ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 761 อวยยศเผ่ามนุษย์
บทที่ 761 อวยยศเผ่ามนุษย์
จากเสียงของราชเลขาที่สะท้อนก้อง ด้านนอกตำหนักใหญ่ก็มีตอบรับดังลอดเข้ามา
ไม่นานนักก็มีองครักษ์สวมเกราะทองห้าคน รัศมีอำนาจน่าเกรงขาม ยิ่งแฝงไว้ด้วยปราณพิฆาต เดินเข้ามาในตำหนัก
ดูแล้วห้าคนนี้อายุยังน้อย แต่กลิ่นคาวเลือดบนตัวเข้มข้นยิ่ง โดยเฉพาะในขณะที่ก้าวเข้ามากลิ่นอายก็มีการผสานกันโดยสัญชาตญาณ เห็นได้ชัดว่าสันทัดในวิชาผสานกำลัง
แต่ละคนหิ้วตัวนักโทษทั้งชายและหญิงที่สีหน้าล้วนอิดโรย ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ท่าทางจะผ่านการทรมานอย่างหนักให้สารภาพ ซ้ำพลังบำเพ็ญก็ถูกทำลายไปแล้วเข้ามา
ไม่นานนัก องครักษ์เกราะทองห้าคนนี้ก็เดินมาเบื้องหน้าราชเลขา ก้มหน้าลงกดนักโทษในมือลงกับพื้นดินพร้อมกัน
ไม่ว่านักโทษเหล่านั้นจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ถูกองครักษ์ห้าคนนี้ใช้มือข้างหนึ่งกดบนศีรษะ จนทำได้แค่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรง
เบื้องหน้าพวกเขา บนบันไดขั้นที่หนึ่ง สวี่ชิงที่นั่งอยู่ตรงนั้น สายตากวาดผ่านร่างนักโทษห้าคนนี้ สุดท้ายก็มองคนแรกจากทางซ้าย
คนผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคน เลือดเนื้อบนใบหน้าถูกแล่ออกมาทั้งเป็น เห็นได้ว่ามีกระดาษสีดำอยู่ในตัวเขาชั้นหนึ่ง มีร่องรอยฉีกขาด คล้ายถูกฉีกออกไปทดสอบโดยเฉพาะ
ตอนที่สวี่ชิงมองไป ชายกลางคนผู้นั้นก็ฝืนเงยหน้ามองสวี่ชิง
เมื่อสบสายตา สวี่ชิงก็รู้สึกเยือกเย็น เขาจำได้แล้ว คนที่ลงมือกับเขาวันนั้นคือคนผู้นี้
ความรู้สึกที่สัมผัสได้และกลิ่นอายนั้นไม่ผิดแน่
ส่วนสี่คนที่เหลือ สวี่ชิงไม่เคยเห็น
“ฝ่าบาท เรื่องการลอบสังหารในเมืองหลวงจักรพรรดิ กระจ่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ราชเลขาประสานมือให้จักรพรรดิมนุษย์ จากนั้นก็ชี้ไปที่ชายกลางคนทางซ้ายผู้นั้น
“คนผู้นี้มีนามว่าปี่ลั่ว เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ ฝากตัวเข้าสำนักภูตทมิฬตั้งแต่เด็ก พรสวรรค์พอใช้ได้ แต่ติดปัญหาเรื่องสายเลือด จึงไม่อาจเป็นศิษย์หลักได้ เดิมอาจารย์ของเขากำลังพิจารณา แต่คนผู้นี้ก็เข้าไปขโมยวิชาต้องห้ามกระดาษดำแล้วหลบหนีก่อนอายุหกสิบ จากนั้นก็หายตัวไป”
“การลอบสังหารในเมืองหลวงจักรพรรดิวันนั้น คนผู้นี้ใช้วิชาต้องห้ามกระดาษดำลงมือ จากนั้นเขาก็หนีออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิ ครึ่งเดือนก่อนถูกวังครองกระบี่จับกุมตัวได้ที่ที่ราบเก้ารกร้าง
