ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 753 สำนักหอเลือนโลกีย์
บทที่ 753 สำนักหอเลือนโลกีย์
‘องค์ชายสิบผู้นี้อาจจะไม่ได้เจ้าสำราญอย่างที่คนนอกคิดก็เป็นได้…’
หลังเดินออกมาจากจวนองค์ชายสิบ สวี่ชิงนึกถึงภาพก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ตอนที่ประตูพังทันทีที่แตะ ไปจนถึงงานเลี้ยงที่เตรียมเอาไว้ราวกับจงใจ ตลอดจนตอนที่หยิบถุงเก็บของออกมาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากมองแต่ผิวเผินอาจเป็นเพราะความหยิ่งทะนงของเขา และการกระทำขององค์ชายสิบก็เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่หากตัดสินจากผลลัพธ์ ทุกเส้นตวัดของพู่กันล้วนแฝงด้วยความนัย
แต่บางครั้งก็ไม่อาจชี้ขาดได้จากเหตุการณ์เดียว องค์ชายสิบตั้งใจหรือไม่ ยังต้องดูการกระทำที่หลังจากนี้
ดูแล้วนี่ก็เป็นสาเหตุที่องค์ชายสิบเลือกที่จะทำเช่นนี้ เขาไม่ได้กังวลว่านอกจากสวี่ชิงและหนิงเหยียนแล้วผู้อื่นจะมองออก เพราะเขาเปลี่ยนเจตนาได้ด้วยประโยชน์จากคำพูด
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด หนิงเหยียนข้างๆ ดวงตาก็ฉายแววครุ่นคิด ในฐานะที่เป็นองค์ชายเหมือนกัน หนิงเหยียนย่อมไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้เขาก็เห็นเบาะแส จึงหันไปมองสวี่ชิงโดยสัญชาตญาณ
สวี่ชิงพยักหน้าเล็กน้อย และกลับไปยังจวนพร้อมกับหนิงเหยียน
ส่วนถุงเก็บของ เมื่อกลับถึงจวนแล้ว หนิงเหยียนก็เปิดถุงออกต่อหน้าสวี่ชิงในโถงบรรพชนของจวน ภายในถุงมีเพียงของสิ่งเดียว
นั่นคือม้วนกระดาษ
ดูเหมือนว่ามันจะถูกไว้ในถุงเก็บของด้วยวิธีที่ยากกว่าปกติ เวลานำออกมาต้องค่อยๆ หยิบออกมาอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นถุงเก็บของจะเสียหาย ทำให้ม้วนกระดาษข้างในสูญหายไปในรอยแยกมิติ
ส่วนตัวม้วนกระดาษ ถูกห่อด้วยวัสดุพิเศษ กระทั่งถุงเก็บของก็ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะเก็บรักษามันไว้ในถุงเก็บของได้
นี่ทำให้เห็นว่าองค์ชายสิบจริงจังกับเรื่องนี้เช่นกัน และการเตรียมการถึงขั้นนี้ต้องทุ่มเทแรงกายและเวลาอย่างมากถึงจะสำเร็จ
นี่ก็เป็นสาเหตุที่หนิงเหยียนรีบร้อนจากไปในตอนนั้น และนำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วยไม่ได้
ขณะที่หยิบม้วนกระดาษออกมา ร่างกายหนิงเหยียนสั่นเทาเล็กน้อย เขาลูบม้วนกระดาษเบาๆ ดวงตาฉายแววคนึงหา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็แกะออกมา แขวนไว้ในโถงบรรพชน
