ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 763 เสียงเพรียกจากดาวจักรพรรดิโบราณ
บทที่ 763 เสียงเพรียกจากดาวจักรพรรดิโบราณ
บางครั้ง เรื่องบางอย่างต่อให้ในใจมีการคาดเดาไว้แล้ว อีกทั้งยังมั่นใจ แต่ในยามที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็ยังเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ในใจอย่างห้ามไม่ได้
ความเล็กใหญ่ของระลอกคลื่นอยู่ที่ระดับความสำคัญของเรื่องต่อตัวที่เกิดกับเจ้าตัวเอง
ยิ่งใหญ่เท่าไร ระลอกคลื่นก็รุนแรงมากเท่านั้น
ตอนนี้ ที่เยื้องทางขวาของจักรพรรดิมนุษย์ บริเวณว่างโล่งที่สายตาของเขามองไป ที่นั่นมิติแผ่ระลอก จากนั้นสิ่งที่ตามมาคือเสียงอันอ่อนโยนประโยคหนึ่ง
“ฝ่าบาททรงมีคำตอบอยู่ในพระทัยแล้ว คนนอกจะพูดอย่างไร จะสามารถเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่เสียงดังมา เงาแผ่นหลังทางหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากในมิติเยื้องไปทางขวาของจักรพรรดิมนุษย์ ดึงให้สายตาของทุกคนจ้องมอง
ชุดนักพรตสีขาว เต็มไปด้วยความงามสง่า ผมสีม่วงทำให้คนรู้สึกเหมือนมาร และร่างที่เหยียดตรงประดุจสายลมที่รวบรวมไว้ด้วยแก่นแท้ฟ้าดิน แปรเปลี่ยนไม่สิ้นสุด คาดเดาไม่ได้
ฟังเสียงแล้วมองเงาแผ่นหลังนี้ สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ แต่มือขวาของเขากำแน่น ออกแรงกำสุดแรง ยิ่งมีเส้นเลือดขึ้นปูดโปนบนหลังมือ
ไม่ต้องเห็นซึ่งหน้า เสียงนี้ เงาแผ่นหลังนี้…ทำให้เขามั่นใจถึงตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน จากการเตือนของจิ้งจอกดินเหนียว เขาก็พอจะเดาตัวตนของราชครูได้แล้ว แต่ในพริบตาที่ได้เห็นจริงๆ ความประหลาดใจและระลอกคลื่นอารมณ์ก็ยังคงแปรเปลี่ยนเป็นลมพายุในใจเขา
เขาไม่รู้ว่าทำไมคนคนนี้มาเป็นราชครูได้ อีกทั้งยังปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างผ่าเผย
ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีการติดต่อหรือการแลกเปลี่ยนอะไรกับจักรพรรดิมนุษย์กันแน่
เขารู้เพียงว่า อีกฝ่ายเป็นกลุ่มเทียนประทีป สังหารนายท่านหก ตัวการหลักเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในเขตปกครองผนึกสมุทร ระหว่างตน…ไม่อาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้!
เขารู้แค่ว่าอีกฝ่าย…คืออีกาที่เขาจะต้องฆ่าให้ได้!
