ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 75 ฆ่าปลา!
บทที่ 75 ฆ่าปลา!
ลมกลางคืนดุจคมเคียวอาบเลือดที่ทูตแห่งความตายแบกเอาไว้ มาพร้อมกับกลิ่นคาว มาพร้อมกับความเหนียวเหนอะ คืบคลานไปทั่วทุกมุมในเมือง
เงาร่างทูตแห่งความตายเหมือนได้ผสานเป็นหนึ่งกับเงาทุกอย่างในเมือง เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในความมืดท่ามกลางเสียงแตรแห่งการสังหาร หลอมรวมไม่ต่อเนื่อง แผ่กระจายออกไปต่อเนื่อง ราวกับไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น และมากพอจะทำให้สรรพชีวิตที่คิดจะดิ้นรนสิ้นหวัง
จวบจน…มันพบกับคนคนหนึ่งในเงาขณะแผ่ลามและเคลื่อนไปข้างหน้า ณ มุมมืดมิดที่ห่างไกล
นั่นเป็นเงาร่างที่สวมชุดนักพรตสีเทา แผ่นหลังของเขาคล้ายว่าดาบฟันไม่ขาดเข็มแทงไม่เข้า กลิ่นอายเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมาคล้ายปิดกั้นแสงดาวบนท้องฟ้าในความมืด
ชวนให้คนหายใจไม่ออก
ในเสี้ยวขณะนี้เหมือนแม่น้ำที่โหมทะลักเจอกับมหาสมุทร เหมือนฝูงหมาไนที่ละโมบเจอกับราชาหมาป่า
ฝีเท้าของมันหยุดลง ร่างไร้รูปสงบนิ่งกลืนไปกับสภาพแวดล้อมเหมือนจะกำลังจับสังเกตท่ามกลางความเงียบสงัด จนเมื่อเงาร่างสีเทาร่างนั้นหันมาอย่างช้าๆ ดวงตาเย็นเยียบทั้งสองฉายแววสงบนิ่งดุจบ่อน้ำสีดำออกมา
มันหัวเราะ
เหมือนเจอผู้ที่ศรัทธา เหมือนเจอสหายร่วมวิถี มันแบกเคียวแห่งความตายเอาไว้พลางโห่ร้องไปทั่ว เงาร่างสีเทาร่างนี้ พัดผมยาวของเขาปลิวสยาย พัดชุดคลุมยาวปลิวสะบัด
“ลมคืนนี้ค่อนข้างแรงเสียด้วย” สวี่ชิงเอ่ยพึมพำเสียงเบา หันหน้าไปจ้องบ้านที่อยู่ไกลๆ ในความมืดต่อ
บ้านในสายตาของเขาเหมือนโลงศพโลงหนึ่ง แผ่ความหนักหน่วงออกมาท่ามกลางความมืด นั่นเป็นที่พักอาศัยของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่เขาค้นพบในช่วงนี้
อีกฝ่ายไม่เหมือนลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด เหมือนจะไม่มีสิทธิ์ครอบครองเรือเวท ดังนั้นบริเวณที่พักอาศัยได้จึงเลือกได้แค่บนฝั่งเท่านั้น อาศัยอยู่กับคนติดตาม
สวี่ชิงจับจ้องอย่างสงบนิ่ง ไม่รีบร้อนกระวนกระวาย เสียงลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอของเขาเหมือนวารีเย็นเยียบคดเคี้ยวที่ทอดยาวและล้ำลึกในความมืด
เขากำลังรอ
กลิ่นอายที่เป็นสัญลักษณ์บอกสวี่ชิงอย่างแม่นยำว่าคนที่เขารออยู่ที่นี่
อีกทั้งวิเคราะห์จากกิจวัตรอย่างการออกไปข้างนอกเพียงลำพังของอีกฝ่ายเมื่อครั้งที่แล้ว ช่วงสองสามวันนี้น่าจะใกล้ถึงเวลาที่ปลาตัวนี้จะออกไปข้างนอก โดยเฉพาะวันนี้…ที่อีกฝ่ายอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
ดังนั้นสวี่ชิงรู้สึกว่าความเป็นไปได้ในคืนนี้ ตนรอได้
เวลาไหลไป หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ยามเมื่อดวงจันทร์บนท้องฟ้าถูกเมฆดำบดบังอีกครั้ง ลมราตรีพัดมาระลอกหนึ่ง บ้านที่ถูกฝังอยู่ในความมืดก็มีเสียงลมพัดกระทบดังมา
