ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 762 นั่งทางบูรพาทิศ เพ่งพินิจหมู่ดารา
บทที่ 762 นั่งทางบูรพาทิศ เพ่งพินิจหมู่ดารา
เรื่องนี้เรียกได้กระทั่งว่าเป็นหนึ่งในพิธียิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์
โดยปกติแล้วดาราจักรพรรดิโบราณ นอกเสียจากจะเซ่นไหว้บรรพชน ไม่เช่นนั้นแล้วน้อยครั้งนักที่จะเปิด
เพราะทุกครั้งที่เปิดมันทำให้ดาวโบราณตื่นขึ้นจากสภาวะหลับใหล ต้องใช้พลังดวงชะตาเผ่ามนุษย์มหาศาล ยิ่งต้องพลาญพลังรากฐานของดาวโบราณ
อย่างไรเสียที่นั่นก็เคยเป็นที่ตั้งของวังหลวงในยามที่เผ่ามนุษย์รวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่ง ก่อนที่เสี้ยวหน้าจะมาเยือน หมื่นเผ่าต่างมาเข้าเฝ้าที่นี่ กระทั่งในภาพวาดฝาผนังหลายๆ เผ่า ที่นั่นเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสวรรค์ เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้อย่างไม่ต้องละอาย
ต่อให้จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวนำผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายจากไป แต่ดาวดวงนี้เดิมก็มีตำแหน่งสูงอยู่แล้ว มีความหมายไม่ธรรมดา
เพราะในนั้นแฝงไว้ด้วยมรดกสายตรงของหนึ่งร้อยแปดโหวนภาที่ติดตามจักรพรรดิโบราณในตอนนั้น และวิถีของอ๋องสวรรค์ทั้งสามสิบสามคนที่ไม่ว่าคนใดก็สั่นคลอนทุกทิศ
อย่างหลี่จื้อฮว่า เขาก็ทิ้งมรดกไว้ในนั้น
และสิ่งที่คนวาดหวังที่สุดคือตราประทับมหาจักรพรรดิทั้งเก้าของเผ่ามนุษย์ในนั้น
ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว เป็นยุครุ่งโรจน์ของเผ่ามนุษย์ และเป็นจุดสูงสุดของพลังดวงชะตาเผ่ามนุษย์ จึงมีมหาจักรพรรดิเก้าองค์ปรากฏขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ว่าเผ่ามนุษย์คนใด หากได้มรดกมหาจักรพรรดิ ฐานะและตำแหน่งจะก้าวเดียวสู่สวรรค์ พลังบำเพ็ญหลังจากนั้นก็จะไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน
แต่น่าเสียดาย ดาราจักรพรรดิโบราณเปิดน้อยครั้งนัก ระยะเวลาที่เปิดทุกครั้งก็สั้นมาก ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ มีผู้ที่สัมผัสรับรู้มรดกโหวนภาได้ แม้มรดกอ๋องสวรรค์จะน้อย แต่ก็เคยมีปรากฏเช่นกัน
แต่ตราประทับมหาจักรพรรดิไม่เคยมีใครได้รับมาก่อน
ที่ได้กันส่วนใหญ่ คือเคล็ดวิชาของวีรบุรุษผู้กล้าที่รบตายเพื่อเผ่ามนุษย์ระดับโหวนภาลงไปจำนวนหนึ่ง แม้ระดับขั้นห่างชั้น แต่ก็นับว่าพิเศษ
ตอนนี้ ขั้วอำนาจทุกฝ่ายในเมืองหลวงต่างตื่นตะลึงกับการกระทำอันกะทันหันของจักรพรรดิมนุษย์ ยามที่ในใจเกิดระลอกคลื่นหมื่นจั้ง ในสำนักยอดจักรพรรดิดารา ในหอสำรวจนภา สายเลือดจักรพรรดิแซ่เผิงคนนั้นวันนี้อยู่ในสระน้ำเซียนถ้ำสวรรค์หอเลือนโลกีย์ พลันลืมตาตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ
‘จักรพรรดิมนุษย์เปิดดาวโบราณ ให้อัจฉริยะเผ่ามนุษย์สัมผัสรับรู้วิถีโบราณ!’