สวมชุดสีฟ้าเรียบง่ายแต่สง่างามยิ่ง เรือนผมไร้การประดับประดา ดวงหน้าละเอียดละออ คิ้วและดวงตาเผยความเจ้าเล่ห์ มุมปากนางยกขึ้น รอยยิ้มแฝงความขี้เล่นไว้เล็กน้อย
ดูจากหน้าตา นางไม่ใช่คนสวย มีคนที่งดงามกว่านางอยู่มากมาย ทว่าต้องกล้าวว่านางเป็นสตรีที่มีบุคลิกเฉพาะตัวมาก ในดวงตาเหมือนมีประกาย สัมผัสได้ถึงนิสัยและความมีชีวิตชีวาของนางจากรูปวาด
หนิงเหยียนมองภาพนี้ก็รู้สึกหมองหม่น ก้าวไปข้างหน้าเงียบๆ จุดธูปกราบไหว้มารดาของตนตรงหน้ารูปวาดนั้น
สีหน้าของสวี่ชิงเคร่งขรึม ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน หลังจากจุดธูปคารวะมารดาของหนิงเหยียน เขาก็จ้องมองสตรีในภาพวาด จู่ๆ ก็สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาจับจ้องที่ดวงตาของมารดาหนิงเหยียน
ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้วาดภาพนี้ ช่างมีจิตวิญญาณมาก ไม่เพียงวาดรูม่านตา กระทั่งวาดสิ่งที่สะท้อนอยู่ในม่านตานั้นด้วย
แม้ว่าจะค่อนข้างเลือนราง ไม่ชัดเจนสักเท่าไร แต่ดูจากโครงร่าง ในม่านตาของภาพเหมือนคล้ายจะสะท้อนภาพของแท่นบูชาแห่งหนึ่ง…แต่หากสังเกตอย่างละเอียด คล้ายว่าจะไม่ใช่อีก เป็นเพียงหอแห่งหนึ่งเท่านั้น
รายละเอียดเป็นเช่นไร มองไม่ออกเลย
สวี่ชิงครุ่นคิด ดก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ก่อนจะมองหนิงเหยียนที่อยู่ข้างกายผาดหนึ่ง สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองภาพนั้นไม่หยุดด้วยสีหน้าโหยหา
จากที่สวี่ชิงเคยได้สัมผัสเรื่องราวคล้ายๆ กันด้วยตัวเองมาก่อน รู้ว่าเวลานี้หนิงเหยียนน่าจะอยากอยู่ตามลำพังมากกว่า
เขาจึงออกไปจากโถงบรรพชนเงียบๆ โดยไม่รบกวนอีกฝ่าย เดินอยู่ในจวนองค์ชายแห่งนี้ สวี่ชิงเห็นผู้ครองกระบี่ที่ติดตามตนมาจากเขตปกครองผนึกสมุทรกำลังลาดตระเวนเป็นพักๆ
นอกจากพวกเขาแล้ว ทั้งลานเรือนก็ว่างเปล่ามาก
สายลมบางเบาพัดมา เสียงกระดิ่งที่แขวนตามชายคาส่งเสียงกังวานใส มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
ความรู้สึกที่สภาพแวดล้อมปลอดโปร่ง ก็เด่นชัดขึ้นด้วยเสียงกระดิ่งนี้
จื่อเสวียนยังไม่กลับมา นายกองก็ด้วย หลังจากที่พวกเขาทั้งสองมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิ ต่างก็มีธุระของตัวเอง ส่วนข่งเสียงหลงไปเยี่ยมเยือนหลี่อวิ๋นซาน
ดังนั้นตอนนี้นอกจากหนิงเหยียนแล้ว จึงเหลือเพียงสวี่ชิงและอู๋เจี้ยนอูเท่านั้นที่ยังอยู่ในจวน
ไกลออกไปทางทะเลสาบ มีเสียงอู๋เจี้ยนอูร่ายกลอนคลอเสียงกระดิ่งแว่วมาตามสายลม
“ผืนน้ำผืนฟ้าสับสนวุ่นวาย เถ้าธุลีไม่ฟุ้งกระจาย เมืองหลวงจักรพรรดิเผาปลาหลี่!”
“กลอนดี กลอนดี!”