เสียงนี้ขับเน้นให้บ้านที่เหมือนโลงศพหลังนี้ยิ่งเหมือนเสียงคำรามแหบแห้งก่อนตายดังสะท้อนในท้องฟ้าราตรีที่เงียบสงบ
เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนกำแพงสูงของบ้าน
ชุดนักพรตสีเทาปกปิดกลิ่นคาวปลาที่แผ่ซ่านมาจากทั่วร่างไม่มิด ดวงตาสีเขียวราวอัญมณีเหมือนจะเปลี่ยนสันดานเหี้ยมโหดไม่ได้
เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่โบกสะบัดกลางสายลมแปลงเค้าโครงร่างให้ดูเหมือนใหญ่โตทรงพลัง แต่ชั้นบางๆ นั้นเหมือนเป็นหนังมนุษย์ที่ถูกเลาะออกมาแล้วมากกว่า
เขาก็คือเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นนั่นเอง
วันนี้อารมณ์ของเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด เรื่องเมื่อเช้าทำให้เขารู้สึกถูกหยามหมิ่นอย่างรุนแรง
“องค์หญิงใหญ่ของยอดเขาที่เจ็ดแล้วอย่างไร ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งข้าจะฉีกทึ้งทรมานเจ้าแน่ ใช้ร่างของเจ้ามาเลี้ยงสัตว์ประหลาดผีร้าย!” เด็กหนุ่มเผ่าเงือกกัดฟันกรอด ความไม่สบอารมณ์ทำให้เขาเลือกที่จะออกไปข้างนอกก่อนกำหนดหลายวัน เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องออกไประบายอารมณ์สักหน่อย
และวิธีการระบายอารมณ์นั้น เขาได้ให้พี่สาวทั้งสองคนจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่สตรี แต่เป็นเด็กเล็ก
นี่เป็นความชอบที่จะให้ผู้คนรู้ไม่ได้ เขาชอบทรมานสังหารเด็กเล็กต่างเผ่า ใช้เรื่องนี้มาสร้างความสุขให้ตัวเอง
ตอนนี้ร่างเพียงไหววูบก็เดินเข้าไปในความราตรีมืดมิด
ร่างของเขาค่อยๆ รางเลือนไปตามการเคลื่อนไปข้างหน้า สุดท้ายก็หายลับไป ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นหรือความรู้สึก ในตอนนี้ล้วนไม่สามารถจับเป้าหมายได้ เหมือนจู่ๆ ก็ไร้ตัวตน
แต่สัญลักษณ์กลิ่นไม่มีทางหายไป
สวี่ชิงเงยหน้า มองเงาร่างของอีกฝ่ายที่หายไป สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ก้าวเท้าไปอย่างเงียบงันเข้าไปในความมืดเช่นเดียวกัน
ลมพัดแรงขึ้น ดุจการต้านทานกันของคมดาบกับอากาศ ส่งเสียงสะท้อนไม่หยุดในคืนที่เงียบสงบคืนนี้
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในมุมหนึ่งของตรอกตอนนี้รางเลือนบิดเบี้ยว เงาร่างของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และในเสี้ยวพริบตาที่เขาปรากฏตัวขึ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตราย ร่างพลันถอยหลังไปทันที
แต่ก็ยังช้าไป ม่านน้ำหนาๆ ทางหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังเขาในเสี้ยวพริบตา ทั้งยิ่งปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศแล้วปกคลุมตรอกแห่งนี้ เสียงคำรามต่ำทุ้มก็ดังมาจากม่านน้ำข้างหน้าในพริบตาที่ปิดผนึกอย่างแน่นหนา