“รายละเอียดคดีก็ถามจนกระจ่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ราชเลขากล่าวจบ ก็ก้มหน้ารอให้จักรพรรดิมนุษย์จัดการ
ตำหนักเงียบสงัด สายตาทุกคนจับจ้องอยู่ที่ร่างนักโทษทั้งห้า และกวาดตามองสวี่ชิงทางนั้น ครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ส่วนปี่ลั่วทางนั้น เขากำลังมองสวี่ชิง สีหน้าฉายแววเสียดาย เหมือนการสังหารสวี่ชิงไม่ได้เป็นจุดด่างพร้อยของเขา
“ประหาร”
จักรพรรดิมนุษย์บนบันไดขั้นที่เก้าเปล่งเสียงราบเรียบออกมา
พริบตาต่อมา องครักษ์เกราะทองด้านหลังปี่ลั่ว มือซ้ายยกดาบขึ้น วาดผ่านลำคอของปี่ลั่วทันที ดาบนี้ไม่ใช่สมบัติธรรมดา มีพลังทำลายล้าง ตอนที่พาดผ่าน ร่างของปี่ลั่วก็กลายเป็นเลือด กระทั่งดวงวิญญาณก็ถูกสะบั้นเช่นกัน
องครักษ์คนนั้นชูศีรษะขึ้นต่อหน้าธารกำนัล นักโทษคนนี้แตกสลายทั้งกายและวิญญาณ ไม่นาน ศีรษะนี้ก็กลายเป็นผุยผง
“คนที่สองนี้มีนามว่าหลินเหอ ชื่อลับคืออนธการลางร้าย ตอนนี้ดำรงตำแหน่งรองผู้แทนฝ่ายตรวจสอบวังคำสั่งพิเศษ คนผู้นี้มีส่วนช่วยเหลือคนร้ายให้หลบหนี ทั้งยังให้ข้อมูลของเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทรในคดีลอบสังหารเมืองหลวงจักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
ราชเลขาชี้ชายชราคนที่สองจากทางซ้าย เขาก้มหน้าลง เห็นสีหน้าไม่ชัด บาดแผลตามตัวมีสาหัสอย่างยิ่ง มีรอยตะปูแทงเข้าไปในร่างกายหลายรอย
“ประหาร”
จักรพรรดิมนุษย์เอ่ยเสียงเรียบ
ชั่วพริบตาที่องครักษ์ตวัดดาบ หลินเหอแตกสลายทั้งกายและวิญญาณ ศีรษะลุกไหม้กลายเป็นฝุ่นผง
“คนที่สาม ชื่อว่านักพรตหั่ว มาจากสำนักเก้าลี้เพลิงทมิฬ มีฐานะเป็นผู้ดูแลของสำนัก รับผิดชอบการวางค่ายกลบนถนน รวมถึงวิชาเพลิงสูงสุด สร้างวารีพิฆาตขึ้นมาในคดีลอบสังหารเมืองหลวงจักรพรรดิ
“คนที่สี่ ชื่อว่ามิ่งเสวียนจื่อ มาจากสำนักเดือนครามสูงสุด มีสถานะสูงกว่าสามคนก่อนหน้านี้ เป็นผู้อาวุโสของสำนักเดือนครามสูงสุด ในคดีลอบสังหารเมืองหลวงจักรพรรดิ คนผู้นี้ใช้ของชิ้นหนึ่งอำพรางคลื่นพลังลอบสังหารบนถนน ของสิ่งนั้นคือตราอ๋องสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อราชเลขากล่าวออกมา ใจทุกคนในตำหนักก็มีคลื่นโหมซัดไม่เท่ากัน บ้างจงใจแสดงออกมาบนใบหน้า บ้างเก็บเอาไว้ในใจ
คดีในครั้งนี้มีสามสุดยอดสำนักเข้ามาพัวพัน ซ้ำยังมีวังคำสั่งพิเศษในห้าทมิฬบน โดยเฉพาะสำนักเดือนครามสูงสุด ซึ่งเป็นสำนักของราชครูทุกยุคสมัย
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้น คือตราอ๋องสวรรค์ที่ราชเลขากล่าวถึง!
