ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 745 จักรพรรดิหลิงเสียพร่างพรายเจิดจรัส
บทที่ 745 จักรพรรดิหลิงเสียพร่างพรายเจิดจรัส
สำหรับองค์หญิงอันไห่สวี่ชิงไม่ค่อยรู้มากเท่าไรนัก แค่เห็นในงานเลี้ยงขององค์ชายเจ็ดเมื่อตอนนั้นเท่านั้น ตลอดเหตุการณ์อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเท่าไร ทว่าผ่านจากการวิเคราะห์หลังจากนั้นและสถานการณ์แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็สามารถมองเห็นถึงความหลักแหลมของนาง
และปฏิกิริยาขององค์ชายเจ็ดในตอนนั้นเหมือนว่าจะค่อนข้างหวาดระแวงองค์หญิงอันไห่
นอกจากนี้จากการแสดงออกของนางกำนัลก็พอจะมองออกว่า อีกฝ่ายไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตัวเกินไป สีหน้า วาจาล้วนในขณะที่ดูสุขุมก็แสดงความเคารพที่เหมาะสมออกมา
ดังนั้นสวี่ชิงมองหนิงเหยียนผาดหนึ่ง
หนิงเหยียนลังเล
นางกำนัลคนนั้นเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากโค้งคารวะหนิงเหยียนและสวี่ชิงก็หันหลังจากไป
มองอีกฝ่ายจากไป หนิงเหยียนถอนหายใจ
“ลูกพี่ แม่นมซุนคนนั้นเป็นสหายสนิทของทั้งมารดาพี่หญิงสามและมารดาพี่ห้า
“ในนี้ความสัมพันธ์ซับซ้อน ข้าอาจจะต้องไปสักหน่อย ลูกพี่ ท่านไปกับข้าได้หรือไม่”
หนิงเหยียนมองสวี่ชิงอย่างลังเล ค่อนข้างกระวนกระวาย
ยิ่งเข้าใกล้แดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ จิตใจของหนิงเหยียนก็ยิ่งตึงเครียด ความรู้สึกลังเลที่อยากกลับแต่ก็ไม่อยากกลับยิ่งชัดเจน
สวี่ชิงคิดๆ การวางค่ายกลยังต้องใช้เวลาอีกหลายวัน จึงมีเวลามากพอ ส่วนหนิงเหยียนทางนี้เอ่ยปากขอออกมาเช่นนี้ ท่าทางในใจคงไม่มั่นใจจริงๆ
สวี่ชิงจึงพยักหน้า
“ไปเถอะ”
หนิงเหยียนได้ยินคำของสวี่ชิงก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที มีสวี่ชิงอยู่ เขารู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นใจ
ทั้งสองก็ไปจากที่ตั้งค่ายกลส่งข้ามเช่นนี้เอง
จื่อเสวียนต้องร่วมรักษาค่ายกลกับหลี่อวิ๋นซาน จึงไม่ได้ไปด้วย ส่วนนายกองหลายเดือนมานี้ล้วนศึกษาค้นคว้าขนของเจ้าขนมปิ่ง ไม่มีกะจิตกะใจจะไป
จึงมีเพียงสวี่ชิงและหนิงเหยียนเท่านั้น ภายใต้การคุ้มครองของผู้ครองกระบี่จำนวนหนึ่งเหาะเหินไปยังที่พักอาศัยของแม่นมซุน
ตำแหน่งโดยละเอียดไม่จำเป็นต้องระบุ หนิงเหยียนอาศัยสัมผัสระหว่างองค์หญิงหนิงอันไห่ไม่นานก็หาเจอ นั่นเป็นเรือนที่พักราวสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง กินพื้นที่ไปไม่น้อยเลย ในนั้นหมู่มวลบุปชาติสีสันสดใส ยิ่งมีค่ายกลเปิดอยู่ตลอด คอยสกัดกั้นปุยนุ่นสีเทา