ประโยคแรกเป็นเสียงอู๋เจี้ยนอู ประโยคที่สองเป็นเสียงเยินยอของนกแก้ว
สวี่ชิงกวาดจิตเทพไป เห็นอู๋เจี้ยนอูนั่งอยู่ริมทะเลสาบ จ้องมองทะเลสาบด้วยท่าทางคิดหนัก บางครั้งร่ายกลอนออกมาสองสามวรรค ส่วนนกแก้วที่อยู่ข้างๆ นอกจากจะให้กำลังใจแล้ว ยังมีงานใหม่ที่ต้องทำ
นั่นก็คือการจดบันทึก
มันจดบันทึกกลอนของอู๋เจี้ยนอูลงบนแผ่นหยก เตรียมเอาไว้อู๋เจี้ยนอูใช้ได้ตลอดเวลา
เห็นทั้งสองเล่นกันอย่างสนุกสนาน สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิบนม้านั่งหินในลานเรือน สัมผัสสายลมรอบด้าน ฟังเสียงกระดิ่งข้างหู จิตใจของเขาก็ค่อยๆ สงบลง
หลังจากตกตะกอนข้อมูลที่ตนได้รู้ ขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าตนคงต้องอยู่ที่เมืองหลวงจักรพรรดิไปอีกสักพัก
เพราะจนถึงตอนนี้ จักรพรรดิมนุษย์ยังไม่เรียกเข้าเฝ้า
สวี่ชิงไม่รีบร้อน หลังจากจัดการความคิดแล้ว เขาก็หลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ
พลังวิญญาณในเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์เข้มข้นกว่าที่เขตปกครองผนึกสมุทรมาก แม้นใช่ว่าไอพลังประหลาดของที่นี่จะไม่มีเลย แต่ก็ถือว่าน้อยนัก สำหรับคนธรรมดาแล้ว บ่งบอกได้ว่ามีอายุขัยที่เกือบจะเป็นปกติ
สำหรับผู้บำเพ็ญ ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญที่นี่มากกว่าโลกภายนอกมาก แนวโน้มในการกลายพันธุ์ก็ลดลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สวี่ชิงจึงจมจ่อมกับการฝึกบำเพ็ญ ไม่ปล่อยให้คุณสมบัติของที่แห่งนี้เสียเปล่า
วันนี้เขาเปิดสมบัติเทพไปแล้วสามคลัง แต่ไม่คิดจะเปิดคลังที่สี่ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องพิจารณาในอนาคต นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นสำคัญนั่นก็คือสภาวะเทพเจ้า
แม้ว่าสวี่ชิงจะควบคุมสภาวะเทพเจ้าของสมบัติเทพคลังที่หนึ่งได้ แต่สภาวะเทพเจ้าขั้นสอง ต้องหล่อเลี้ยงด้วยเลือดเนื้อของชื่อหมู่ การใช้เช่นนี้ทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาวะเทพเจ้าขั้นสาม
‘ต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์นี้’
สวี่ชิงครุ่นคิด ก่อนจะมาที่เมืองหลวงจักรพรรดิ เขาเคยถามเรื่องนี้กับอาจารย์ นายท่านเจ็ดกล่าวว่าสวี่ชิงจะพบคำตอบในเมืองหลวงจักรพรรดิ
‘คำตอบนี้อยู่ที่ใดกัน’
สวี่ชิงเงยหน้ามองผืนฟ้าเนิ่นนานก่อนจะหลับตาลง กำหนดลมหายใจต่อไป
เวลาดำเนินไปเช่นนี้ทุกวัน หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ขั้วอำนาจภายในเมืองหลวงจักรพรรดิที่จับตามองสวี่ชิง ค่อยๆ ลดความสนใจลง อันที่จริงครึ่งเดือนที่ผ่านมาสวี่ชิงไม่ได้ออกไปจากจวนเลย