นี่หมายถึงว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับอ๋องสวรรค์
“ตราของใคร” เสียงจักรพรรดิมนุษย์ราบเรียบต่ำทุ้ม
“อ๋องเทียนหลันที่ตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ราชเลขาก้มหน้า
ตำหนักใหญ่เงียบสงัด
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ต้น ฟังการเพ็ดทูลของราชเลขา มองการสังหารนี้ราวกับเป็นคนนอก
ขณะที่ตำหนักใหญ่เงียบสงัด สายตาของเขาก็ไปอยู่ที่นักโทษคนที่ห้า
จากคำพูดของราชเลขาก่อนหน้านี้ ในบรรดานี้รวมถึงคนลอบสังหาร คนวางค่ายกล คนที่แอบปล่อยเส้นทางการเดินตลอดจนคนที่คอยปกปิดระลอกคลื่นพลังในที่เกิดเหตุ แต่ที่นี่คือเมืองหลวงจักรพรรดิ แม้สวี่ชิงจะไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดหน้าที่ของตราอ๋องสวรรค์ว่าคืออะไร แต่จะอย่างไร คิดจะสะกดคลื่นพลังในเมืองหลวงจักรพรรดิ ย่อมไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
เขาจึงอยากรู้ว่านักโทษคนที่ห้าทำหน้าที่อะไร
สวี่ชิงจึงสังเกตอย่างละเอียด คนผู้นี้เป็นหญิงชรา ผมขาวโพลน แม้ทั้งตัวจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่สีหน้าไม่สะทกสะท้าน แววตาแฝงความฉลาดเฉลียวไร้ที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกว่าหากถูกนางมองก็คล้ายจะมองทะลุทุกสิ่งได้
ตอนที่สายตาสวี่ชิงมองไป หญิงชราก็มองมาทางเขา กระทั่งยังยิ้มให้
“คนที่ห้านี้ ไม่ได้เข้าร่วมตรงๆ แต่นางติดต่อกับทั้งสี่คนลับๆ ก่อนเกิดเรื่อง…คนผู้นี้ ชื่อว่าเต้าโพ่ นางมาจาก…”
เสียงของราชเลขาหยุดชะงักเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเอ่ยถึงตราอ๋องสวรรค์น้ำเสียงยังปกติ มีเพียงตอนนี้ค่อนข้างลังเล แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาก็พูดต่อ
“หอเด็ดดารา!”
เมื่อกล่าวออกมา ทุกคนในตำหนักใหญ่ก็พากันเคร่งขรึม
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น บนบันไดขั้นที่เก้า เสียงของจักรพรรดิมนุษย์ดังกึกก้อง
“ประหารไปเถอะ”
“ตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากผู้บำเพ็ญเกราะทองสามคนขานรับเสียงต่ำ ต่างก็ยกมือขึ้น ขณะที่ดาบสะท้อนแสง ศีรษะทั้งสามถูกชูขึ้น ศพไร้หัวทั้งสามร่างกลายเป็นเลือด ส่วนศีรษะก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงตามลำดับ
จากนั้น จักรพรรดิมนุษย์ก็ลุกจากบัลลังก์มังกร ค่อยๆ ยืนขึ้น
ทันทีที่พระองค์ลุกขึ้น ทุกคนในตำหนักก้มหน้าลงทันที ต่างยืนกันอย่างเคร่งขรึม