วาฬตัวมหึมาที่เกิดจากวิชาเวทตัวหนึ่งปรากฏขึ้นพุ่งออกมาจากม่านน้ำอย่างรวดเร็ว
แผ่ความเย็นเยือก แผ่จิตสังหาร อ้าปากกว้างไปหาเด็กหนุ่มเผ่าเงือก เผยให้เห็นเขี้ยวคมวาววับที่มาพร้อมกับพลังมหาศาล พุ่งไปกลืนกิน
เด็กหนุ่มเผ่าเงือกสายตาเหี้ยมโหด
“น่าสนใจดี วันนี้อารมณ์ไม่ดีพอดีเลย เช่นนั้นก็เล่นกับเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน”
ระหว่างพูดมือทั้งสองของเขาก็ยกขึ้น กำลังจะประสานปางมือ ทว่าในเสี้ยวพริบตานี้ เงาที่ผสานรวมไปกับความมืดก็แยกออกมาเป็นเส้นๆ เหมือนกับโซ่ พุ่งเข้ามาจากทุกทิศอย่างเร็วรี่ รัดแขนและปกคลุมที่ฝ่ามือของเด็กหนุ่มเผ่าเงือก ทำให้เขาไม่สามารถประสานปางมือได้สำเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่ปกคลุมฝ่ามือ เงานี้ก็พุ่งไปที่คอของเขาแล้วแผ่ลามไปอย่างรวดเร็ว
และไม่ว่าจะเป็นมือทั้งสองข้างของเขาหรือเป็นผิวที่สัมผัสเข้ากับเงานี้ ล้วนแต่ส่งความเจ็บปวดรุนแรงปานทะลุทะลวงหัวใจในเสี้ยวขณะเหมือนกำลังถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้กะทันหันมาก สีหน้าของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกจึงเปลี่ยนไปมหาศาลเป็นครั้งแรก
วิกฤตชีวิตความเป็นตายรุนแรงและความเจ็บปวดมหาศาลทำให้ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ในขณะที่เขาดิ้นรน วาฬที่แปลงมาจากม่านน้ำด้านหน้าก็มาอยู่เบื้องหน้าแล้วกลืนกินเขาลงไปด้วยรัศมีอำนาจน่าหวาดกลัว
แต่ในเสี้ยวพริบตาที่วาฬตัวนี้อ้าปากกกลืน เด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็ส่งเสียงคำรามออกมา แสงสีฟ้าสายหนึ่งปะทุออกมาจากร่างของเขา ลำแสงประดุจหนามคม ในขณะที่พยายามลองขับไล่เงาบนร่างของเขา ก็ยิงออกไปรอบๆ ด้วย
ปะทะเข้าตรงๆ กับวาฬที่พุ่งเข้ามา วาฬแหลกสลายทันที แต่ไม่ได้แตกกระจายไปรอบๆ เศษพลังที่เหลือเหมือนคลื่นทะเลโหมซัด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เด็กหนุ่มเผ่าเงือกสั่นสะท้านไปทั้งกาย ร่างถอยหลังไป เลือดสดๆ กระอักออกมา ฉวยโอกาสที่แสงสีฟ้าทำให้เงาแปลกประหลาดทั้งหมดนี้เชื่องช้า สีหน้าของเขาฉายแววดุดันเหี้ยมโหดออกมา กำลังจะเปิดถุงเก็บของ
แต่ในตอนนี้เงามืดที่แผ่ลามทั่วร่างของเขาปะทุขึ้นมาอีกรอบ แล้วพันรัดมือทั้งสองของเขาอีกครั้ง หลังจากที่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขาก็แผ่ลามไปทั่วร่างของเขาต่อ
ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มเผ่าเงือกหวาดกลัวโดยสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นในเสี้ยวขณะนี้ ประกายเย็นเยียบสีดำทางหนึ่งก็พุ่งมาที่หว่างคิ้วของเขาอย่างรวดเร็วจากที่มืด
ข้างหลังแสงเย็นเยียบนี้ เขามองเห็นเงาร่างเงาหนึ่ง…เงาร่างสีเทาที่พุ่งออกมาจากม่านน้ำข้างหน้า!