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสวี่ชิงและองค์ชายสิบ ทุกฝ่ายต่างทราบมานานแล้ว กระทั่งองค์ชายสิบยังถึงกับค่อนขอด ถากถางสวี่ชิงในงานเลี้ยงหลายครั้ง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง ซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจจากทุกฝ่ายไป
ศึกเผ่าฟ้าทมิฬ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเมื่อหลายวันก่อน เนื่องจากชินอ๋องของเผ่านภาคิมหันต์ถูกเชื้อเชิญไปที่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่าฟ้าทมิฬ
เรื่องนี้มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง สงครามระหว่างสองฝ่ายหยุดชะงัก บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ส่วนจื่อเสวียนและนายกอง ตลอดครึ่งเดือนมานี้ สวี่ชิงไม่ได้เจอหน้าพวกเขาบ่อยนัก ส่วนใหญ่สวี่ชิงมักจะนั่งสมาธิตามลำพังในลานเรือน
จนกระทั่งค่ำวันนี้ ด้านนอกจวนหนิงเหยียน มีสหายเก่าของสวี่ชิงสองคนมาเยือน หลังจากได้รับอนุญาต คนทั้งสองก็ถูกเชิญเข้ามาในจวน
“สวี่ชิง ไม่เจอกันนานเลยนะ ฮ่าๆ” ทันทีที่พบสวี่ชิง หนึ่งในนั้นก็ยิ้มหน้าบาน แล้วหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้หินข้างตัวเขาอย่างสนิทสนม
อีกคนหนึ่งท่าทางระแวดระวังกว่าเล็กน้อย คำนับให้กับสวี่ชิง
สวี่ชิงลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ สายตาจดจ้องคนทั้งสอง รื้อฟื้นความทรงจำเล็กน้อย ก็นึกออกแล้ว
“พี่เมิ่ง พี่หวง”
คนที่วางตัวระแวดระวังคือผู้ครองกระบี่หวงคุน ส่วนอีกคนที่ทำตัวสนิทสนมนั้นคือเมิ่งอวิ๋นไป๋
ทั้งสองพบกับสวี่ชิงครั้งแรกที่งานเลี้ยงขององค์ชายเจ็ด โดยเฉพาะเมิ่งอวิ๋นไป๋นั้นเป็นหลานชายของมหาเสนา เขานั่งข้างสวี่ชิงในงานเลี้ยงครานั้น เคยแนะนำผู้คนให้เขารู้จักหลายคน ทั้งสองพูดคุยกันมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย
“ฮ่าๆ ตอนนั้นที่ข้าเห็นเจ้านะสวี่ชิง สัมผัสว่าอนาคตของเจ้าต้องสดใสไร้ขีดจำกัดและสักวันพวกเราต้องได้พบกันอีกเป็นแน่
“แน่นอนว่า หากที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงจักรพรรดิ พวกเราคงได้พบกันไปแล้ว
“อันที่จริง ข้าอยากมาพบเจ้าตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว แต่ครอบครัวข้าไม่ยอม ฝ่ายอื่นๆ ก็เพ่งเล็ง ตอนนี้สงครามเผ่าฟ้าทมิฬกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกฝ่ายกำลังจับตาเรื่องสงคราม ข้าถึงได้รับอนุญาตให้มาหาเจ้านี่”
นิสัยของเมิ่งอวิ๋นไป๋ยังเหมือนที่งานเลี้ยงตอนนั้นไม่มีผิด เปิดเผยจริงใจ คิดอะไรก็พูดออกมาหมด แค่เอ่ยปากก็เห็นไปถึงไส้พุง
หวงคุนที่ยืนข้างๆ พยักหน้าด้วย
“วังครองกระบี่ก็เหมือนกัน ที่จริงมีผู้ครองกระบี่หลายคนอยากจะพูดคุยกับเจ้า…”
เมิ่งอวิ๋นไป๋กะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยสีหน้าลึกลับ
“ดังนั้นวันนี้ข้ากับหวงคุนจึงถูกเชิญไปยังหอโลกีย์ พอนึกถึงเจ้า เลยมาชวนเจ้าด้วย ว่าไงสวี่ชิง อยากไปดื่มกับพวกข้าสักหน่อยหรือไม่