โหวสวรรค์ในชุดพิธีการสีดำเหล่านั้นก็ลุกขึ้นยืนจากการนั่งขัดสมาธิ
สวี่ชิงก็ทำเช่นนั้น ลุกขึ้นยืนอย่างเคร่งขรึม ควบคุมระลอกคลื่นในใจไว้ ไม่แสดงออกมาบนสีหน้าแม้แต่น้อย
“สวี่ชิงแห่งเขตปกครองผนึกสมุทร”
จักรพรรดิมนุษย์เอ่ยเรียบๆ
สวี่ชิงก้าวออกมาหนึ่งก้าว หันหลังไปทางทิศตะวันตก โค้งตัวคำนับ
“ผู้ปกครองผนึกสมุทร พัฒนาคลื่นศักดิ์สิทธิ์ให้มีเสถียรภาพ ยุติสงครามวิญญาณทมิฬ รักษาความดี ปกป้องดินแดนแห่งเผ่ามนุษย์ ทำหน้าที่ปกป้องแดนดิน บัดนี้ขอแต่งตั้งเป็นเจ้าแดนผนึกคลื่นศักดิ์สิทธิ์ รั้งบรรดาศักดิ์โหวนภา หลังจากได้สำเร็จการศึกษาจากวังศึกษา จักอวยยศเป็นโหวนภา”
เสียงจักรพรรดิมนุษย์กึกก้อง ฟ้าดินภายนอกครืนครัน มังกรคำรามออกมา กลืนกินและพ่นแสงอรุณออกมา
ยิ่งมีดวงชะตามารวมตัวกันจากทั่วสารทิศ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทะลักเข้ามาในตำหนักวังหลวง ปกคลุมรอบตัวสวี่ชิง กระทั่งเมฆหมอกดาราจักรพรรดิโบราณด้านหลังวังหลวงตอนนี้ก็หอบม้วน มีดวงชะตาแผ่ออกมา พุ่งมาหาสวี่ชิงเช่นเดียวกัน
ไม่นานนัก ดวงชะตาข้างกายสวี่ชิงเข้มข้นขึ้น ทั้งร่างเปล่งแสงพร่างพรายห้าสี มังกรบนชุดคลุมก็พุ่งออกมาจากชึดพิธีการ แหวกว่ายอยู่รอบหนึ่ง หลังจากกลืนกินดวงชะตาก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า เปล่งเสียงคำรามไปทางใต้หล้า
นี่คือการพระราชทานบรรดาศักดิ์ของเผ่ามนุษย์อย่างเป็นทางการ!
หมายความว่าตั้งแต่นี้ไป ดวงชะตาของเผ่ามนุษย์จะคุ้มครองสวี่ชิงอย่างเป็นทางการ
และเหล่านี้ ยังเป็นแค่การแต่งตั้งให้เป็นเจ้าแดนเท่านั้น ตามที่องค์จักรพรรดิตรัสไว้ สวี่ชิงต้องไปที่วังศึกษาก่อน หลังจากศึกษาประสบการณ์ที่นั่น ก็จะถูกแต่งตั้งเป็นโหวนภาอย่างเป็นทางการ
นึกภาพออกว่าเมื่อถึงตอนนั้น ดวงชะตาจะยิ่งมาเยือนได้น่าตกตะลึงกว่านี้
ด้านนอกวังหลวง ใต้สะพานสายรุ้ง นายกองกับจื่อเสวียนกำลังนั่งรอสวี่ชิงอยู่ในหอแห่งหนึ่ง ตอนนี้เมื่อเห็นนิมิตมงคล จื่อเสวียนก็พยักหน้าเล็กน้อย แต่รู้สึกว่าดวงชะตามาน้อยยิ่ง
‘แค่ห้าสีเท่านั้น ยังไม่ถึงเจ็ด แล้วก็ไม่มีฉัตรดวงชะตาปรากฏขึ้นด้วย ยิ่งไม่มีเงาของปูชนียบุคคล…จักรพรรดิมนุษย์ ขี้เหนียวเกินไปแล้ว’
ทว่านายกองที่อยู่ไม่ไกล เวลานี้น้ำลายไหลออกมา เขามองพลังดวงชะตาเหล่านั้นใจเต้นระรัว
‘ดวงชะตามากมายถึงเพียงนี้…ถ้าข้ากลืนเข้าไป จะต้องปลดผนึกได้ทันทีสามวิถีแน่ ข้าก็จะเข้าพิธีด้วย!!’
