ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 746 ดินแดนแห่งแรกของต้องประสงค์
บทที่ 746 ดินแดนแห่งแรกของต้องประสงค์
คำพูดของแม่นมซุนทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงต่างก้มศรีษะ ปิดบังใบหน้าของตนเอง
เนื่องจากบางคนถูกสั่งห้าม ไม่อาจเอ่ยถึงได้
องค์หญิงอันไห่ดวงตาสุกใส นางรู้จักตนในฐานะแม่นม ตั้งแต่ที่นางยังเล็ก ไม่เพียงแต่มีสายสัมพันธ์กว้างขวาง แต่ยังเพียบพร้อมด้วยทักษะอันโดดเด่น
มิฉะนั้นคงไม่อาจเป็นแม่นมของตนและองค์ชายทั้งห้าได้
ยิ่งไม่มีทางได้อาศัยอยู่ในวังหลวงมาจนถึงปัจจุบัน และยังได้รับปูนบำเหน็จจากจักรพรรดิมนุษย์ให้เกษียณอายุและกลับไปอยู่บ้านเกิดของตน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้บ่งบอกว่าแม่นมเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา และมีความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิมนุษย์
ดังนั้นจากประสบการณ์ของแม่นม ย่อมรู้ดีว่าหลายครั้งคำพูดเป็นได้ทั้งอาวุธและจุดยืน ถ้อยคำใดๆ ไม่ได้มีเพียงความหมายที่แสดงออกมาเพียงผิวเผินเท่านั้น
ดังนั้นการเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมาที่นี่ได้ย่อมมีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง
องค์หญิงอันไห่คล้ายครุ่นคิด อดมองแม่นมที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความใจดีข้างกายตนไม่ได้ ตนหาเบาะแสที่มาของอีกฝ่ายก่อนเข้ามาอยู่ในวังไม่พบเลย นางไม่ทราบ และไม่อาจจะตรวจสอบได้
นางรู้เพียงแค่อีกฝ่ายเคยมีบุตรี แต่ได้จากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร จากนั้นก็ได้รับความกรุณามารดา รับเข้ามาอยู่ในวัง ให้กลายเป็นแม่นมของตน
และการเป็นแม่นมในวังไม่ใช่งานง่ายๆ เพียงแค่ป้อนนมเท่านั้น แต่ยังพ่วงด้วยสถานะพิเศษติดตัว
เพื่อป้องกันไม่ให้วังหลังแทรกแซงการเมืองและส่งผลกระทบต่อเกียรติภูมิของราชวงศ์ ราชวงศ์จึงใช้วิธีการบางอย่างเพื่อลดทอนสายสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายกับพระมารดาผู้ให้กำเนิด แม่นมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการนี้
ต้องดูแลความเป็นอยู่ อยู่เคียงข้าง ให้การสั่งสอนชี้แนะขั้นพื้นฐานแก่องค์ชายและองค์หญิงจนเติบใหญ่
แม่นมเข้ามาแทนที่พระมารดา และคอยติดตามตลอดเวลา ดังนั้นการสร้างทัศนคติต่อชีวิตและมุมมองคุณค่าขององค์ชายจึงได้รับอิทธิพลจากแม่นม ส่งผลต่อทัศนคติและการดำเนินชีวิตขององค์ชายในอนาคตได้
ขณะที่องค์หญิงอันไห่กำลังครุ่นคิด แม่นมซุนก็สะกิดไหล่นางแผ่วเบา องค์หญิงอันไห่รีบเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มองไปทางหนิงเหยียน
สีหน้าของหนิงเหยียนค่อนข้างซับซ้อน
ถ้อยคำของแม่นมซุน ทำให้เขาคิดถึงพระมารดาของตน ตามมาด้วยความโศกเศร้าและความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในใจ
เขาจำไม่ได้ว่ามารดาของเขาหน้าตาเป็นเช่นไร
ชื่อพระมารดาของเขากลายเป็นชื่อต้องห้ามในเมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง ในความทรงจำของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเอ่ยถึงนาง นับตั้งแต่นางจากโลกนี้ไป
ด้วยเหตุนี้หนิงเหยียนจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปประสานหมัดคารวะแม่นมซุน
แม่นมซุนมองหนิงเหยียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน และเรียกเขาไปยืนเคียงข้างตน
ยิ่งกุมมือหนิงเหยียนไว้ด้วยมือของตน