“ข้าจะบอกอะไรให้นะ หอโลกีย์เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องสิบสุดยอดสำนักแห่งเผ่ามนุษย์กระมัง สำนักหอเลือนโลกีย์ก็คือหอโลกีย์ที่ข้าว่านี่ล่ะ
“สำนักนี้แตกต่างจากสำนักอื่นๆ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญหญิง สิ่งที่ฝึกคือละทางโลกเลือนโลกีย์ แต่หากจะเลือนทางโลก ก็ต้องคลุกคลีกับทางโลก อยากลืมเลือนโลกีย์ก็ต้องเข้าไปพัวพันในโลกีย์
“ทางสำนักจึงเปิดหอโลกีย์ขึ้นหลายแห่ง ขณะที่ราคาสูงแล้วยังมีเงื่อนไขเรื่องสถานะและพลังบำเพ็ญด้วย หากไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขไม่ว่าจะกรณีใดๆ ล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า
“ปกติเข้าไปครั้งหนึ่ง ก็ใช้เงินค่าขนมของข้าทั้งเดือนจนหมดเกลี้ยง และขณะที่ข้าสนุกสนานอยู่ที่นั่น ศิษย์หอโลกีย์ก็ฝึกกำลังบำเพ็ญ
“เพียงแต่ที่นั่นขายศิลปะหาใช่เรือนร่าง ไม่มีใครกล้าใช้กำลังบังคับ ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ เนื่องจากมีข่าวว่าหอโลกีย์แห่งนี้บูชาเทพเจ้า เทพเจ้าของพวกนางคือเทพชั้ันสูงดาราคิมหันต์แห่งเผ่านภาคิมหันต์
“อีกทั้งผู้บำเพ็ญหญิงในหอนี้ หน้าตาสะสวย รูปร่างสะโอดสะองค์ไม่มีใครยอมใคร ขณะเดียวกันพวกเราก็มีเสน่ห์ของใครของมัน หากได้บำเพ็ญคู่แล้วไซร้ ต้องสุขใจกว่าผู้ใดในโลกเป็นแน่”
เมิ่งอวิ๋นไป๋เลียริมฝีปาก รู้สึกร้อนรุ่มเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นสวี่ชิงไม่สนใจและตั้งท่าจะปฏิเสธ จึงเริ่มโน้มน้าว
“อีกอย่าง เจ้าภาพของวันนี้คือสายเลือดจักรพรรดิจากสำนักยอดจักรพรรดิดารา เขาเป็นทายาทของจักรพรรดิซิงคง ข้าคิดว่าตั้งแต่เจ้ามาเมืองหลวงจักรพรรดิ คงเอาแต่จมจ่อมกับความคิดตัวเองล่ะสิ ถึงเจ้าคิดจะตัดขาดจากโลกภายนอก แต่หากมีสหายในเมืองหลวงจักรพรรดิเพิ่มขึ้นย่อมเป็นการดี เจ้าจะได้ถือโอกาสนี้สังเกตเรื่องราวมากมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยตัวเอง”
สวี่ชิงไตร่ตรอง คำพูดของเมิ่งอวิ๋นไป๋ค่อนข้างเหตุผล เขาต้องไปสังเกตท่าทีของทุกฝ่ายในเมืองหลวงจักรพรรดิสักหน่อยจริงๆ เช่นนี้ถึงจะตัดสินใจอย่างรอบคอบ
อีกทั้งเมิ่งอวิ๋นไป๋มีน้ำใจเชื้อเชิญ สวี่ชิงครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากจวนพร้อมกับเมิ่งอวิ๋นไป๋และหวงคุน
เมิ่งอวิ๋นไป๋ยังพูดจ้อไม่หยุดตลอดทาง คอยแนะนำเรื่องขนบธรรมเนียมของเมืองหลวงจักรพรรดิ ทำให้สวี่ชิงเข้าใจเมืองหลวงจักรพรรดิมากขึ้นจากคำบอกเล่าของเขาประกอบกับข้อมูลที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้
จนอัสดงผ่านพ้นไป ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ผู้คนหาได้ลดน้อยลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับเมืองหลวงเผ่ามนุษย์แห่งนี้ ชีวิตยามค่ำคืนก็น่าตื่นเต้นเช่นกัน และฝั่งตะวันตกของเมืองมีจวนแห่งหนึ่ง ที่นั่นตกแต่งอย่างหรูหรา เป็นสีทองอร่ามงดงาม ด้านในมีภูเขามอและธารน้ำไหล มีเสียงสตรีดังมาเป็นครั้งคราว