เขามอทั้งหมดในนั้นทำขึ้นจากหยก ทั้งยังชักน้ำพุวิญญาณมา ทำให้ทั่วทั้งเรือนพลังวิญญาณเข้มข้น ระดับความเข้มข้นของมันไม่ใช่สิ่งที่สำนักทั่วไปในเขตปกครองผนึกสมุทรเทียบได้เลย
ใจกลางของเรือนแห่งนี้กำลังมีงานเลี้ยงอยู่ ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานเป็นหญิงชราคนหนึ่ง รอยยิ้มอ่อนโยน เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราสูงส่ง กำลังพูดคุยหัวเราะกับหญิงสาวสวมชุดชาววังที่อยู่ข้างๆ
ข้างล่างมีโต๊ะตั้งอยู่สองฝั่งต่างมีแขกนั่งอยู่ทั้งนั้นต่างดื่มสุราพูดคุยสังสรรค์ สนุกสนานเพลิดเพลิน ยิ่งมีหญิงรับใช้เดินไปมา คอยเปลี่ยนจานรองเศษกระดูกและนำผลไม้สดมาให้
ตรงกลางมีผู้บำเพ็ญร่างกายเหยียดตรงกำยำเก้าคนกำลังต่อสู้กันอยู่
ระหว่างที่เข้าปะทะกัน วิชาเวทแผ่ระลอก ท่วงท่าไม่ธรรมดา น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
การมาถึงของสวี่ชิงและหนิงเหยียน อาศัยสายสัมพันธ์ของสายเลือด องค์หญิงอันไห่สามารถรับรู้ได้ในทันที เอ่ยอะไรบางอย่างเสียงเบาข้างหูหญิงชรา หญิงชราพยักหน้าเบาๆ
ดังนั้น ทันทีที่สวี่ชิงและหนิงเหยียนเข้ามาใกล้ ยังไม่ทันลอยต่ำลง ค่ายกลของเรือนที่พักก็เปิดออก คลายออกเป็นเส้นทางทางหนึ่ง
หนิงเหยียนสูดลมหายใจลึก มองสวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ ในใจสงบมั่นคงขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้ง เข้าไปในค่ายกลพร้อมสวี่ชิง มาปรากฏตัวข้างในเรือน
การประลองในงานเลี้ยงชะงักไปเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญที่กำลังต่อสู้วิชากันต่างหลบไปอย่างนอบน้อม หนิงเหยียนสาวเท้าไปสามสี่ก้าว มาข้างหน้าหญิงชรา ประสานหมัดคารวะ
“คารวะแม่นมซุน”
สายตาของแม่นมซุนจ้องไปที่ร่างของหนิงเหยียน สีหน้าค่อนข้างเย็นชา หลังจากพยักหน้าเล็กน้อยก็ไม่สนใจอีก สำหรับสวี่ชิงทางนี้ยิ่งไม่แม้แต่จะมอง พูดคุยกับองค์หญิงอันไห่ที่อยู่ข้างกายต่อไป
องค์หญิงอันไห่ตอบรับพลางพยักหน้าให้หนิงเหยียนและสวี่ชิง สีหน้าฉายแววขอโทษ
หนิงเหยียนไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เขาชินกับความเย็นชาแบบนี้จากคนอื่นตั้งนานแล้ว ตอนนี้กลับรู้สึกว่าค่อยยังชั่ว เลือกโต๊ะที่อยู่ท้ายๆ แล้วนั่งลง
สวี่ชิงยิ่งไม่สนใจความเย็นชาของคนที่ไม่เกี่ยวกับตน เขาสนใจแค่อีกฝ่ายมีจิตคิดร้ายกับตัวเองหรือไม่เท่านั้น
สีหน้าจึงสงบนิ่ง นั่งลงข้างๆ หนิงเหยียน
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป
พวกเขาทั้งสองคนสร้างความสนใจจากคนอื่นๆ มีคนส่งเสียงซุบซิบ มีคนพยักหน้าเล็กน้อย มีคนฉายสีหน้าดูถูก
หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนี้ สวี่ชิงรู้ดีว่าสีหน้าของผู้คนบ้างก็สะท้อนออกมาจากจิตใจจริงๆ แต่หลายครั้ง…เป็นเพียงแค่หน้ากากเท่านั้น
ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะมีสีหน้าอย่างไร พวกนี้ล้วนไม่สำคัญ
เขายกกาเหล้าข้างหน้าแล้วยกขึ้นดื่ม ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เหล้าที่นี่รสดีกว่าเขตปกครองผนึกสมุทรมาก
ทั้งๆ ที่เป็นเหล้า แต่เมื่อเข้าปากแล้วก็เต็มไปด้วยความหนัก เข้มข้น ทำให้สวี่ชิงมีตัวอักษรผุดขึ้นมาในหัว
ยอดสุราธาราหยก
หลังจากจิบชิมแล้ว สวี่ชิงก็ดื่มลงไปอีกหลายอึก หนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ลูกพี่ เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว ข้ารู้ว่ามีโรงสุราอยู่หลายที่ ที่นั่นมีเหล้าดีอยู่บ้าง ถึงตอนนั้นข้าจะหามาให้ท่าน”
สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย นั่งอยู่ตรงนั้นค่อยๆ ดื่มด่ำ เขาเตรียมดื่มอย่างนี้ไปจนงานเลี้ยงเลิก
เวลาไหลไปความบันเทิงในงานเลี้ยงมีหลากหลายรูปแบบ รอยยิ้มเสียงหัวเราะไม่ขาด ประเดี๋ยวๆ องค์หญิงอันไห่ก็พูดเรื่องมีความสุขอะไรบางอย่างกับแม่นมซุน ทำให้คนทั้งหลายใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มีเพียงสวี่ชิงกับหนิงเหนียน ฝ่ายหน้าดื่มด่ำสุราอย่างสุขุม ฝ่ายหลังคอยนั่งอยู่เป็นเพื่อน พบว่าเหล้าหมดแล้วก็รีบเรียกสาวใช้ไปเอามาอีก
ส่วนองค์หญิงอันไห่คล้ายว่าไม่ได้มีจิตคิดร้าย พยายามจะให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมอยู่หลายครั้ง แต่ล้วนล้มเหลว แม่นมซุนคนนั้นแม้จะไม่ถึงกับมีจิตคิดร้าย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร ยังคงเย็นชาเสียเป็นส่วนมาก
สุดท้ายองค์หญิงอันไห่ติดที่ไม่สามารถมาพูดด้วยตัวเองได้ ทำได้แค่เพียงส่งนางกำนัลข้างกายมาบอก
“ขอโปรดอย่าได้เข้าใจผิด องค์หญิงนั้นหวังดี แม้แม่นมซุนจะออกจากเมืองหลวงแล้ว แต่เส้นสายของนางในเมืองหลวงกว้างขวางมาก ภรรยาชนชั้นสูงผู้มีอำนาจมากมายล้วนแต่เป็นสหายสนิทของนางทั้งนั้น หากนางยอมรับ เช่นนั้นก็จะสามารถช่วยองค์ชายสิบสองลดจิตคิดร้ายที่ซ่อนอยู่ทั้งหลายได้ เดิมองค์หญิงอยากแนะนำองค์ชายหนิงเหยียนกับแม่นมเจ้าค่ะ”
สวี่ชิงพยักหน้า ยกจอกเหล้าไปทางองค์หญิงอันไห่
องค์หญิงอันไห่พยักหน้าเล็กน้อย นางหวังดีจริงๆ แต่น่าเสียดาย แม่นมซุนเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยชอบหนิงเหยียนสักเท่าไร
จวบจนกระทั่งเมฆหมอกบนท้องฟ้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง เมฆพรายพยับแผ่ลาม ดวงอาทิตย์อัศดงมาเยือน สวี่ชิงสะอึก
