ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 751 มหาจักรพรรดิครองกระบี่
บทที่ 751 มหาจักรพรรดิครองกระบี่
เสียงนี้เพียงดังออกมา แผ่นดินเมืองหลวงแผ่ระลอกคลื่น สิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วนต่างสั่นไหวตาม แม้แต่ค่ายกลในเมืองก็กะพริบแสงวูบวาบ บนท้องฟ้า สายรุ้งมากมายปรากฏขึ้น ราวนิมิตมงคล
ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ในเมืองหลวง ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนแต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด ในนั้นมีจำนวนไม่น้อยสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม
เพราะการมาของสวี่ชิงเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นก็สั่นคลอนจิตใจผู้คนมากมาย
คนอื่นมองไป พลังของสวี่ชิงน่าตื่นตะลึงครั่นคร้าม ทำให้อ๋องสวรรค์แตกดับ ครอบครองแผ่นดินใหญ่ไปหนึ่งแดนครึ่ง ยิ่งเป็นพันธมิตรกับแดนใหญ่เซ่นจันทรา มีประสบการณ์สังหารเทพที่หาได้ยากยิ่ง
เรื่องราวเหล่านี้ คนธรรมดาทั่วไปมีหนึ่งข้อก็เป็นผู้เลิศล้ำเกินใครแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวี่ชิงที่มีครบทุกข้อ
โดยเฉพาะเขาฝ่าเข้าค่ายกล แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการลงมือ ดวงตะวันแห่งแสงอรุณสยบทั่วทุกทิศ และหลังจากนั้นมาคารวะรูปสลักมหาจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิครองกระบี่ในช่วงหลายปีเนิ่นนานมานี้ ส่งเสียงแห่งการฟื้นตื่นเป็นครั้งที่สี่
เรื่องราวต่างๆ นี้ทำให้สวี่ชิงถูกจับตามองอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระทางนี้ตอนนี้นึกทอดถอนใจ แม้เขาจะไม่กล้าส่งสื่อเสียงหาสวี่ชิงในช่วงเวลาสำคัญนี้ แต่ระลอกคลื่นในใจเขาไม่เล็กเลยเช่นกัน
เขารู้สึกว่า ตามตำราโบราณที่ตัวเองได้อ่าน โดยปกติแล้วตัวละครเอกไม่มีทางทำอย่างนี้ มักจะลงมือทำเรื่องจัดการเรื่องราวอย่างสงบเสงี่ยม…มีแค่ศัตรูของตัวละครเอกเท่านั้น ตัวร้ายระดับสุดยอดบางตัวในตำราโบราณ คนประเภทนี้หลังจากเดินทางกลับจากทำภารกิจเสร็จสิ้น ถึงจะมีฉากที่สะท้านสะเทือนไปทั่วสารทิศแบบนี้
ฉากแบบนี้ เขาเคยศึกษามาก่อน ส่วนมากก็เพื่อดึงความน่ากลัวของศัตรูให้เด่นชัด และสร้างเป้าหมายให้กับตัวละครเอก จากนั้นก็ให้ตัวละครเอกเอาชนะไปทีละก้าวๆ ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้สึกพอใจมีความสุขที่ตัวละครตัวเล็กๆ เอาชนะตัวละครตัวใหญ่ๆ ได้
‘นี่…นายท่านทางนี้บทสลับแล้วหรือเปล่า’
บรรพจารย์สำนักวัชระในใจสั่นสะท้านเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสวี่ชิงและตำราโบราณที่ตนอ่านแตกต่างกันอย่างมาก
เขายังเป็นแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนทั้งหลายในเมืองหลวงที่ไม่เข้าใจในตัวสวี่ชิงเลย