ที่ด้านนอกประตูเขียนด้วยตัวอักษรเปี่ยมชีวิตชีวามีพลังตัวใหญ่ๆ
หอโลกีย์
แสงไฟสว่างไสวมาแต่ไกล แม้ผู้คนจะเดินเข้าออกกันน้อย ทว่าผู้ที่สัญจรไปมาต่างลอบชำเลืองมอง
ในลานเรือนมีศาลาตั้งอยู่ทุกหนแห่ง แยกออกจากกันด้วยภูเขามอ ทางเดินเล็ก ๆ ที่เชื่อมกับศาลาแต่ละหลังก็ต่างกัน ยิ่งถูกปกคลุมด้วยค่ายกล ทำให้ศาลาแต่ละหลังมีความเป็นเอกเทศและส่วนตัว
เห็นได้ชัดว่าเมิ่งอวิ๋นไป๋เป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ทันทีที่เขามาถึง ก็ดึงดูดความสนใจของแม่เล้าทั้ในหอทันที ปรี่เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม กระตือรือร้นอย่างยิ่ง
แม่เล้าที่ว่านี้ แท้จริงแล้วเป็นหญิงวัยกลางคนผู้มากล้นด้วยเสน่ห์ รูปร่างหน้าตาถือว่างดงาม แต่เมื่อดูดีๆ จะเห็นถึงความเย็นชาในดวงหน้า และสตรีประเภทภายนอกเร่าร้อน ภายในเยือกเย็นนี่แหละ ที่มีเสน่ห์น่าดูชม
เมิ่งอวิ๋นไป๋โอบรัดเอวของแม่เล่าประจำหออย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง พลางชี้นิ้วมาทางสวี่ชิง
“รู้จักกันหรือไม่”
แม่เล้าคนนั้นกวาดตางามมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ม่านตาพลันหดวูบ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายสวี่ผู้โด่งดัง ใครจะไม่รู้จักเล่าเจ้าคะ”
สวี่ชิงทำหน้าเป็นปกติ กวาดตามองที่แห่งนี้ เขาไม่ค่อยชินกับสถานที่แห่งนี้สักเท่าไร ส่วนหวงคุนที่อยู่ข้างๆ แม้หลังจากเจอกับสวี่ชิงจะสงวนท่าที แต่ก็คุ้นเคยกับสถานที่เช่นนี้ ซ้ำยังทำท่าองอาจขึ้นเล็กน้อย
แม่เล้าก็เดินนำทางพวเขาไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของเมิ่งอวิ๋นไป๋เช่นนี้เอง
สายลมโชยกลิ่นหอมหวนอบอวลทั่วบริเวณ บรรยากาศฟุ้งฝันหวานชื่น สมกับเป็นสถานเริงรมณ์
มีคนอารักขาตลอดทาง ใครก็ตามที่เห็นเมิ่งอวิ๋นไป๋ เป็นต้องแสดงความเคารพทันใด ท่าทีนอบน้อมยิ่ง
จากการเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็สังเกตเห็นหญิงงามมากมาย แต่ละคนเรือนร่างสะโอดสะองค์ ใบหน้าผ่องแผ้ว ก้าวเดินเยื้องย่างยุรยาตร เมื่อสังเกตเห็นพวกสวี่ชิง สายตาเหล่าหญิงงามแทบทุกคนหยุดอยู่ที่สวี่ชิงด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
ทว่าสวี่ชิงหาได้สนใจไม่
ไม่นานนัก ด้วยการนำทางของแม่เล้า พวกเขาทั้งสามก็เดินมาถึงศาลา มองจากภายนอกนั้นดูว่างเปล่า มีเพียงหญิงสาวในชุดขาวที่กำลังดีดฉินอยู่ลำพัง
แต่เมื่อเข้าใกล้ กลับเหมือนก้าวลงไปในน้ำ ถ้ำสวรรค์พลันปรากฏต่อสายตาสวี่ชิง
ในถ้ำสวรรค์ มีสระน้ำเซียนขนาดใหญ่ พลังวิญญาณเข้มข้นแผ่ปกคลุม ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ถัดออกไปไม่ไกล ยังมีชายหนุ่มหลายสิบคนกำลังชนจอกสุรา หัวร่อต่อกระซิกอยู่