ในดวงตาของเขาฉายประกายวาววาบ ผุดลุกขึ้นทันที
‘ในเมื่อหลิงเหยานั่นปฏิเสธหลายครั้ง ไม่เอาปราณพลังหยินของนางก็ได้ ในมรดกดาราจักรพรรดิโบราณ ข้าในฐานะที่เป็นลูกหลานสายเลือดมหาจักรพรรดิได้เปรียบเป็นอย่างมาก หากได้มา และได้จี้มังกรมาด้วย อาศัยพลังดวงชะตาคุ้มครอง สามารถทะลวงขั้นสมบัติวิญญาณก้าวสู่ระดับหวนสู่อนัตตาได้ทันที นับจากนี้ทุกอย่างก็จะราบรื่น ก้าวไปสู่ระดับเตรียมสู่เทวะก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้’
ขณะเดียวกัน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง ที่นั่นมีศาลเจ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ศาลเจ้าแห่งนี้ภายนอกดูธรรมดานัก เต็มไปด้วยร่องรอยของห้วงเวลาที่ไหลผ่านไป
แต่ในนั้นลึกลับน่าอัศจรรย์ มีถ้ำสวรรค์มากมาย กว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด
ตอนนี้ในถ้ำสวรรค์หนึ่งในนั้นมีผู้บำเพ็ญลักษณะเหมือนพระคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ คนผู้นี้เป็นชายกลางคน ไม่มีผม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยสัก
มองให้ละเอียดก็จะเห็นรูปร่างของรอยสักนั่นเป็นเสี้ยวหน้าบนท้องฟ้านั่นเอง
“ดาราจักรพรรดิโบราณเปิด เฝินซิง เจ้าไปเป็นตัวแทนของสำนักสัจจะวาจา ไปสัมผัสรับรู้สักหน่อย”
เสียงแหบพร่าผ่านห้วงกาลเวลาดังก้องไปในถ้ำสวรรค์ ดวงตาทั้งสองของชายกลางคนที่นั่งขัดสมาธิลืมตื่นขึ้น มือทั้งสองกอดอก ก้มหน้ารับคำ จากนั้นก็ลุกขึ้น เปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวสีขาวทั้งร่าง ปกปิดส่วนศีรษะ เดินออกไปข้างนอก
เงาร่างของเขาเพียงก้าวเดียวก็รางเลือน ก้าวที่สองก็หายลับไป ก้าวที่สามมาปรากฏอยู่บนสะพานสายรุ้งนอกวังหลวง รอคอยเงียบๆ
ภาพคล้ายที่คล้ายๆ กัน เงาร่างที่คล้ายๆ กัน ในสิบสุดยอดสำนักทั้งเผ่ามนุษย์ล้วนปรากฏออกมา ทางหอเลือนโลกีย์ที่เดินออกมาคือหลิงเหยานั่นเอง สำนักอื่นๆ ต่างก็มีอัจฉริยะที่ถูกส่งให้เข้าร่วมเช่นกัน
ขั้วอำนาจยุทธภพก็เช่นกัน สายตรงเผ่ามนุษย์ยิ่งย่อมเป็นเช่นนั้น
ในห้าวังทมิฬบน ผู้ที่ได้รับการอบรมฝึกฝนอย่างเข้มข้นและมีคุณงามความชอบครั้งใหญ่ อีกทั้งมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขต่างทยอยปรากฏตัวขึ้น ห้าวังทมิฬล่างก็เช่นกัน และยังมีบุตรหลานจากชนชั้นสูงผู้มีอำนาจฝ่ายต่าง
แล้วก็ยังมีองค์หญิงองค์ชาย!
นอกจากองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสองที่แต่งงานออกไป และองค์ชายห้าเนื่องจากติดตามอ๋องสวรรค์อันดับหนึ่งเผ่ามนุษย์ไปรักษาอยู่ชายแดนเผ่านภาคิมหันต์จึงไม่อยู่ในเมืองหลวง ตลอดจนองค์ชายใหญ่ที่ไม่เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิมนุษย์ อีกทั้งองค์ชายแปดและเก้าที่สละสิทธิ์แล้ว องค์ชายคนอื่นๆ ล้วนเลือกที่จะเข้าร่วมทั้งหมด
สำหรับจี้มังกร คนอื่นๆ ให้ความสำคัญเพราะในนั้นมีพลังดวงชะตา สามารถเสริมพลังให้กับตน มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ส่วนเหล่าองค์ชาย…พวกเขาให้ความสำคัญกับนัยยะที่เป็นสัญลักษณ์ของจี้มังกรมากกว่า
จะอย่างไรนับจากที่จักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นขึ้นครองราชย์มานี้ เป็นครั้งแรกที่…เอาจี้มังกรที่เป็นตัวแทนของฐานะจักรพรรดิมนุษย์มาเป็นของรางวัล
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นล้ำลึกนัก และคนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสัมผัสรับรู้ครั้งนี้ ไม่มีคนโง่ ดังนั้นต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง
“การที่จักรพรรดิมนุษย์ประทานจี้มังกร…หรือข่าวลือจะเป็นจริง จักรพรรดิมนุษย์คิดจะเลือกรัชทายาทจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ว่าจะอย่างไร มรดกครั้งนี้ดูเหมือนเปิดกว้างให้กับอัจฉริยะทุกคน แต่ความจริงแล้วทุกคนเป็นใบไม้เขียวกันหมด ดอกไม้แดงในนี้…คือองค์ชายเหล่านั้น”
“จักรพรรดิมนุษย์จะพิจารณาบุตรของตัวเอง ดูว่าใครจะได้รับการยอมรับจากบรรพชนที่สุด”
“แน่นอนว่า หากมีคนโดดเด่นออกมาจาการสัมผัสรับรู้ที่ทดสอบองค์ชาย ก็จะต้องได้รับความสนใจจากผู้คนทั้งหลายแน่นอน นี่เป็นโอกาส!”