และการกระทำของสวี่ชิง นับจากศักราชเสวียนจั้นมา ก็น้อยนักที่จะมีคนเขย่าเมืองหลวงทั้งเมืองให้สั่นคลอนเช่นนี้
โดยเฉพาะการฟื้นตื่นของมหาจักรพรรดิครองกระบี่ ความยิ่งใหญ่ของเรื่องนี้สามารถจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ได้
รูปสลักมหาจักรพรรดิครองกระบี่ ในบันทึกตำราโบราณกล่าวไว้ว่าอยู่ในสภาวะหลับใหล มีเพียงเวลาทดสอบผู้ครองกระบี่จากที่ต่างๆ เท่านั้นจึงจะแบ่งจิตออกมา ทำหน้าที่ในการหยั่งจิตใจ
ก่อนหน้านี้มันฟื้นตื่นขึ้นมาสามครั้ง
ครั้งแรกคือในยุคจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่ง หลังจากที่เผ่ามนุษย์พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เฉินซูเยี่ยนเจ้าวังครองกระบี่ในตอนนั้น ก่อนตายได้อัญเชิญมหาจักรพรรดิ ร้องขอให้ฟื้นตื่น
ในเสี้ยวขณะนั้น รูปสลักมหาจักรพรรดิครองกระบี่ฟื้นตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก และเพราะการฟื้นตื่นครั้งนั้นทำให้เผ่านภาคิมหันต์ติดด้วยผลกรรมเวรบางอย่าง ไม่ได้เลือกที่จะทำการล้างเผ่าพันธุ์
ครั้งที่สองเป็นยุคจักรพรรดิมนุษย์จิ้งอวิ๋น หวางเขิ่นเจ้าวังครองกระบี่ในยุคนั้น ในยามที่รัฐทายาทรัฐม่วงครามถูกหมื่นเผ่าล้อมโจมตี ได้ถือกระบี่บุกเข้าวัง…นับจากนั้น ก็ไม่ได้กลับคืนมา
และมหาจักรพรรดิครองกระบี่ได้ฟื้นตื่นขึ้นในวันนั้น จ้องมองไปทางใต้ ส่งเสียงทอดถอนใจออกมา
ครั้งที่สาม ห่างจากครั้งนี้ไม่นานนัก นั่นเป็นในทันทีที่จักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นขึ้นครองราชย์ มหาจักรพรรดิฟื้นตื่น จ้องมองมาที่เขา ในสายตามีแววล้ำลึก มีความเข้มงวด ที่มากกว่านั้นคือความคาดหวัง
ในบันทึกโบราณ วันนั้นมหาจักรพรรดิได้ได้ส่งสื่อจิตให้จักรพรรดิมนุษย์ แต่รายละเอียดนอกจากจักรพรรดิมนุษย์แล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้ คนนอกเห็นเพียงหลังจากจักรพรรดิมนุษย์เงียบนิ่งไปสามสี่อึดใจ ก็โค้งคารวะมหาจักรพรรดิ สายตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
วันนี้เป็นครั้งที่สี่
เพียงพริบตา สายตานับไม่ถ้วน จิตเทพนับไม่ถ้วน จากทั่วทุกตำแหน่งในเมืองหลวงก็จับเป้าหมายมา และเรื่องนี้ก็เหมือนลมพายุ โหมกวาดไปในแผ่นดินใหญ่เผ่ามนุษย์อย่างรวดเร็ว
เสียงวิพากษ์วิจารณ์และการส่งสื่อเสียงจากทั่วทุกทิศก็ดังสะท้อนมาในจิตใจ ณ เสี้ยวขณะนี้
และรายงานข่าวของสวี่ชิง สำหรับทุกๆ ฝ่ายในเมืองหลวงแล้วก็ไม่ใช่ความลับอะไร การหยั่งใจประกายแสงหมื่นจั้งของเขาก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
ดังนั้นไม่นานนัก ฝ่ายต่างๆ ก็เดาถึงเหตุผลได้
“ในข้อมูลของสวี่ชิงมีประเด็นสำคัญข้อหนึ่ง นับจากศักราชเสวียนจั้นมา เขาเป็นผู้ครองกระบี่คนแรกที่ได้ประกายแสงหมื่นจั้ง! เรื่องนี้บางทีอาจจะเป็นเหตุผลที่มหาจักรพรรดิฟื้นตื่นเพื่อเขา!”