ชายหนุ่มเหล่านั้นจะมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งขนาบข้าง ส่วนใหญ่มีหน้าตางดงาม บุคลิกหลากหลายแตกต่างกันไป
ผู้ที่นั่งตรงกลางสวมชุดคลุมยาวสีดำ ปักดิ้นลวดลายผืนฟ้าประดับดารา ดูท่าจะไม่ธรรมดา คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา คิ้วคมเข้ม ตาเป็นประกาย กำลังสนทนากับหญิงสาวข้างกาย
เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้คือเจ้าภาพในวันนี้ สายเลือดจักรพรรดิแห่งสำนักยอดจักรพรรดิดารา
เบื้องหน้ามีการเล่นดนตรียิ่งมีการร่ายรำอันงดงาม บรรยากาศชื่นมื่นเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
การมาถึงของพวกสวี่ชิงทั้งสามดึงดูดความสนใจของผู้คนในสระน้ำเซียน ขณะที่ทุกสายตาต่างจับจ้องมา เมิ่งอวิ๋นไป๋ก้าวไปข้างหน้า ยิ้มกว้างให้กับชายในชุดคลุมปักลายนภาประดับดารา
“พี่เผิง ข้ากับหวงคุนมาช้าไปหน่อย แต่พวกข้าพาสหายคนหนึ่งมาด้วย
“สวี่ชิง คงไม่ต้องให้ข้าแนะนำมากมาย ทุกคนก็น่าจะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาบ้างแล้ว”
เมิ่งอวิ๋นไป๋กล่าวพลาง สายตาของทุกคนก็มารวมอยู่ที่ร่างสวี่ชิง ยิ่งมีบางคนยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ประสานหมัดคำนับมาทางสวี่ชิง
ส่วนสายเลือดจักรพรรดิแซ่เผิงเองก็กวาดตามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ ดวงหน้าไม่ได้ฉายแววเย็นชาหรือเป็นมิตรแต่อย่างใด เพียงราบเรียบปกติ
สวี่ชิงก็เช่นกัน หลังจากพยักหน้าให้กับทุกคนแล้ว เขาก็หาที่นั่ง เมิ่งอวิ๋นไป๋พูดคุยหัวเราะกับคนอื่นๆ ก่อนจะกลับมาหาสวี่ชิง พลางกระซิบแนะนำที่มาของแต่ละคนให้สวี่ชิงฟัง
โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่เป็นลูกหลานของผู้สูงศักดิ์ก็เป็นศิษย์ในสำนักใหญ่ พวกเขากำลังสังเกตสวี่ชิง สวี่ชิงก็สังเกตพวกเขาเช่นกัน ทุกครั้งที่สบสายตา ไม่ว่าในใจจะคิดอะไร ล้วนส่งยิ้มเป็นมารยาทให้กันเสมอ
ทว่าไม่นาน ก็มีหญิงงามกลุ่มหนึ่งเข้ามาภายในถ้ำสวรรค์ ทำให้บรรยากาศคึกครื้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีหญิงงามผิวขาวผ่อง ตรงเข้ามานั่งข้างกายสวี่ชิงอย่างความใจกล้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คุณชาย ดูเหมือนท่านจะสงวนท่าทีไปหน่อยนะเจ้าคะ”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาไม่ได้สงวนท่าที แต่เขาเพิ่งจะเคยเจอกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
ในเวลาเดียวนั้น ในโถงบรรพชนของหอโลกีย์ รูปปั้นจิ้งจอกดินเหนียวที่ตั้งอยู่กลางศาลค่อยๆ มีจิตวิญญาณ ดวงตาทึบทึมของมันค่อยๆ ฉายประกายชีวิตออกมา พร้อมกับระลอกคลื่น
เสียงหัวเราะค่อยๆ สะท้อนก้องในโถงบรรพชน
“ไปหาเจ้าน้องชายตัวแสบดีหรือไม่…”