ความเร็วประดุจสายฟ้าสีหม่นสายหนึ่ง
เป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน ผมดำปลิวพลิ้ว ใบหน้าไร้อารมณ์ มีเพียงแสงจากดวงตาเท่านั้นที่เผยความเย็นเยียบสุดขั้วออกมาจากความสงบนิ่ง
ลมที่พัดวนล้อมรอบๆ เขาเหมือนแปรเปลี่ยนเป็นคมเคียว ข้างกายเขาประดุจมีทูตแห่งความตายกำลังยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม สะบัดเสื้อคลุมสีดำพุ่งมาอย่างรวดเร็วตามเงาของเขา
“เป็นเจ้า!!” เด็กหนุ่มเผ่าเงือกจำสวี่ชิงได้ ท่ามกลางวิกฤตความเป็นความตายก็พลันอ้าปากพ่นประกายแสงสีเงินทางหนึ่งออกมาขณะพูด
ประกายแสงสีเงินสายนี้ตั้งรับลมอย่างชำนิชำนาญ เพียงพริบตาก็กลายเป็นมีดวงจันทร์เล่มมหึมาพุ่งไปหาเหล็กแหลมสีดำข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันทันที ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากอาวุธที่กระทบกัน
พลังที่แฝงอยู่มหาศาลนัก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นมีดวงจันทร์หรือเหล็กแหลมสีดำล้วนแฉลบออกไปจากการพุ่งปะทะกันครั้งนี้ ในตอนที่ปักไปข้างๆ ก็ไม่อาจขวางกั้นสายตาของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกและสวี่ชิงที่สบตาประจันกันอีกครั้งได้
พริบตาที่สายตาของทั้งคู่ประสานกัน สวี่ชิงก็เข้าประชิดทันที ในขณะเดียวกันแก้มของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็พลันพองขึ้นมาเหมือนมีหนามแหลมเป็นเล่มๆ บนใบหน้า ทำให้สีหน้าของเขาดูเหี้ยมโหด อ้าปากแล้วพ่นลูกปัดสีฟ้าออกมาเม็ดหนึ่ง
“ตายซะ!” เด็กหนุ่มเผ่าเงือกคำราม ลูกปัดสีฟ้าระเบิดลำแสงที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าออกมาทันที เข้าประชิดสวี่ชิงแล้วครอบเขาเอาไว้
เขามั่นใจว่าภายใต้สุดยอดเคล็ดวิชาของตัวเองวิชานี้ ต่อให้เป็นระดับรวมปราณบริบูรณ์ก็น้อยนักที่จะมีคนโชคดีรอดไปได้ นอกเสียจากจะเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเท่านั้น มุมปากจึงยกยิ้มเหี้ยมเกรียม กำลังจะสะกดเงาแปลกบนร่างของตัวเองต่อ
ทว่าเสี้ยวพริบตาต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล กระทั่งว่าฉายแววหวาดกลัวออกมาตามเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวจากในลำแสงสีฟ้าที่อยู่ข้างหน้าดังขึ้น
ในขณะที่ลำแสงสีฟ้าเข้าปกคลุม เงาร่างมหึมาร่างหนึ่งก็ยืนค้ำฟ้ายันปฐพีรับแสงนั้นข้างหน้าของเขา
เงาร่างนั้นดำทะมึนทั้งร่าง ที่หัวมีเขาเดียว เหี้ยมเกรียมประดุจผีร้าย ทั้งร่างมีหนามคมเป็นแถวๆ เหมือนเป็นนายของเหล่าผีทั้งหลาย
ตอนนี้มันกำลังคำรามไร้เสียงมาทางแสงสีฟ้า มือใหญ่ยกขึ้นบดบังลำแสงแล้วคว้าออกไป
มันคือ…เงาขุย!