ในวังหลวง หอหงส์เพลิงตะวัน องค์หญิงอันไห่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองรูปสลักมหาจักรพรรดิครองกระบี่ ในหัวมีเรื่องราวต่างๆ นานาของสวี่ชิงผุดขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็ถอนสายตากลับมา เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
“มหาจักรพรรดิฟื้นตื่น เรื่องนี้…ดูเหมือนปกป้องดูแล แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนจะฝากฝังสั่งเสีย”
ขณะเดียวกัน ในจวนองค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดหลับตา นั่งอยู่ในหอในจวนอย่างเงียบงัน ข้างหลังเขามีผู้บำเพ็ญหลายสิบคน ต่างเงียบนิ่ง
ทั้งหอเงียบสงัดแต่มองอย่างละเอียด มือในแขนเสื้อขององค์ชายเจ็ดไม่รู้ว่ากำแน่นตั้งแต่เมื่อไร
แล้วก็ยังมีจวนองค์ชายสิบ องค์ชายสิบที่คนนอกคิดว่ากำเริบเสิบสานอวดดี นิสัยฉุนเฉียวโมโหร้าย เขากำลังทำลายข้าวของระบายอารมณ์ต่อหน้าบ่าวรับใช้ ทว่าในที่ที่ไม่มีคน ภายใต้สีหน้าฉุนเฉียวกลับมาเย็นเยือก ฉายขึ้นวูบแล้วหายไป
องค์ชายองค์อื่นๆ ส่วนมากในเสี้ยวขณะนี้ต่างอยู่ในที่ต่างๆ ความคิดแตกต่างกันไป ส่วนสีหน้าบนใบหน้ากับความคิดในใจจะเหมือนกันหรือไม่ คนนอกไม่มีใครล่วงรู้
และยังมีชนชั้นสูงผู้มีอำนาจตลอดจนอ๋องสวรรค์ที่อยู่ในจุดสูงสุด ยกตัวอย่างเช่นอัครเสนาบดี มหาเสนามากมาย มองระลอกคลื่นอารมณ์ไม่ออกสักเท่าไร เพียงแต่ส่วนมากหลังจากที่สายตาจ้องมองไปยังรูปสลักมหาจักรพรรดิครองกระบี่แล้ว ก็มองไปยังวังหลวง ต่างมีแววล้ำลึก
เสวียนจั้นขึ้นครองราชย์ มหาจักรพรรดิฟื้นตื่น
ผ่านไปหลายปี สวี่ชิงมาเยือน มหาจักรพรรดิฟื้นตื่นอีกครั้ง…
ในวังหลวง หอสำรวจนภา ใบหน้าของจักรพรรดิมนุษย์ไร้อารมณ์ ไม่ไปมองโลกภายนอก แต่จับจ้องกระดานหมากที่อยู่ข้างหน้าตัวเอง ในมือถือหมากสีขาวเอาไว้เม็ดหนึ่ง วางลงเบาๆ
“ฝ่าบาท กระหม่อมตอบคำถามของพระองค์แล้ว แต่พระองค์ยังไม่ได้ตอบกระหม่อมเลยว่า ตอนนั้นที่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ มหาจักรพรรดิครองกระบี่ได้ตรัสอะไรกับพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ตรงข้ามกระดานหมาก ราชครูยิ้ม วางหมากสีดำลง
มหาจักรพรรดิเงยหน้า มองราชครูอย่างสงบนิ่ง เอ่ยราบเรียบ
“มหาจักรพรรดิบอกข้าว่า เขาเสียใจเรื่องรัชทายาทรัฐม่วงครามในตอนนั้นมาก ให้ข้าชีวิตนี้หากได้พบ ให้ส่งกระดูกของจิ้งอวิ๋นที่ถูกเอาไปกลับคืนไป
“เจ้าได้รับแล้วมิใช่หรือ”
จักรพรรดิมนุษย์พูดอย่างเรียบง่าย แต่ทุกคำกลับแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง
ราชครูเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งใบหน้าก็ฉายรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
“ชีวิตนี้ได้พบคนเช่นฝ่าบาท จะต้องไม่เหงาอย่างแน่นอน”
จักรพรรดิมนุษย์ถือหมากสีขาวขึ้นมา กำลังจะวางลงไป แต่ในตอนนี้เอง เสียงทรงพลังยิ่งใหญ่เสียงหนึ่งก็ดังก้องไปในฟ้าดินเมืองหลวง
“สหายน้อย มาวังครองกระบี่ ข้ารอเจ้าอยู่ที่นั่น”
เสียงนี้ดังออกมา มือที่ถือหมากของจักรพรรดิมนุษย์ชะงัก เงยหน้าเล็กน้อย