ทว่านางลอบทอดถอนใจอยู่ในใจ นายรู้เจตนาที่อันไห่พาหนิงเหยียนมาดี แต่หลังจากที่นางออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิ นางก็ไม่อยากจะไปข้องเกี่ยว
เพราะอย่างไร การดับสูญของอ๋องเทียนหลัน พระราชโองการของจักรพรรดิมนุษย์ ล้วนแต่มีความหมายนัยๆ ว่าพายุแห่งการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทอาจจะพัดโหมมายังเมืองหลวงจักรพรรดิ
อีกประเด็นสำคัญคือหนิงเหยียน…
ประวัติศาสตร์ที่เคยถูกปกปิดเอาไว้ คนรุ่นหลังไม่รู้ แต่นางเป็นประจักษ์พยานของความรุ่งโรจน์และพรสวรรค์ของมารดาหนิงเหยียน ยิ่งได้เห็นโศกนาฏกรรมนองเลือดและจุดจบขององค์ชายอีกพระองค์
ซึ่งก็คือพี่ชายฝาแฝดของหนิงเหยียน
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาหนิงเหยียนจึงจงใจปลีกตัวออกห่างจากผู้คน
นางจึงเย็นชาแต่ไม่มุ่งร้ายกับหนิงเหยียนและสวี่ชิง ต่างคนต่างอยู่เฉกเช่นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
ทว่าการมาเยือนของจักรพรรดิหลิงเสียทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิม
แม้ว่านางจะยังไม่แยแสเช่นเคย แต่ก็ดูแลตามความเหมาะสม จึงมีคำพูดก่อนหน้าและการกระทำในขณะนี้
เบื้องหลังของทุกคนในงานเลี้ยงแห่งนี้ล้วนมีสายสัมพันธ์มากมายในเมืองหลวงจักรพรรดิ
ดูแล้วคำพูดและการกระทำของตน ไม่นานต้องมีผู้มากปัญญาเฉลียวใจอย่างแน่นอน
เท่านี้ก็พอแล้ว
ตอนที่งานเลี้ยงดำเนินไปจนกระทั่งดวงจันทร์ลอยสูงกลางนภา จักรพรรดิหลิงเสียบิดขี้เกียจ หยัดกายลุกขึ้นจากไป สวี่ชิงก็ลุกขึ้นคำนับแม่นมซุน
สายตาแม่นมซุนขณะมองสวี่ชิงแฝงประกายล้ำลึก นางครุ่นคิดแล้วหยิบแผ่นหยกสามแผ่นมอบให้กับหนิงเหยียนข้างกาย
ให้หนิงเหยียนนำไปมอบให้กับสหายเก่าของตน หลังจากถึงเมืองหลวงจักรพรรดิ
หนิงเหยียนหันมองสวี่ชิงโดยสัญชาตญาณ สวี่ชิงพยักหน้าน้อยๆ หนิงเหยียนจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรับมาด้วยความเคร่งขรึม
จากนั้นก็จากไป
ระหว่างทางกลับไปที่ค่ายกลส่งข้าม ใต้แสงจันทรา เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยียนกำลังจมอยู่กับเรื่องในอดีต อารมณ์ดิ่งวูบ เดินตามสวี่ชิงไปเงียบๆ
จนเดินไปได้ครึ่งทาง สวี่ชิงจึงตบบ่าหนิงเหยียน
“ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็เป็นผู้ครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร”
คำพูดของสวี่ชิงเข้ามาในหู หนิงเหยียนพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เขาพ่นลมหายใจยาวๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอบใจนะขอรับลูกพี่
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่กลัวว่าจะทำให้ท่านอับอาย ข้าเป็นถึงองค์ชาย แต่กลับไร้สถานะในเมืองหลวงจักรพรรดิ ถูกผลักไสไปอยู่ชายขอบ ไม่มีใครอยากข้องแวะกับข้า
“ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดแม่ของข้าถึงได้เป็นบุคคลต้องห้ามในเมืองหลวงจักรพรรดิ…
“เดิมข้ามีพี่ชาย เราเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน เสด็จพี่เด็ดขาดกว่าข้า ฉลาดปราดเปรื่องกว่าข้า เขาดีกว่าข้าในทุกๆ ด้าน แม้ว่าจะเงียบขรึม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดขัดขวางเขาได้
“อีกทั้งเสด็จพี่ก็ดีกับข้ามากนัก ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าค่อนข้างขี้ขลาด เป็นเสด็จพี่ที่คอยปกป้องข้า แต่เขาก็จากไป หลังจากที่เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ได้สองวัน เขาก็ตายตามไปด้วย ทุกคนในตำหนักเองก็ตายไปพร้อมกับเขา ยกเว้นคนไร้ประโยชน์เช่นข้า