ใต้เงาขุยสีดำมหึมาเงานี้ คือสวี่ชิงที่หน้าตาไร้อารมณ์ พุ่งมาหาเด็กหนุ่มเผ่าเงือกอย่างรวดเร็ว
ทั้งร่างของเขามีบาดแผลที่เกิดจากลำแสงมากมาย แต่ล้วนสมานตัวอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จิตสังหารในดวงตาปะทุออกมาอย่างสมบูรณ์ในเสี้ยวพริบตานี้
ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้านี้ที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือกแย่งชิงความดีความชอบ หรือจะเป็นการลงมือในร้านค้า สวี่ชิงล้วนไม่เคยลงมืออย่างสุดกำลัง เงาไม่เคยขยับ เงาขุยไม่เคยปรากฏออกมา และพลังฟื้นฟูก็ยังไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น
ประกายคมของเขาปรากฏออกมาเพียงเสี้ยวพริบตาที่ฆ่าคนเท่านั้น
“เลือดลมหลอมเป็นเงา! แล้วก็พลังบำเพ็ญของเจ้า! เป็นไปไม่ได้ พลังฟื้นฟูของเจ้า นี่…” สีหน้าของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วิกฤตชีวิตความเป็นตายแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นกลัว พูดจาอึกอัก
เขาอยากจะเปิดถุงเก็บของ อยากจะใช้แผ่นหยกสื่อเสียงขอความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้เงามืดเหมือนมีชีวิตและสังเกตความคิดของเขาได้ รัดมือทั้งสองของเขาไว้แน่น ทำให้เขาไม่สามารถยกมือหยิบของใดๆ ได้ ส่วนสวี่ชิงก็ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย ประชิดเข้ามาใกล้ทันที มือขวาปรากฏกริชประกายแสงเย็นเยียบกะพริบวาบเล่มหนึ่งขึ้นมา
เด็กหนุ่มเผ่าเงือกมองกริชเล่มนี้ ส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนว่าเงามืดตอนนี้รัดอยู่ที่คอ และไม่ได้ไปสนใจบริเวณที่ถูกปกคลุมกำลังถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง
ช่วงวิกฤตสำคัญ ร่างของเขาไหววูบ ขาทั้งสองยกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วรางเลือนไปทันที มันแปรเปลี่ยนเป็นหางปลาสีดำ ซัดไปทางสวี่ชิงที่เข้ามาอย่างเต็มกำลัง ในเสี้ยวพริบตานี้พรสวรรค์ของสายเลือดเขาก็ปะทุออกมาอย่างเต็มที่ เงาร่างเงือกที่ปรากฏออกมานอกร่างผสานรวมกับหางปลา เกิดเป็นการโจมตีอันแข็งแกร่ง
สวี่ชิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ความเร็วไม่ลดลง ประชิดเข้าไปในชั่วพริบตา มือขวายกขึ้นชกออกไปหมัดหนึ่ง เงาขุยข้างหลังคำรามผสานเข้าไปด้วย ซัดไปพร้อมกัน
เนื้อหนังปริแตก เลือดเนื้อสาดกระเซ็น
หางปลามหึมาแหลกเป็นชิ้นๆ เงาเงือกระเบิดสลายไปใต้หมัดเงาขุย
ผืนดินรอบๆ สั่นสะเทือน เสียงร้องโหยหวนน่าสมเพชดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่มเผ่าเงือก แต่ม่านน้ำรอบๆ หนามาก เสียงของเขาจึงถูกผนึกเอาไว้ในตรอกอย่างแน่นหนา
“ข้าขอสาปแช่ง!!” ท่ามกลางเสียงร้องน่าสังเวชนี้ เด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่สูญเสียท่อนล่างไปแล้วดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ในขณะที่คำราม เลือดเนื้อของหางปลาที่แหลกเละก็เหมือนมีชีวิต เริ่มลุกไหม้แล้วหลอมรวมจากทั่วทุกทิศมายังบริเวณที่สวี่ชิงอยู่อย่างรวดเร็ว ปกคลุมในเสี้ยวพริบตา
แม้การหลอมรวมนี้จะเร็ว แต่กลับเร็วไม่เท่าสวี่ชิง แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่เลือดเนื้อปกคลุมร่างของเขา เนื่องจากรวดเร็วถึงขีดจำกัดสูงสุดจึงเหลือไว้เพียงรอยเงาที่ถูกเลือดเนื้อเงือกสาปแช่งปกคลุม
