เห็นทุกคน ต่างสีหน้าแปลกประหลาด หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูใบหน้าเต็มไปด้วยความสะท้อนใจ ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้
จื่อเสวียนยิ่งเมินไม่สนใจ
สวี่ชิงถอนหายใจ อยู่ในที่พักชั่วคราวของตัวเอง มองไปยังหนอนสีน้ำเงินที่อยู่ข้างหน้า ส่ายหน้า
“ศิษย์พี่ใหญ่ คุ้มหรือ”
หนอนสีน้ำเงินขนาดเท่านิ้วมือมีศีรษะคน เป็นนายกองนั่นเอง
ตอนนี้เขาสีหน้ายังคงได้ใจ
“ย่อมคุ้มอยู่แล้ว ไม่เป็นไรๆ เจ้าปุกปุยนั่นข้าเดาว่าเป็นตัวเมีย ระบายอารมณ์นิดๆ หน่อยๆ เป็นเรื่องปกติมาก ข้าจึงเตรียมร่างแยกเอาไว้หลายๆ ร่างเล่นกับนาง
“แต่ว่าผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้คุ้มแน่นอน!
“อาชิงน้อย ค่ายกลส่งข้ามนี้ไม่ธรรมดา ภายใต้สายตาของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าเดิมควรเปลี่ยนเป็นพื้นที่ต้องห้าม แต่กลับมีชีวิตขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง นี่เท่ากับว่าเป็นลูกหลานของเสี้ยวหน้า
“บนร่างของมันจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะบางอย่างของเสี้ยวหน้าแน่นอน!
“ดังนั้นอย่างเห็นว่าข้าใช้เลือดเนื้อชื่อหมู่ไปก้อนหนึ่ง แต่ขนสิบกว่าเส้นนั่น ความหมายที่ซ่อนอยู่มากกว่าทุกสิ่ง”
“ท่านมีความสุขก็ดี” สวี่ชิงไม่อยากไปสนใจ พูดจบก็หลับตานั่งสมาธิเงียบๆ
เห็นเป็นเช่นนี้ หนอนที่แปลงมาจากนายกองก็กระดืบมาข้างๆ นอนตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ ในใจขบคิดว่าขนสิบกว่าเส้นเหล่านั้นจะใช้อย่างไรดีจึงจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ภายใต้การกัดทึ้งอย่างบ้าคลั่งบนท้องฟ้าที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดจากเจ้าขนมปิ่งมีขน เวลาค่อยๆ ไหลไปเช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปอีกเจ็ดวัน ความโกรธของเจ้าขนมปิ่งมีขนยังคงไม่คลายลง แต่ว่าเวลาที่มันต้องหลับใหลมาถึงแล้ว
แม้ว่าจะเจ็บใจนัก แต่มันก็จำต้องกลับมณฑลตะวันสงบ กลับไปบนพื้น ขนหดสั้นลง กลับมาเป็นค่ายกลโบราณอีกครั้ง นิ่งไม่ขยับ
พวกสวี่ชิงก็มาถึงเวลาที่ต้องจากไปเช่นกัน
ดังนั้นท่ามกลางการระแวดระวังภัยของเขตปกครองประชาสุขสงบ พวกสวี่ชิงมาถึงค่ายกล ท่ามกลางประกายแสงพร่างพราย การส่งข้ามโคจรขึ้น
และในพริบตาที่ส่งข้าม จู่ๆ ค่ายกลนี้ก็สั่นขึ้นมาสองสามที คล้ายว่าเจ้าขนมปิ่งมีขนที่หลับใหลสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนที่มันยึดติด คิดอยากจะตื่นขึ้นมา แต่ก็ทำไม่ได้
สุดท้ายในแสงกะพริบที่ไม่ยินดีของแสงส่งข้าม เงาร่างของคนทั้งหลายก็หายไปจากเขตปกครองประชาสุขสงบ
การเดินทางหลังจากนี้ข้ามผ่านหลายแดนใหญ่ ส่งข้ามหลายครั้ง มีอุปสรรคบ้างแต่โดยรวมก็นับว่าราบรื่น ในที่สุดหลังจากผ่านไปสามเดือน เงาร่างของพวกเขาก็มาปรากฏบนค่ายกลที่เขตปกครองสุดท้าย
เขตปกครองนี้ชื่อว่าทักษิณสาสน์ เป็นดินแดนปิดล้อมที่ใกล้กับดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิมากที่สุด ตั้งอยู่ในแดนใหญ่ธุลีสมุทร
ทะเลของแผ่นดินใหญ่ธุลีสมุทรไม่เหมือนกับทะเลปกติทั่วไป เพราะที่นี่มีดอกฟุ้งขจรที่คล้ายกับดอกผูกงอิงปลิวฟุ้งอยู่ตลอด ดังนั้นทุกปีเวลามากกว่าครึ่ง บนพื้นปกคลุมไปด้วยสำลีสีเทาเต็มไปหมด มองไกลๆ แล้วเหมือนทะเล จึงได้ชื่อมาเพราะเหตุนี้
มองเผินๆ แล้วคล้ายๆ ลมขาวของเทือกเขาทนทุกข์ แต่คุณสมบัติเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน
ในตอนที่พวกสวี่ชิงปรากฏตัว เป็นฤดูที่ดอกฟุ้งขจรร่วงโรยปลิดปลิวพอดี ปุยนุ่นสีเทาล่องลอยทั่วฟ้า ลมเพียงพัด ก็ก่อให้เกิดเป็นทะเลสีเทาเชื่อมผืนฟ้าดิน
ดูเหมือนงดงามมาก แต่สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ นี่เป็นภัยพิบัติที่ทุกข์ทนตรอมตรมเหลือหลาย
ปุยนุ่นสีเทาท่วมฟ้า หากสูดเข้าไปในร่างมากเกินไปจะทำให้ชีวิตคนโรยราเร็วขึ้น ดังนั้นเผ่าพันธุ์ทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ หากไม่สร้างเกราะป้องกันนอกร่างอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องสวมสิ่งปกปิดร่างกาย