เห็นภาพนิมิตมงคลฉากนี้ ไม่ใช่แค่นายกองกับจื่อเสวียน เผ่ามนุษย์ทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ เงยหน้ามองการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ทันใดนั้นเสียงอื้ออึงก็ดังออกมาจากทุกหนแห่ง
และทุกคนในตำหนักล้วนประสานมืออวยพรไปทางสวี่ชิง ในใจสวี่ชิงโหมเป็นคลื่นลูกมหึมาสาดซัด เขาสัมผัสได้ว่าพลังบำเพ็ญในร่างกายตอนนี้กำลังโคจรอย่างรวดเร็ว
ดวงชะตาระดับนี้จะสนับสนุนพลังต่อสู้ของเขา ทำให้เมื่อเขาอยู่ในเขตดินแดนเผ่ามนุษย์ก็จะแข็งแกร่งกว่าอยู่ที่อื่น กระทั่งเขายังสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือไม่ ถ้าประชากรเผ่ามนุษย์มากเท่าไร ขีดจำกัดที่ช่วยสนับสนุนนี้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก คารวะจักรพรรดิมนุษย์ตามขนบ
ไม่ว่าเบื้องหลังการลอบสังหารจะเป็นใคร การประหารนักโทษในวันนี้จะเป็นการแสดงหรือไม่ ก็ต้องตรวจสอบหลังจากนี้
คดีในวันนั้น จบลงด้วยการแต่งตั้งของจักรพรรดิมนุษย์ในตอนนี้
และสวี่ชิงก็ทราบดี การแต่งตั้งของจักรพรรดิมนุษย์ ถึงจะเป็นการสนับสนุนตนอย่างแท้จริง
ส่วนความจริงเป็นเช่นไร ก็นานาจิตตัง บางเรื่อง การละไว้ในฐานที่เข้าใจจะลึกล้ำและยั่งยืนกว่าการเปิดเผยความจริง
ยิ่งไปกว่านั้น…สวี่ชิงยังสัมผัสได้ว่าจักรพรรดิมนุษย์กำลังจะเดินหมากครั้งสำคัญในตาต่อไปกับใครบางคน
คนผู้นั้น จากเรื่องในวันนี้รวมถึงคำเตือนของจิ้งจอกดินเหนียว สวี่ชิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นราชครูที่น่าสงสัยว่าจะเป็นองค์รัชทายาทม่วงคราม!
ตนถูกลอบสังหารที่นี่ เบื้องหลังอาจเป็นจักรพรรดิมนุษย์ หรืออาจเป็นราชครู และเป้าหมายนั่นไม่ใช่การสังหาร การวางหมากถึงที่เป็นจุดสำคัญ
‘เช่นนั้น เมื่อฝั่งหนึ่งวางหมากแล้ว ตามกฎกระดานหมากล้อม อีกฝ่ายก็ต้องวางหมากเช่นกัน…’
ขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิดในใจ นิมิตมงคลที่เกิดขึ้นจากดวงชะตาด้านนอกก็เริ่มสงบลง เสียงของจักรพรรดิมนุษย์ดังขึ้นอีกครั้ง ระลอกคลื่นแผ่ออกไปนอกวังหลวง ดังก้องไปทั้งฟ้าดินเมืองหลวงจักรพรรดิ
“มีอีกเรื่องที่ต้องแจ้งแก่ราษฎรของข้า”
“อ๋องสวรรค์ตงติ่งได้รับชัยชนะครั้งใหญ่จากการโจมตีเมืองหลวงจักรพรรดิฟ้าทมิฬ แผ่นดินกว่าครึ่งของแดนใหญ่ฟ้าทมิฬ เป็นของเผ่ามนุษย์เราแล้ว!
“วันที่เราขึ้นครองราชย์เคยรับปากมหาจักรพรรดิครองกระบี่ไว้ว่าชีวิตนี้จะทำให้เผ่ามนุษย์รุ่งโรจน์ เราทำดวงตะวันแห่งแสงอรุณได้แล้ว เผ่าฟ้าทมิฬที่ทำร้ายจักรพรรดิองค์ก่อน เราจะบดขยี้ให้สิ้น!
“วันนี้เพื่อเฉลิมฉลองการขยายดินแดนเผ่ามนุษย์ เราจะเปิดมรดกดาราจักรพรรดิโบราณ ให้เหล่าอัจฉริยะรวมถึงองค์ชายเผ่ามนุษย์เรา ได้สัมผัสรับรู้วิถีโบราณ!
“หากผู้ใดได้รับมรดกจากมหาจักรพรรดิ เราจะประทานจี้มังกรให้!”
เสียงของจักรพรรดิมนุษย์ราวกับสายอัสนีบาต ครืนครันไปทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นราวกับคลื่นลูกมหึมา เคลื่อนพนมล่มมหาสมุทร ทำให้อัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์มากมายที่ได้ยิน ต่างคลื่นในใจโหมสูงนับหมื่นจั้ง
“การเปิดมรดกดาราจักรพรรดิโบราณครั้งที่แล้วคือเมื่อสามร้อยปีก่อน!”
“ครั้งนี้ ข้าต้องได้รับมรดก!”
กลิ่นอายปะทุขึ้นมาจากทั่วสารทิศเป็นสายๆ ในพริบตา