นอกวัง กระแสฮือฮาจากคำพูดของจักรพรรดิมนุษย์ เงาร่างแต่ละทางๆ มาถึงจากทั่วทุกสารทิศ รวมตัวมายังบนสะพานสายรุ้ง กวาดตามองไปมีมากถึงหลายพันคน
และในวัง จักรพรรดิมนุษย์ที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นที่เก้า ถอนสายตากลับมาจากนอกตำหนัก ยกมือขวาขึ้น แขนเสื้อสะบัดเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้า
“ท่านทั้งหลาย ตามข้าไปร่วมชมสะพานในอนาคตของเราเผ่ามนุษย์ ยุคนี้เป็นยุคของพวกเรา ทว่ายุคในวันข้างหน้าเป็นของพวกเขา”
เสียงของจักรพรรดิมนุษย์มีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก
คนทั้งหลายในตำหนักใหญ่ต่างแย้มยิ้มสีหน้ามีความสะท้อนใจปรากฏขึ้น ท่าทางอย่างจักรพรรดิและขุนนางร่วมสุข ตามจักรพรรดิมนุษย์เดินออกไปจากตำหนัก
สวี่ชิงก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน หนิงเหยียนทางนั้นจงใจช้าเล็กน้อย มายังข้างกายสวี่ชิง
สวี่ชิงมองหนิงเหยียนผาดหนึ่ง พบว่าสีหน้าของเขาค่อนข้างหงอยเศร้า เขารู้ว่าหนิงเหยียนกลัวจักรพรรดิมนุษย์ และภาพแต่ละฉากๆ ที่เกิดขึ้นในวังหลวงก่อนหน้านี้ก็ทำให้หนิงเหยียนเป็นกังวล
ที่สำคัญกว่านั้นคือ จักรพรรดิมนุษย์นับแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้ชายตามองหนิงเหยียนเลย และไม่ถามอะไรแม้แต่น้อย
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นสาเหตุความหมองเศร้าของหนิงเหยียน
“ไม่เป็นไร”
สวี่ชิงพยักหน้าเล็กน้อย
หนิงเหยียนถอนหายใจ สวี่ชิงทำให้เขารู้สึกเป็นเหมือนพี่ชายของตัวเองเมื่อตอนนั้น ยืนอยู่ข้างสวี่ชิงเขารู้สึกจิตใจสงบ จึงเข้าใกล้สวี่ชิงอีกนิด
ในใจของเขาก็มีความขมขื่น ฝ่ายหนึ่งคือบิดาของตัวเอง ฝ่ายหนึ่งคือสหาย แต่ความเย็นชาของบิดาทางนั้นราวกับฤดูหนาวอันหฤโหด
อยู่สูงส่ง เต็มไปด้วยความเย็นชา มอบความอบอุ่นใดๆ ให้กับตนไม่ได้เลย
กลับเป็นสหายทางนี้ที่สนิทสนมกว่า เชื่อใจได้มากกว่า
ตอนนี้จากการเดินออกมาของคนหลายร้อยในตำหนัก ก็ดึงความสนใจของอัจฉริยะทั้งหลายที่อยู่บนสะพานสายรุ้งโลกภายนอกทันที สีหน้าพวกเขาแต่ละคนเคร่งขรึม คารวะไปทางตำหนักใหญ่พร้อมกัน
จักรพรรดิมนุษย์พยักหน้าเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้น กดไปยังท้องฟ้า
จากการกดนี้ ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก มังกรทองพลังดวงชะตาทั่วสารทิศต่างคำราม หอบม้วนพลังดวงชะตามหาศาลพุ่งไปยังดาราจักรพรรดิโบราณดวงมหึมาที่อยู่ข้างหลังวังดวงนั้น
สุดท้ายก็วนล้อมอยู่เหนือดาราจักรพรรดิโบราณ มังกรคำรามเสียงแล้วเสียงเล่า ประดุจร้องเรียก
นั่นเป็นการร้องเรียกของโชคชะตา และเป็นการร้องเรียกของเผ่ามนุษย์เช่นกัน และในเสียงร้องของดาราจักรพรรดิโบราณ เมฆหมอกข้างนอกไหลเร็วขึ้น หมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงสนั่นหวั่นไหวเบิกฟ้าเบิกปฐพีก็ดังก้อง