สุรามื้อนี้เขาดื่มได้สบายใจยิ่งนัก จึงลุกขึ้นจะพาหนิงเหยียนกลับ ทว่าในตอนนี้เอง ท้องฟ้าพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังมา
สายอัสนีฟาดผ่า ผืนฟ้าคำรามลั่น เมฆพรายแสงเดือดพล่านแล้วสลายไป ท้องฟ้าถูกแสงพรายรุ้งปกคลุม ราวมีม่านแสงเจ็ดสีพร่างพรายห่มคลุมผืนฟ้า
และในม่านแสงพรายเจ็ดสีมีนกยูงตัวมหึมาตัวหนึ่ง บดบังผืนฟ้า บินออกมาจากข้างในอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งปรากฏออกมาโดยสมบูรณ์ แสงเจ็ดสีที่ว่านั่นเป็นเพียงแค่หางของมันเท่านั้น
นกยูงตัวนี้สง่างามทรงอำนาจไม่ธรรมดา งดงามเป็นอย่างยิ่ง การปรากฏตัวของมันทำให้ฟ้าดินหมองหม่น สรรพสิ่งทั้งหลายละอายในตัวเอง
ภาพนี้เป็นที่แตกตื่นฮือฮาในเขตปกครองทักษิณสาสน์ไปกว่าครึ่งและคนทั้งหลายในเรือนแห่งนี้ที่เป็นใจกลางของผืนฟ้าเจ็ดสีก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น
คนส่วนใหญ่ผุดลุกขึ้น มองไปทางท้องฟ้า แม้แต่แม่นมซุนที่อยู่ข้างกายองค์หญิงอันไห่ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจยินดีเช่นกัน ทอดสายตามองไปบนท้องฟ้า
“จักรพรรดิหลิงเสีย!”
พื้นที่ต้องห้ามมีอยู่ในแดนใหญ่ธุลีสมุทรบ้าง แต่แดนต้องห้ามมีน้อย มีเพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้น
ชื่อว่าสุสานแห่งแสง
แดนต้องห้ามมีจักรพรรดิ ชื่อว่าเสีย เพราะมันนับว่าเป็นมิตรกับเผ่าทั้งหลาย อีกทั้งพลังแท้จริงของมันน่ากลัวมาก ดังนั้นในแดนใหญ่ธุลีสมุทรแห่งนี้ จึงอยู่ร่วมกันกับเผ่าต่างๆ อย่างเป็นสุข
ส่วนโลกภายนอกขนานนามมันว่าจักรพรรดิหลิงเสีย
มันออกข้างนอกน้อยมาก ทุกครั้งที่ปรากฏตัวในสายตาผู้คนทั้งหลาย แสงพรายเจ็ดสีล้วนชำระล้างปุยนุ่นสีเทา ยิ่งเป็นเพราะรูปร่างอันงดงามของมัน ในแดนใหญ่ธุลีสมุทรแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นนิมิตมงคล
และเคยมีความสัมพันธ์กับแม่นมซุน เคยมีบุญคุณกับแม่นมซุนเมื่อนานมาแล้ว ต่อให้จนถึงตอนนี้ บุญคุณนี้สำหรับหลายๆ คนแล้วก็เป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งให้กับแม่นมซุน
ตอนนี้เห็นเงาร่างผู้มีพระคุณ ใบหน้าแม่นมซุนฉายรอยยิ้ม สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเคารพ กำลังมองอีกฝ่ายบินจากไปจนสุดสายตา เพราะนางรู้ว่าจักรพรรดิหลิงเสียไม่ออกมาข้างนอกง่ายๆ หากปรากฏตัวจะต้องมีเรื่องที่ไปจัดการ
ดังนั้นสำหรับนาง อีกฝ่ายแค่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า ไม่มีทางมาหาตนโดยเฉพาะ
แต่ไม่นาน จิตใจนางก็ตื่นตะลึง