และเพราะลักษณะพิเศษของแผ่นดินใหญ่เช่นนี้ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ ผู้ที่เงียบขรึมมากมาย
ในตอนที่พวกสวี่ชิงปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่สัมผัสล้วนเป็นเช่นนี้
และไม่เหมือนกับเขตปกครองประชาสุขสงบ การมาเยือนของพวกเขาไม่ได้สร้างความระแวงระวังให้กับเขตปกครองทักษิณสาสน์ ผู้บำเพ็ญที่คุ้มกันค่ายกลของเขตปกครองนี้ส่วนใหญ่ล้วนเกียจคร้านเอื่อยเฉื่อย
จุดนี้ไม่ได้เกิดแค่ในเขตปกครองทักษิณสาสน์ ความจริงตลอดทางที่เดินทางมานี้ ยิ่งไกลจากเขตปกครองผนึกสมุทร ความระแวดระวังก็ยิ่งน้อย เห็นได้ชัดว่าเรื่องแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากระยะทางห่างไกล ต่อให้ลือมาก็ยากจะสร้างระลอกคลื่นใหญ่โต
ถึงอย่างไรเรื่องไม่เกี่ยวกับตัวเอง อีกทั้งยังอยู่ไกลมากอีกด้วย
และในฐานะที่เขตปกครองทักษิณสาสน์อยู่ใกล้ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิที่สุด การติดต่อของพวกเขากับดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิย่อมใกล้ชิดกว่าเขตปกครองอื่นๆ ในนั้นกระทั่งว่ามีชนชั้นสูงผู้มีอำนาจที่ถูกลดความสำคัญลงจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่
สำหรับเรื่องนี้พวกสวี่ชิงไม่ได้สนใจ หลังจากเดินออกมาจากค่ายกลส่งข้ามแล้วก็ไม่ได้มีแผนจะออกข้างนอก แต่เตรียมทำเหมือนกับก่อนหน้านี้ รีบวางค่ายกลส่งข้ามให้เร็วที่สุด จะทำการส่งข้ามครั้งสุดท้าย
ที่นี่ห่างจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิส่งข้ามเพียงแค่ครั้งเดียวก็ถึงแล้ว
‘ใกล้จะถึงแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิแล้ว’
สวี่ชิงมองไปที่ไกล ผ่านจากปุยนุ่นสีเทาที่โปรยปราย ทอดสายตามองไปทางแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ
“แล้วก็น้องสาวที่หวงเหยียนบอกก็อยู่ที่เขตปกครองนี้เหมือนกัน”
สวี่ชิงดึงสายตากลับมา เขาไม่รู้ว่าจะไปตามหาอีกฝ่ายได้อย่างไร แต่จากวิธีที่หวงเหยียนบอกคือ ขนนกอันนั้นของเขาน่าจะสามารถทำให้น้องสาวของเขาสัมผัสได้ แล้วตามมาเอง
นึกถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็มองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ร่างของหนิงเหยียน
สีหน้าของหนิงเหยียนไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่เขตปกครองอื่นๆ ที่นี่เขาคล้ายจะอึดอัดมากๆ กระทั่งว่าค่อนข้างลนลาน หลังจากสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง เขาก็สูดลมหายใจลึก ฝืนสงบลงมา เดินมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ลูกพี่ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสายเลือดของพี่หญิงสามข้า…นางไม่ได้ปกปิด จึงชัดมาก ท่าทางนางคงสัมผัสข้าได้แล้ว”
“องค์หญิงอันไห่หรือ” ในสมองสวี่ชิงมีองค์หญิงองค์นั้นที่อยู่ทางองค์ชายเจ็ดในตอนนั้น
“ข้าพอจะรู้ว่าทำไมนางถึงมาปรากฏตัวที่นี่ เพราะในเขตปกครองทักษิณสาสน์มีผู้อาวุโสคนหนึ่ง นางเป็นแม่นมขององค์หญิงสามและองค์ชายห้า
“เนื่องจากความยอดเยี่ยมหลังจากเติบโตขององค์หญิงสามและองค์ชายห้า จักรพรรดิมนุษย์จึงอนุญาตให้นางมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่เขตปกครองนี้เป็นพิเศษ ที่นี่ก็เป็นบ้านเกิดของผู้อาวุโสท่านนั้นด้วย”
หนิงเหยียนกำลังพูด ปลายฟ้าไกลทางนั้น เงาร่างหนึ่งเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านทะเลสีเทา มาปรากฏข้างหน้าพวกสวี่ชิง แปลงเป็นนางกำนัลคนหนึ่ง
นางกำนัลคนนี้สายตาเฉียบคม พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา หลังจากปรากฏตัวขึ้นก็มองไปยังหลี่อวิ๋นซานและจื่อเสวียน จากนั้นมองไปทางสวี่ชิง เก็บสีหน้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายก็มองไปทางหนิงเหยียนที่อยู่ข้างเขา
จากนั้นนางก็ก้มศีรษะเล็กน้อยทำความเคารพ เอ่ยเสียงเนิบช้า
“คารวะองค์ชายสิบสอง”
“องค์หญิงกำลังช่วยแม่นมซุนจัดงานเลี้ยง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายขององค์ชายสิบสอง จึงรับสั่งให้หม่อมฉันมาเชิญองค์ชายเพคะ”