“จากนั้นข้าก็อาศัยในเมืองหลวงจักรพรรดิอย่างเคว้งคว้างไร้ที่พึ่งพา ทำได้เพียงระแวดระวัง อยู่ตัวคนเดียว
“ในเมืองจักรพรรดิอันกว้างใหญ่…”
หนิงเหยียนส่ายหน้าอย่างขมขื่น
“จนกระทั่งหลายปีให้หลัง ข้าได้รับราชโองการจากเสด็จพ่อให้ข้าไปยังเขตปกครองผนึกสมุทร ปกปิดตัวตน และบันทึกทุกอย่างเงียบๆ
“จากนั้นข้าก็ได้มาพบกับลูกพี่”
หนิงเหยียนมองสวี่ชิง ใต้แสงจันทร์ ในความเวิ้งว้าง เขากล่าวถ้อยคำที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ยให้กับผู้ใด เพราะตลอดทาง เขารู้สึกเหมือนสวี่ชิงเป็นพี่ชายของเขามากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดถึงใคร…เนิ่นนานกว่าเขาจะเอื้อมมือมาลูบผมหนิงเหยียน
“เมื่อไปถึงเมืองหลวงจักรพรรดิแล้ว ถ้าเจ้าไม่มีความสุข พวกเรากลับเขตปกครองผนึกสมุทรกันเถอะ”
“ขอรับ!” หนิงเหยียนพยักหน้าหนักๆ
สวี่ชิงยิ้ม แล้วเดินต่อไปข้างหน้า
พวกเขาเดินไปไกลเรื่อยๆ ภายใต้แสงจันทร์ จนกระทั่งหายลับไปที่เส้นขอบฟ้า
หลายวันต่อมา ค่ายกลส่งข้ามโบราณในเขตปกครองประชาสุขสงบก็ถูกเปิดใช้งาน พวกสวี่ชิงก้าวออกมาจากค่ายกลส่งข้าม พร้อมกับคนผู้หนึ่งเดินตามออกมาด้วย
นั่นคือองค์หญิงอันไห่
นางมาถึงก่อนที่ค่ายกลส่งข้ามจะถูกเปิด มุ่งหน้าไปยังแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิพร้อมกับพวกสวี่ชิง
หลังจากที่แสงของค่ายกลหายไป ห่างจากแดนใหญ่ธุลีสมุทรสามเขตแดน บนพื้นที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ค่ายกลที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของที่แห่งนั้นพลันส่องแสงเรืองรอง
ขนาดของค่ายกลนี้กว้างกว่าค่ายกลส่งข้ามโบราณที่อื่นๆ ที่สวี่ชิงเคยเห็นตลอดทาง มันใหญ่เป็นสามเท่า วัสดุที่ใช้สร้างน่าอัศจรรย์ ล้วนสร้างจากหินวิญญาณระดับสูง อีกทั้งมีก้อนหินล้อมรอบค่ายกลส่งข้ามนี้อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
ทุกอณูพื้นผิวสลักด้วยอักขระ ปล่อยระลอกคลื่นน่าสะพรึงกลัวออกมา
ยิ่งไกลออกไป มีค่ายทหารแห่งหนึ่งตั้งอยู่
หน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องค่ายกลส่งข้ามนี้ ขณะนี้มีทหารเผ่ามนุษย์ออกลาดตระเวนไปทั่ว
ค่ายกลเช่นนี้ไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียวบนแผ่นดินนี้ ปลายทางต่างกัน ค่ายกลที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็มีหลายแห่ง
สำหรับที่นี่ มันเป็นวงกลม!
มันเหมือนกับวงแหวนขนาดมหึมา ใหญ่พอๆ กับดินแดนเล็กๆ
แต่ที่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์เท่านั้น
ในวงแหวนมหึมานี้ ถูกคั่นด้วยทะเลแห่งความว่างเปล่า และยังมีพื้นที่ที่เป็นวงแหวนอีกวงที่อยู่ลึกกว่านั้น และมีวงแหวนเช่นนี้ซ้อนภายในอีกหลายร้อยชั้น
และที่จุดกึ่งกลางมีดาวดวงใหญ่ถูกรายล้อมด้วยวงแหวนนับร้อย สุกสกาวน่าอัศจรรย์ ต่อให้อยู่ห่างไกลลิบก็เห็นเงาของมันได้รางๆ
มันไม่ได้สร้างจากดิน ทว่าอยู่ในสถานะเป็นไอ!
เมฆหมอกปกคลุม บางครั้งก็มีน้ำวนวงแล้ววงเล่าปรากฏขึ้นดั่งพายุคลั่ง พร้อมด้วยสายฟ้าแปลบปลาบ ส่งเสียงครืนครันไปทั่วทิศทาง
มันคือดาวอากาศธาตุขนาดมหึมาและน่าทึ่ง
วงแหวนรายล้อมดวงดวง เปรียบดั่งแผ่นดินใหญ่รูปวงแหวนซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า
ภายใต้ดวงดาวมหึมาดวงนี้เป็นหุบเหวอันมืดมิด
“ที่นี่คือแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ!