ไม่ใช่แค่นางที่ตื่นตะลึง คนอื่นๆ ในเรือนตลอดจนองค์หญิงอันไห่ ในใจต่างตกตะลึงสุดขีดเช่นกัน
เพราะจักรพรรดิหลิงเสียที่เป็นตัวแทนของนิมิตมงคล หลังจากที่มันปรากฏตัวก็ไม่ได้จากไปไกล แต่เดินมาทางเรือนแห่งนี้ จากการที่เข้ามาใกล้ แสงพรายระยิบระยับบนร่างฉายวูบวาบ สุดท้ายในตอนที่เดินมาถึงชานเรือน ก็เปลี่ยนจากร่างนกยูงเป็นร่างมนุษย์
รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สีหน้าเย็นชา หน้าตางามหยาดเยิ้ม ประดุจดอกเหมยในหิมะยามเหมันต์ ชวนให้คนคิดคะนึงหา ทำให้คนลืมไปว่าในความงามนั้นมีหนามแหลมคม
เส้นผมดำมุ่นเป็นมวยปักไว้ด้วยปิ่นหยกวิเศษ จากการก้าวเดินมา ดอกไม้ประดับที่ร้อยเรียงจากไข่มุกแกว่งไกว แผ่แสงพร่างพรายเจ็ดสีท่วมฟ้า
ทั้งร่างสวมชัดชาววังบริสุทธิไร้มลทินราวเซียน ยืนอยู่อย่างงดงามหยิ่งทะนง ดวงตาหงส์แฝงด้วยแรงดึงดูดให้คนจับตามอง หลังจากจ้องตานาง ก็จะก้มหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะอาภรณ์ชุดชาววังสีม่วงที่สะบัดพริ้วไปตามลม พรรณนาความงดงามสง่าได้ไม่จบสิ้น สูงส่งไร้มลทิน
ภาพนี้ทิวทัศน์นี้ ใช้ได้แค่คำว่าเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์เท่านั้นจึงจะพรรณนาได้
แม่นมซุนสีหน้าจริงจัง เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
“คารวะจักรพรรดิหลิงเสีย”
คนอื่นๆ ทั้งหลาย กระทั่งองค์หญิงอันไห่ก็ต่างรีบโค้งคารวะเช่นกัน หนิงเหยียนทางนั้นก็สูดลมหายใจลึก สยบให้กับความงามของอีกฝ่าย ก็ไม่รู้ว่าเป็นแสงพรายรุ้งที่สาดส่องหรือหัวใจของตัวเองเต้นระรัว ใบหน้าแดงไปหมดแล้ว
ส่วนจักรพรรดิหลิงเสียที่งดงามประดุจเซียน เผชิญหน้ากับการคารวะของคนทั้งหลาย สีหน้าของนางสงบนิ่ง แค่พยักหน้าให้แม่นมซุนเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็ไม่สนใจอะไรอีก เดินเข้าไปในเรือนทีละก้าวๆ
ภายใต้สายตาของคนทั้งหลาย นางเดินไปยังโต๊ะท้ายๆ ของงานเลี้ยง
จากการเข้าไปใกล้ หนิงเหยียนที่ยืนอยู่ตรงนั้นยิ่งตื่นเต้น เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายจับตามองตัวเอง แต่ไม่นานนักเขาก็ค้นพบอย่างตื่นตะลึงว่า คนที่อีกฝ่ายมองไม่ใช่ตน แต่เป็น…สวี่ชิง
ร่างของจักรพรรดิหลิงเสียยืนอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง
“สวี่ชิงใช่หรือไม่ หวงเหยียนเคยพูดถึงเจ้าให้ข้าฟัง”
เสียงเย็นเยียบดังมาจากปากของนาง
ภาพนี้แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าฟาดผ่าในใจของคนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ทันที ทุกคนต่างมองตาไม่กะพริบ มองภาพทุกอย่างนี้ ในใจเกิดความคาดไม่ถึงต่างๆ นานา
โดยเฉพาะแม่นมซุนยิ่งเป็นเช่นนั้น