ดาราจักรพรรดิโบราณราวกับดวงตาดวงมหึมาพลันลืมตื่นขึ้นมา
ทันทีที่ลืมตื่นขึ้น ฟ้าดินไร้สี แสงพร่างพรายไร้ขอบเขต นิมิตมงคลไร้สิ้นสุด แผ่ซ่านออกมาจากดาราจักรพรรดิโบราณ ทำให้ทะเลเมฆเดือดพล่าน เงาร่างปูชนียบุคคลเผ่ามนุษย์แต่ละร่างๆ ปรากฏขึ้นในเมฆหมอกดาราจักรพรรดิโบราณ
ยิ่งมีคลื่นวนขนาดมหึมาหมุนวน แผ่พลังดูดน่าตื่นตะลึงแผ่ลามไปข้างนอก
“ดาราจักรพรรดิโบราณเปิดออกแล้ว ผู้เก่งกาจยอดเยี่ยมแห่งเผ่ามนุษย์ พวกเจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่ไปสัมผัสรับรู้วิถีโบราณอีก จะรออีกเมื่อใดกัน!”
ราชเลขาที่ยืนอยู่ข้างหลังจักรพรรดิมนุษย์ คำรามเสียงต่ำไปทางสะพานสายรุ้ง
จากเสียงที่ดังแผ่ไป อัจฉริยะเผ่ามนุษย์หลายพันจากฝ่ายต่างๆ ที่อยู่บนสะพานสายรุ้ง แต่ละคนต่างพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ลอยขึ้นไปยังท้องฟ้า ก็ถูกแรงดูดที่แผ่มาจากดาวโบราณดูด ราวกับดาวตกเป็นทางๆ พุ่งตรงไปยังดาวจักรพรรดิโบราณ
ไม่นานนัก เงาร่างหลายพันก็ปรากฏอยู่นอกดาราจักรพรรดิโบราณ บ้างนั่งอยู่บนเมฆ บ้างตัวอยู่นอกเมฆหมอก ต่างหลับตาเริ่มทำการสัมผัสรับรู้
องค์ชายและอัจฉริยะที่อยู่ที่นี่ปะปนอยู่ด้วยกัน ยากจะแบ่งแยกซึ่งกันและกัน
และการเปิดดาราจักรพรรดิโบราณก็แบ่งเป็นหลายขั้น ตอนนี้ที่เปิดเป็นแค่ขั้นแรกเท่านั้น
อยู่ในขั้นนี้ ผู้มาเยือนไม่สามารถเหยียบย่างเข้าไปในดวงดาวได้ ทำได้แค่สัมผัสรับรู้อยู่ในเมฆหมอกภายนอกเท่านั้น
จุดสำคัญของการสัมผัสรับรู้คือมรดกแต่ละทางๆ ที่วนเวียนอยู่บนดาราจักรพรรดิโบราณ พวกมันดำรงอยู่ด้วยสภาพที่ต่างกัน บ้างเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก บ้างหลับใหลอยู่ในดวงดาว
ดังนั้นการสัมผัสรับรู้นี้ความจริงแล้วต้องมุ่งไปทั้งสองทาง
ในขณะที่ตัวผู้บำเพ็ญยอดเยี่ยมก็ต้องดูมรดกบนดาราจักรพรรดิโบราณว่ามรดกใดจะยอมรับตนเองได้มากกว่า
สวี่ชิงเงยหน้า มองไปยังร่างหลายพันบนดาวจักรพรรดิโบราณ จากนั้นก็มองไปยังหนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ
“เจ้าก็ไปลองดูสิ”
หนิงเหยียนลังเล มองๆ สวี่ชิง แล้วมองไปยังจักรพรรดิมนุษย์ที่อยู่ที่ไกล กัดฟันแล้วทะยานร่างขึ้นไป ถูกเหนี่ยวนำที่กลางอากาศ พุ่งตรงไปยังดาราจักรพรรดิโบราณ
ไม่นานนัก เงาร่างของเขาก็มาปรากฏบนเมฆหมอกกลุ่มหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม มาพร้อมด้วยความยึดมั่น ขัดสมาธิหลับตา
สายตาของจักรพรรดิมนุษย์กวาดไปบนดาวจักรพรรดิโบราณ ไม่หยุดอยู่ที่ใครทั้งสิ้น สุดท้ายในเสี้ยวขณะที่ดึงกลับมา เขาหันหลังให้สวี่ชิง เอ่ยราบเรียบ
“ขุนนางสวี่ ด้วยอายุและพลังบำเพ็ญของเจ้า หากเจ้าอยากเข้าร่วมก็ไปได้”