“พื้นที่ทั้งแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิลอยอยู่กลางอากาศซึ่งเห็นได้ด้วยตาเปล่า เบื้องล่างเป็นหุบเหวมองไม่เห็นก้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วมีอะไรอยู่ข้างใน แต่มีตำนานเล่าว่าที่นั่นจะนำทางไปสู่สถานที่นามว่านภาจรัส
“และลักษณะของแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ เป็นดาวอากาศธาตุอันน่าอัศจรรย์ เมื่อหลายปีก่อนจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวดึงลงมาจากฟากฟ้าแสนไกลและหล่อหลอมเป็นวังหลวงโบราณของเขา ตอนนี้เป็นพื้นที่เดิมของเผ่ามนุษย์ของข้า
“แม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปภายในดาวอากาศธาตุ มีเพียงจักรพรรดิมนุษย์และรัชทายาทที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมในอนาคตเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปสัการะบรรพบุรุษ
“และวงแหวนรอบดาวอากาศธาตุร้อยชั้นนี้ ก็คือที่ราษฎรอย่างเราๆ อาศัยอยู่ ใต้ฝ่าเท้าของเราเป็นชั้นที่อยู่นอกสุด ที่นี่ดูเหมือนผืนดิน แต่ที่จริงแล้วก่อตัวขึ้นจากพลังวิเศษ
“วงแหวนของดาวนี้เรียงตัวจากชั้นนอกเข้าไปชั้นใน ยิ่งอยู่ใกล้ดาวอากาศธาตุมากเท่าไร ยิ่งมีเงื่อนไขการอยู่อาศัยและระดับชนชั้นสูงขึ้นมากเท่านั้น ส่วนชั้นที่อยู่ข้างในสุด…เป็นชั้นของเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ของเรา”
บนวงแหวนชั้นนอกสุดของดาวอากาศธาตุ เมื่อค่ายกลส่งข้ามส่องแสงเรืองรอง ร่างของพวกสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับองค์หญิงอันไห่
เมื่อร่างเผยออกมา เสียงขององค์หญิงอันไห่ก็พลันดังขึ้น
ชาวเขตปกครองผนึกสมุทรตกตะลึงกับทิวทัศน์อันกว้างใหญ่เบื้องหน้า แม้ว่าจะมองเห็นได้ไม่ไกลนักเนื่องจากพลังบำเพ็ญที่จำกัด แต่คำบอกเล่าขององค์หญิงอันไห่ก็กลายเป็นภาพฉากในจิตใจของผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร
ทว่านายกองกลับเม้มปากไม่สนใจ จื่อเสวียนกลับจ้องมองรูปร่างของดวงดาว ดวงตาฉายแววสับสน
คนอื่นๆ แม้ว่าจะตกใจแต่ก็รีบข่มอารมณ์เอาไว้อย่างรวดเร็ว ได้สติกลับคืนมา ต่างคนต่างเงียบ สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา เบนสายตามององค์หญิงอันไห่ข้างกาย พยักหน้าน้อยๆ
สีหน้าองค์หญิงอันไห่ราบเรียบเป็นปกติ แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง นางรู้ว่าแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์เป็นดินแดนแห่งแรกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่จักรพรรดิโบราณสร้างขึ้น จึงต่างจากแดนใหญ่ทั่วไป การได้เห็นเป็นครั้งแรกย่อมยากที่จะสุขุม ทว่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรก่อนหน้าก็เป็นเช่นนี้ ตั้งสติได้ง่ายดายเหลือเกิน
ทว่านางระงับความแปลกใจได้อย่างรวดเร็ว และออกเดินทางต่อไปพร้อมกับพวกสวี่ชิง หลายวันผ่านไป ด้วยการจัดสรรขององค์หญิงอันไห่ พวกเขาเดินทางมาถึงวงแหวนชั้นในสุดของเมืองหลวงจักรพรรดิเช่นนี้เอง
ยิ่งเข้าใกล้เท่าไร พวกเขายิ่งมองเห็นดาวอากาศธาตุดวงใหญ่ได้ชัดขึ้น
ดาวดวงนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอกลอยคว้าง บางครั้งก็เคลื่อนคล้อยราวกับเปิดม่าน เผยให้เห็นรูปปั้นจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวอันน่าอัศจรรย์ออกมา
รูปปั้นนั่งสมาธิบนดาวดวงนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่ก็สมจริงและน่าเกรงขามยิ่ง