ราชครูที่อยู่ตรงข้ามเขาในดวงตาฉายประกาย หันไปเช่นกัน
คนทั้งหลายในเมืองหลวง ผู้แข็งแกร่งทุกคน ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจทุกคนรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นเป็นเสียงของมหาจักรพรรดิครองกระบี่ และมหาจักรพรรดิฟื้นตื่น กับเรียกเข้าพบ ความหมายแตกต่างกัน
โดยเฉพาะวังครองกระบี่ ระดับบนตั้งแต่เจ้าวังไปจนถึงระดับล่างผู้ครองกระบี่ทั่วไป ต่างสีหน้าเปลี่ยนไปกันทุกคน
ใต้รูปสลักมหาจักรพรรดิครองกระบี่ สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น มองรูปสลักมหาจักรพรรดิ ในใจระลอกคลื่นไร้สิ้นสุด นานหลังจากนั้น เขาสูดลมหายใจลึก หลังจากโค้งคารวะอีกครั้ง ก็ลุกขึ้นเดินไปทางวังครองกระบี่
ที่ตั้งของวังครองกระบี่ ระหว่างทางก่อนหน้านี้สวี่ชิงเคยเห็นแล้ว รู้ตำแหน่งทิศทาง และผู้ครองกระบี่ที่ลาดตระเวนบนท้องถนน เมื่อเห็นสวี่ชิงก็ทำความเคารพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะผู้ครองกระบี่ แล้วนำทางให้เขา
สวี่ชิงก็เป็นผู้ครองกระบี่เช่นกัน
เช่นนี้เอง เขาเดินไปข้างหน้าตลอดทาง จวบจนหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม สิ่งก่อสร้างพิเศษฟากฝั่งหนึ่ง ก็ฉายในดวงตาสวี่ชิง
นั่นเป็นวังแห่งหนึ่ง ลักษณะภาพรวมแล้วเหมือนกระบี่ใหญ่สองเล่ม
เล่มหนึ่งวางไว้บนพื้น อีกเล่มหนึ่งด้ามกระบี่ปักลงดินตั้งตระหง่านอยู่บนพื้น
พื้นที่ใหญ่มาก มากพอจะบรรจุคนได้หลายล้านคน ที่นี่ก็คือ…วังครองกระบี่สาขาหลักในห้าวังทมิฬบนเผ่ามนุษย์นั่นเอง
ตอนที่สวี่ชิงมาถึง นอกวังครองกระบี่สาขาหลัก ผู้ครองกระบี่ที่อยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่รออยู่ข้างนอก โจวเหิงจือเจ้าวังครองกระบี่คนปัจจุบันและก็เป็นหนึ่งในอ๋องสวรรค์ด้วย ก็ยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
สำหรับการเรียกเข้าพบของมหาจักรพรรดิ วังครองกระบี่ที่เคารพกฎระเบียบอย่างเข้มงวด ทั้งระดับบนและระดับล่างไม่กล้าหละหลวมเลยแม้แต่น้อย
ในกลุ่มคนยังมีเงาร่างอีกหนึ่งเงาร่าง ในอดีตเคยพบสวี่ชิงมาก่อน เขาก็คือหวงคุนที่อยู่ในงานเลี้ยงองค์ชายเจ็ดตอนนั้น วันนั้นองค์ชายเจ็ดเคยแนะนำเอาไว้ว่า บรรพจารย์ของตระกูลหวงคุนเป็นผู้ดูแลใหญ่ของวังครองกระบี่
และหวงคุนในตอนนี้ ในใจเขาคลื่นซัดกระหน่ำ ในฐานะที่เป็นคนในจำนวนนวนน้อยนิดในวังหลวงที่เคยเจอสวี่ชิงมาก่อน เขารู้สึกเหลือเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังของแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
โดยเฉพาะการฟื้นตื่นของมหาจักรพรรดิ ความเคร่งขรึมของทั้งวังยิ่งทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างรุนแรง
ตอนนั้น ทุกคนนั่งอยู่ด้วยกัน ในใจของเขามีท่าทีในระดับหนึ่ง ในเมื่อตอนนั้นเขามองแล้วสวี่ชิงก็แค่ผู้ครองกระบี่จากบ้านนอกไกลกันดารคนหนึ่งก็เท่านั้น ต่อให้อยู่ในเขตปกครองผนึกสมุทรมีฐานะที่พิเศษ แต่ก็ไม่มีความเชื่อมโยงอะไรกับตน
ส่วนในอนาคตจะเติบโตได้จริงหรือไม่ นั่นก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่รู้