สวี่ชิงคำนวณเวลา สำหรับการสัมผัสรับรู้เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น เขายินดีที่จะเข้าร่วม ในเมื่อเป็นถึงมรดกโบราณ หากได้มาย่อมมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญเรื่องอื่น
ลูกกลอนเลือดที่หลอมให้จื่อเสวียนหลอมมาครึ่งเดือน วันที่หลอมสำเร็จก็อีกไม่กี่วันแล้ว และลูกกลอนที่ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ เขาต้องไปเพิ่มพลังบำเพ็ญในทุกช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้ยาอยู่ในสภาวะหลอมอยู่ตลอด
‘สองชั่วยามหลังจากนี้ก็ต้องไปเพิ่มพลังให้เตาหลอม ไม่เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดก็สูญเปล่า…’
สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ก็ประสานมือไปทางจักรพรรดิมนุษย์ที่อยู่ข้างหน้า
“ขอบพระทัยฝ่าบาท การสัมผัสรับรู้ของข้าธรรมดาทั่วไป ไม่ขอใช้พลังดวงชะตาเผ่ามนุษย์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิมนุษย์ได้ยินก็ไม่โน้มน้าวอะไรอีก แต่มองไปยังราชองครักษ์ที่อยู่ข้างกายผาดหนึ่ง
ราชองครักษ์เข้าใจความหมายถอยออกไปจัดการ ไม่นานนักโต๊ะแต่ละตัวๆ ก็มาปรากฏอยู่นอกตำหนัก จักรพรรดิมนุษย์นั่งลง ขุนนางหลายร้อยก็ทยอยนั่งลงตาม
ยิ่งมีผลไม้เซียนสุราชั้นเลิศส่งมา จักรพรรดิและขุนนางร่วมดื่ม ร่วมชมชนรุ่นหลังที่สัมผัสรับรู้อยู่บนเมฆหมอก บรรยากาศชื่นมื่นนัก
ยิ่งมีบางคนพูดคุยหัวเราะ วิพากษ์วิจารณ์อัจฉริยะของแต่ละตระกูล คำพูดแฝงไว้ด้วยความชมเชย
สวี่ชิงทางนี้ข้างกายมีชายชราชุดขุนนางสีน้ำเงินคนหนึ่ง ประสานมือมาทางเขา ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ใต้เท้าสวี่ ท่านไม่ไปสัมผัสรับรู้ ค่อนข้างน่าเสียดายเลยทีเดียว โอกาสนี้หาได้ยากยิ่งนัก”
สวี่ชิงทำความเคารพกลับ เอ่ยอย่างมีมารยาท
“ข้าแซ่สวี่พรสวรรค์มีจำกัด ช่างน่าเสียดายนัก”
ชายชราคนนั้นกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่ในตอนนี้เอง เสียงของจักรพรรดิมนุษย์ก็ดังมา
“ทุกท่าน วันนี้ไม่แยกแยะจักรพรรดิและขุนนาง พูดแค่คำพูดตรงๆ พวกท่านคิดว่า องค์ชายคนไหนของข้าเหมาะเป็นรัชทายาทมากกว่า”
คำพูดนี้ของจักรพรรดิมนุษย์ดังออกไป ที่นี่เงียบสงัดไปในทันที
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ราชเลขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ราชครูดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ทำนายชะตา น่าจะสามารถวิจารณ์อะไรได้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิมนุษย์หันหน้าไปเล็กน้อย มองไปทางที่กว้างโล่งเยื้องไปทางขวา
“ราชครู ท่านคิดเช่นไร”
คำพูดนี้เพียงดังออกมา สวี่ชิงพลันเงยหน้าขึ้น มองไปทางเยื้องไปทางขวาของจักรพรรดิมนุษย์
ตรงนั้นมิติแผ่ระลอก เงาร่างหนึ่ง ปรากฏวับแวม