ส่วนร่างจริงของเขาตอนนี้มาปรากฏขึ้นข้างหลังเด็กหนุ่มเผ่าเงือก ไม่รอให้เลือดเนื้อหางปลาพุ่งผ่านอากาศ กริชเย็นเยียบเล่มหนึ่งก็แตะมาที่คอของเขาแล้ว
“สวี่ชิง ข้า…”
ร่างของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกสั่นสะท้าน เสียงแหลมร้อนรน แต่ไม่มีโอกาสให้ได้พูดต่อ หลังจากที่พูดสามคำนี้ออกมาพร้อมกับสัมผัสอันเย็นเยียบจากกริช…
สวี่ชิงปาดอย่างดุดันเฉียบขาด เขาไม่มีนิสัยฟังคำสั่งเสียก่อนตาย
เสียงปาดเฉือนที่คุ้นเคยดังสะท้อน
เลือดสดๆ สาดกระจายออกมาทันที ร่างของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกกระตุกเกร็งอย่างรุนแรงในเสี้ยวพริบตา เหมือนปลาที่ถูกสับคออยู่บนเขียง
ดวงตาของเขาเบิกโพลง อยากจะหันหน้ากลับมา แต่กลับทำไม่ได้ หลังจากที่หายใจเหมือนลมรั่วอยู่สามสี่ที ก่อนที่ร่างที่ล้มลงจะสูญสิ้นสัมปชัญญะ ในที่สุดเขาก็มองเห็นใบหน้าของสวี่ชิงที่อยู่ข้างบน
“เสื้อสกปรกเพราะเจ้าหมดแล้ว” สวี่ชิงพูดเสียงเบา นี่เป็นคำพูดเพียงประโยคเดียวนับตั้งแต่ต้นจนจบ
“เจ้า…”
เลือดที่คอของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกยังคงไหลออกมา ในขณะที่ร่างที่สั่นเทิ้มของเขาค่อยๆ สูญเสียลมหายใจไปนั้น ในดวงตาทั้งสองข้างที่ยังคงเบิกโพลง หลงเหลือไว้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้ หลงเหลือความไม่อยากเชื่อ เหมือนว่าไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็คิดไม่ถึงว่า ตัวเองที่เป็นบุคคลเก่งกาจล้ำเลิศถึงเพียงนี้จะมาตายอยู่ที่นี่ได้
ดับดิ้นหมดสิ้นลมหายใจ
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง แกะของวิเศษอักขระเพิ่มความเร็วที่ขาออก หยิบถุงเก็บของของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถเปิดออกได้ หมุนตัวเดินออกไปนอกตรอก เงาที่อยู่บนศพของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็หดกลับมาที่ใต้เท้าสวี่ชิงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
จนเดินไปถึงปากตรอก ฝีเท้าของสวี่ชิงไม่เคยหยุดและไม่เคยหันกลับไปมอง เพียงแต่มือขวายกขึ้นข้างหลังแล้วออกแรงบีบ
ทันใดนั้น ม่านน้ำที่ปกคลุมตรอก ผนึกที่แห่งนี้อย่างแน่นหนาก็สั่นสะเทือนรุนแรงแล้วเริ่มเคลื่อนที่จากใหญ่ไปเล็ก จากข้างนอกสู่ข้างใน โดยมีศพของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกเป็นศูนย์กลาง หดเล็กลงในพริบตา ความเร็วน่าตื่นตะลึง สุดท้ายก็ส่งเสียงบึ้มดังขึ้น พลังกดดันทั้งหมดที่มาจากรอบๆ ม่านน้ำรวมมาที่ศพของเด็กหนุ่มเผ่าเงือก
ร่างของเงือกพร้อมทั้งเศษเนื้อในตรอกสลายไปโดยสมบูรณ์ในเสียงดังสนั่นหวั่นไหวนี้ ไม่มีเศษซากหลงเหลือแม้แต่น้อย ร่างกายและจิตวิญญาณสลายสิ้น
จนสวี่ชิงเดินจากไปไกล
ม่านน้ำค่อยๆ สลายแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำตกลงมาในตรอกที่เงียบงันแห่งนี้ ชะล้างทุกสิ่ง ทำให้พื้นดินสะอาด ชะล้างกลิ่นคาวเลือดทั้งหมด ยิ่งทำให้แสงรุ่งอรุณที่อยู่ไกลๆ ค่อยๆ ลอยขึ้น สาดส่องมายังที่แห่งนี้ได้อย่างราบรื่น สะท้อนมายังแอ่งน้ำบนพื้นเกิดเป็นแสงเจิดจ้า
จากฟ้ามืดจนฟ้าสว่าง สำหรับท้องฟ้าแล้วเป็นเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น สำหรับมนุษย์ก็เช่นกัน
เหมือนความเป็นและความตาย