นางเคยได้ยินชื่อสวี่ชิงมาก่อน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร อย่างไรก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน อีกฝ่ายต่อให้จะเยี่ยมยอดขนาดไหน ตนอายุปูนนี้แล้ว แล้วก็ไม่มีคนรุ่นหลังอะไร ย่อมไม่จำเป็นต้องไปตั้งใจคบหา
หากรู้สึกมีวาสนาต่อกันเช่นนั้นก็ช่วยเหลือสักหน่อย หากไม่มีวาสนาก็เป็นแค่คนที่ผ่านมาก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้ จักรพรรดิหลิงเสียที่น้อยนักจะปรากฏตัวกลับมาหาอีกฝ่ายโดยเฉพาะ ภาพนี้ทำให้ความคิดของนางก่อนหน้านี้สั่นคลอน
ส่วนสวี่ชิงแม้เขาจะประหลาดใจ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่คาดเดาเอาไว้ สำหรับตัวตนของอีกฝ่าย ในใจของเขามีคำตอบแล้ว
เขาจึงประสานหมัดคารวะ หยิบขนนกและถุงที่หวงเหยียนให้ตนออกมา
สายตาของจักรพรรดิหลิงเสียกวาดไปที่ขนนก จากนั้นก็รับถุงมา หลังจากเปิดก็หยิบเอาผลไม้สีแดงลูกหนึ่งออกมา แตะไว้ที่ปากสูดเข้าไปอีกหนึ่ง จากนั้นก็มองไปรอบๆ แล้วนั่งลงข้างกายสวี่ชิงเสียเลย อีกทั้งยังเรียกให้เขามานั่งด้วย
หลังจากที่สวี่ชิงนั่งลงอย่างว่าง่าย จักรพรรดิหลิงเสียก็เอาผลไม้อีกลูกหนึ่งออกมา ยื่นให้สวี่ชิง
“เอาสักหน่อยหรือไม่”
สวี่ชิงรับมา แตะไว้ที่ริมฝีปากแล้วสูด ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองก็ฉายประกาย รสชาติของผลไม้นี้พิเศษเป็นอย่างยิ่ง เทียบกับเหล้าที่เขาดื่มไปก่อนหน้านี้แล้วมีความหนักแน่นกว่า
คนทั้งหลายมองหน้ากัน หัวใจของหนิงเหยียนเต้นระรัว มองๆ จักรพรรดิหลิงเสีย แล้วมองไปทางสวี่ชิง ในใจพลันเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงและภาคภูมิใจ
‘นี่คือลูกพี่ของข้า!’
หนิงเหยียนเชิดหน้าแอ่นอก นั่งลงเช่นกัน
หลังจากงานเลี้ยงหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง จากการจัดการอย่างเข้มงวดของแม่นมซุน ก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง อีกทั้งรูปแบบยังสูงส่งกว่าก่อนหน้านี้ ดวงตาทุกคู่ ในเวลาหลังจากนั้นล้วนจับจ้องไปทางสวี่ชิงอยู่บ่อยๆ
ใบหน้าของแม่นมซุนค่อยๆ ฉายรอยยิ้มออกมา มองสวี่ชิง แล้วมองๆ หนิงเหยียน หลังจากคิดๆ แล้ว สีหน้าก็ฉายความอ่อนโยนออกมา
“องค์ชายสิบสอง มาหาหม่อมฉันทางนี้เถิดเพคะ ให้หม่อมฉันได้มองท่านให้ดีๆ สักหน่อย เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ภาพฉากที่พระมารดาของท่านเข้าวังในตอนนั้น ฝ่าบาทจัดพิธีการเพื่อพระนางยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง แม้จะผ่านมาหลายปีหม่อมฉันก็ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”