แต่สวี่ชิงในตอนนี้ไม่ใช่คนในอดีตแล้ว พบรัชทายาทรัฐม่วงครามอีกครั้ง อารมณ์ของเขาไม่พุ่งพล่าน เขาสามารถซ่อนอารมณ์สุดโต่งเอาไว้ในใจ ไม่แสดงออกมาข้างนอกได้แล้ว
ดังนั้น สายตาของสวี่ชิงหรุบลงเล็กน้อย พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา ข้างหูได้ยินเสียงที่ดังมาจากคนทั้งหลาย
“คารวะท่านราชครู”
คนทั้งหลายนอกตำหนักต่างก้มหน้า เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
ราชครู ในสายหลักเผ่ามนุษย์แม้จะไม่มีอำนาจแท้จริง แต่ฐานะสูงส่ง เป็นรองเพียงจักรพรรดิมนุษย์และมหาจักรพรรดิเท่านั้น
และจักรพรรดิมนุษย์ในตอนนี้ สังเกตเห็นการทำความเคารพของคนทั้งหลาย มุมปากเผยรอยยิ้มมองไปทางดาวจักรพรรดิโบราณ
ส่วนราชครูที่อยู่ข้างๆ กลับหมุนตัว เผยหน้ากากที่อยู่ใต้เสื้อคลุมออกมา
นั่นเป็นใบหน้ายิ้มสีขาว ลักษณะแปลกพิกลนัก แต่ในยามที่จ้องหน้าเขา ผู้คนก็จะเมินการมีอยู่ของหน้ากากไปตามสัญชาตญาณ เพราะดวงตาทั้งสองของราชครู มีชีวิตชีวายิ่งกว่าผู้ใด กลายเป็นแสงระยิบระยับพร่างพราย ดึงดูดซึ่งทุกสิ่ง
เขาหันหน้าหาขุนนางทั้งหลาย หลังจากพยักหน้า สายตาของเขาก็มองไปยังร่างของคนทั้งหลายทีละร่างๆ สุดท้าย…ก็จับจ้องมาทางสวี่ชิงทางนั้น
สวี่ชิงเงยหน้า จ้องหน้าเขา
ราชครูยิ้ม
เขามีความหยิ่งทะนงของตัวเอง และมีวิธีการลงมือทำเรื่องราวต่างๆ ของตัวเอง เรื่องวันนี้หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ในฐานะที่เป็นราชครู เช่นนั้นอาจจะติดด้วยเหตุผลบางอย่างก็จะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง จะทำการซ่อนอำพราง
แต่เขาคือรัชทายาทรัฐม่วงคราม!
เขาทำอะไรไม่เคยหลบๆ ซ่อนๆ และไม่มีทางเพื่อเป้าหมายอะไรบางอย่างไปส่งอิทธิพลกับการกระทำของตัวเอง
ดังนั้น เขาจึงปรากฏตัวขึ้น ยิ่งยกมือถอดหน้ากากบนใบหน้าออก เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองต่อเหล่าขุนนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าขุนนางเห็นใบหน้าของเขา
ก่อนหน้านี้ คนที่เห็นใบหน้าเขามีเพียงจักรพรรดิมนุษย์เท่านั้น ส่วนเขาที่คนอื่นเห็นล้วนสวมชุดคลุมยาวสีขาว สวมหน้ากากยิ้มสีขาวอยู่ตลอด
ตอนนี้จากหน้ากากที่ถูกถอดออก ใบหน้าที่ปรากฏต่อหน้าคนทั้งหลาย ทำให้ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป ในใจตกใจสงสัย
มันช่าง…ใบหน้าดวงนี้คล้ายกับสวี่ชิงถึงเจ็ดส่วน!
แต่ซีดขาวกว่าเล็กน้อย คล้ายว่าเย็นยะเยือกกว่า คล้ายว่าชั่วร้ายยิ่งกว่า
แต่ในดวงตาระยิบระยับคู่นั่นก็เหมือนไม่มีซึ่งสิ่งแปลกปลอมใดๆ ใสกระจ่างเป็นที่สุด
ส่วนคิ้วกระบี่ที่พาดยาวเหนือดวงตาทั้งสอง และริมฝีปากบาง อีกทั้งโครงหน้าที่เหลี่ยมมุมแบ่งแยกชัดเจนน ทุกอย่างนี้ทำให้ราชครูเหมือนมังกรขาว งดงามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเย็นชาถึงที่สุด
ภาพนี้ทำให้คนทั้งหลายที่อยู่นอกตำหนักต่างเงียบนิ่ง ความคิดผุดขึ้นมา เพราะความคล้ายคลึงระหว่างราชครูกับสวี่ชิงไม่ใช่แค่หน้าตาเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติภายใน
แม้วิชาเวทจะทำได้ถึงขั้นนั้น แต่ทำแบบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สมกับฐานะของราชครู
ดังนั้น…ก็มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้นแล้ว
คำอธิบายนี้ทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด ในขณะเดียวกับที่นึกถึงเรื่องลอบสังหารที่เมืองหลวงก็มีคนลอบมองไปทางจักรพรรดิมนุษย์ ความคิดต่างๆ นานา ไม่เผยออกมาให้เห็น
ส่วนทางราชครูทางนั้น เขาไม่สนใจสายตาของคนทั้งหลาย ตอนนี้มองสวี่ชิง ใบหน้าฉายรอยยิ้ม ในดวงตาแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“น้องชายข้า พบกันอีกแล้ว”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ มองราชครูที่อยู่ข้างหน้า ไม่พูดอะไร
“การลอบสังหารในเมืองหลวงไม่ใช่ฝีมือข้า ข้ารังเกียจ และไม่มีทางทำ”
ราชครูยิ้มพลางเอ่ย พูดจบก็หันหลัง นั่งลงข้างๆ จักรพรรดิมนุษย์ ชมอัจฉริยะเผ่ามนุษย์บนดาวจักรพรรดิโบราณเหล่านั้นร่วมกันกับจักรพรรดิมนุษย์
ขุนนางทั้งหลายหน้าตำหนักก็ร่วมชมเช่นกัน
สวี่ชิงสีหน้ายังเหมือนเดิม เหมือนว่าวันนี้ไม่ได้พบกับรัชทายาทรัฐม่วงคราม นั่งอยู่ตรงนั้นทุกอย่างเป็นปกติ เงยหน้ามองไปยังหนิงเหยียนที่อยู่บนดาวจักรพรรดิโบราณ ในใจคำนวณเวลาที่จะจากไป
เขาต้องการการกระทำนี้มาสลายลมพายุในใจเขา
นอกตำหนัก เงียบสงัดราวผิวน้ำในทะเลสาบที่ไร้ลมไร้คลื่น
แต่ในใจของทุกคนตอนนี้ล้วนมีระลอกคลื่นกันทั้งนั้น หากเชื่อมอยู่ด้วยกัน เกรงว่าคงเกิดเป็นคลื่นยักษ์สะท้านฟ้าดิน กวาดโหมซึ่งทุกสิ่ง
และเวลาท่ามกลางความเงียบสงบข้างนอกและคลื่นภายในใจก็ค่อยๆ ไหลผ่านไป ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
การสัมผัสรับรู้ของอัจฉริยะเผ่ามนุษย์บนดาวจักรพรรดิโบราณ ในตอนนี้เองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับขึ้น
กวาดตามองไป นอกดวงดาวจักรพรรดิโบราณ เมฆหมอกลอยตลบอวลไม่ขาดสาย ผู้บำเพ็ญหลายพันที่นั่งขัดสมาธิในนั้น บางคนบนร่างเกิดนิมิตมงคลขึ้น ในขณะที่ปรากฏภาพเหตุการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ก็มีแสงรุ้งสาดระยิบระยับพร่างพราย
นั่นหมายถึงสำเร็จหรือใกล้จะสำเร็จแล้ว เหตุการณ์อัศจรรย์นิมิตมงคลและแสงพรายรุ้งยิ่งมากเท่าไร ก็หมายถึงว่าระดับขั้นการสัมผัสรับรู้ยิ่งสูงมากเท่านั้น
แต่หลายๆ คนยังอยู่ในระหว่างขั้นตอน
แต่ว่าคนที่สำเร็จเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาสัมผัสรับรู้ไม่ใช่มรดกของโหวนภา แต่เป็นวิถีมรดกของวีรชนผู้กล้าใต้บัญชาการของโหวนภาเหล่านั้นที่รบตายไปในเวลาอันเนิ่นนานมาแล้วทิ้งเอาไว้ที่นี่
ในนั้นมีพลังวิเศษ มีวิชา แม้จะสู้มรดกโหวนภาไม่ได้ แต่ก็มีจุดที่พิเศษ สัมผัสรับรู้ได้ก็เป็นวาสนาเช่นกัน
“นั่นเป็นวิชารวมกระบี่ของเฉินชิงไห่นายกองที่ติดตามมหาจักรพรรดิครองกระบี่ในตอนนั้น ไม่เลวๆ อัจฉริยะที่วังครองกระบี่ส่งมาครั้งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ นี่สูสีกับมรดกของโหวนภาแล้ว!”