ทว่าตอนนี้…เขามองสหายรอบๆ ทอดถอนในใจ
ตอนนี้เขาทำได้เพียงจ้องมองเงาร่างที่เดินมาจากที่ไกลๆ กับคนมากมายนับไม่ถ้วนได้แค่นั้น
สวี่ชิงไม่ได้สังเกตเห็นหวงคุน ตอนนี้จิตใจของเขาโหมกระหน่ำ แม้จะพยายามทำให้ตัวเองสงบนิ่ง แต่เนื่องจากความเคารพที่มีต่อมหาจักรพรรดิ ความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาแบบนั้นก็ยิ่งรุนแรง
ดังนั้น ในตอนที่เห็นวังครองกระบี่และผู้ครองกระบี่มากมายที่อยู่ข้างนอก สวี่ชิงหยุดฝีเท้าลง เขาถอดเสื้อคลุมสีเขียวครามออก เก็บไปในถุงเก็บของ เอาชุดนักพรตผู้ครองกระบี่ออกมาสวม
จากการสวมชุดนักพรตสีขาวที่เหมือนกับคนอื่นทุกประการ สวี่ชิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกคนที่อยู่รอบ
สายตานับไม่ถ้วนที่มาจากผู้ครองกระบี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่เจ้าวังครองกระบี่และผู้นำระดับสูงวังครองกระบี่ ก็ต่างพยักหน้าเบาๆ
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ก้าวเท้าไปข้างหน้า ภายใต้สายตาของผู้ครองกระบี่ทุกคน มาอยู่หน้าวัง ทำความเคารพอย่างผู้ครองกระบี่ให้กับเจ้าวังครองกระบี่ที่อยู่ตรงนั้น สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“เนื่องจากมหาจักรพรรดิเรียกเข้าเฝ้า ผู้ครองกระบี่สวี่ชิง มาที่นี่เพื่อเข้าเฝ้าขอรับ”
เจ้าวังครองกระบี่โจวเหิงจือเป็นชายวัยกลางคน สีหน้าของเขาเข้มงวด มองสวี่ชิง นานจากนั้นจึงพยักหน้า
“เข้าไปเถอะ”
พูดแล้ว มือขวาของเขาก็ยกขึ้นสะบัด ทันใดนั้นประตูวังข้างหลังก็กลายเป็นคลื่นวน ปราณกระบี่วนล้อมในนั้น เหนี่ยวนำให้กระบี่จักรพรรดิของผู้ครองกระบี่ทุกคนส่งเสียงคำรามขึ้นพร้อมกัน
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม เดินไปในคลื่นวน ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในคลื่นวน เขาไม่ได้มาปรากฏตัวในประตูวัง แต่มาถึงแดนต้องห้ามลับของผู้ครองกระบี่แห่งหนึ่ง
นั่นเป็นอุโมงค์ใต้ดิน การตบแต่งในนั้นเรียบง่าย มีแค่แท่นบูชาแท่นหนึ่ง และบนแท่นบูชามีคนแห้งเหี่ยวนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น
คนคนนี้แก่ชราเหี่ยวแห้งเหมือนศพแห้งๆ แบบนั้น แผ่กลิ่นอายโรยราอย่างเข้มข้น มีเพียงบริเวณหัวใจเท่านั้นที่เต้นเป็นบางครั้ง ยังเหลือพลังชีวิตบางๆ
และบนร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลนับไม่ถ้วน มากมายเต็มไปหมด ชวนหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก
นั่นเป็นรอยแผลที่เพื่อปกป้องเผ่ามนุษย์ทิ้งหลงเหลือเอาไว้เป็นเวลานาน
ทุกทางล้วนแฝงไว้ด้วยอำนาจเทวะ ล้วนเป็นบาดแผลจากเทพเจ้า
และเขา คือร่างแยกของมหาจักรพรรดิครองกระบี่ ซึ่งก็เป็นมหาจักรพรรดิคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ ยิ่งเป็น…มหาจักรพรรดิที่ไม่เคยจากไป จวบจนทุกวันนี้ก็ยังปกป้องเผ่ามนุษย์!
มองมหาจักรพรรดิ มองรอยแผลเหล่านั้น ความเคารพเลื่อมใสในใจสวี่ชิงยิ่งแรงกล้า คุกเข่าลงกับพื้นหมอบคารวะ
ดวงตาทั้งสองที่ปิดสนิทของมหาจักรพรรดิค่อยๆ ลืมตื่นขึ้น