“ไม่ใช่แค่วิถีของวีรชนผู้กล้าเฉินชิงไห่ที่สัมผัสรับรู้ได้ พวกท่านดูทางนั้น รูปสลักหยินหยางปรากฏออกมา นี่เป็นเคล็ดวิชาพิฆาตขาวดำผันเปลี่ยนที่เขียนไว้ในตำราโบราณ ผู้ที่สัมผัสรับรู้ได้หน้าตาไม่ค่อยคุ้น ดูจากเสื้อผ้าน่าจะเป็นลูกศิษย์ของหน่อพิศดารจักรวาลมรกต”
จากการชม ความเงียบสงบนอกตำหนักถูกทำลาย ขุนนางบางคนกลับมาพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง ในขณะที่ค่อยๆ คึกครื้นขึ้นมา ผู้ที่สัมผัสรับรู้สำเร็จก็ค่อยๆ ทยอยเพิ่มมากขึ้น
เพียงพริบตา แสงรุ้งนอกดาวจักรพรรดิโบราณสาดส่องไม่ขาดสาย นิมิตมงคลปรากฏขึ้นถี่ๆ
และทุกครั้งที่สัมผัสรับรู้สำเร็จ ผู้สัมผัสรับรู้ได้ก็จะถูกส่งออกไปนอกดาวจักรพรรดิโบราณ มาปรากฏบนสะพานรุ้ง ทุกคนมีโอกาสสัมผัสแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนสวี่ชิง สายตาของเขาจับไปบริเวณที่หนิงเหยียนอยู่บนดาวจักรพรรดิโบราณ เวลาหนึ่งชั่วยาม หนิงเหยียนทางนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มองออกว่าเขาเหมือนพยายามมาก แต่เห็นได้ชัดว่าไร้ผล
สวี่ชิงไม่รีบร้อน พรสวรรค์ของหนิงเหยียนไม่ย่ำแย่ การสัมผัสรับรู้เช่นนี้ต่อให้สุดท้ายแล้วสิ่งที่สัมผัสรับรู้ได้มาไม่ใช่ระดับอ๋องสวรรค์ แต่ก็จะต้องได้อะไรกลับมาแน่นอน
ด้วยความคิดเช่นนี้ สายตาของสวี่ชิงเบนจากหนิงเหยียนไปยังคนอื่น กำจัดลมพายุที่พัดโหมในใจของตัวเองต่อไป
จากสายตาที่กวาดไป แม้อัจฉริยะเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเขาแทบจะไม่รู้จัก แต่ผ่านจากเสื้อผ้า ก็สามารถมองออกว่าใครเป็นองค์ชาย โดยเฉพาะในนั้นก็มีสามสี่องค์ที่สวี่ชิงเคยเห็น
อย่างเช่นองค์หญิงสาม
อย่างเช่นองค์ชายเจ็ด
ฝ่ายหลัง หลังจากที่สวี่ชิงมาถึงเมืองหลวงแล้วก็เพิ่งพบเห็นเป็นครั้งแรก
ทันทีที่มองไปยังองค์ชายเจ็ด สวี่ชิงสายตาเย็นชา ตั้งสมาธิจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่าบนร่างของอีกฝ่ายไม่มีนิมิตมงคลและแสงพรายรุ้งใดๆ สายตาของเขาก็เบนออก กำลังจะมองไปที่องค์หญิงสาม
ทว่าในตอนนี้เอง ในใจของสวี่ชิงก็พลันกระตุกวูบ สายตาหันไปตามหัวใจ มองไปทางบริเวณเมฆหมอกที่ไม่มีใครสัมผัสรับรู้
เมฆหมอกทางนั้นตอนนี้กำลังหมุนวน เทียบกับบริเวณอื่นแล้วบางเบามาก กระทั่งว่าสามารถมองเห็นขุนเขา สภาพภูมิประเทศบางแผ่งที่อยู่บนดาวจักรพรรดิโบราณใต้เมฆหมอกได้
สิ่งที่ดึงดูดสวี่ชิงก็เป็นบริเวณขุนเขาบนดาวจักรพรรดิโบราณผืนนั้น
แม้จะอยู่ห่างไกลมาก อีกทั้งดาวจักรพรรดิโบราณยังเปิดเพียงแค่เมฆหมอกชั้นที่หนึ่ง ไม่ว่าใครก็เข้าไปในดาวจักรพรรดิโบราณไม่ได้ แต่สวี่ชิงกลับสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอ่อนแรงกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากขุนเขาแห่งนั้น
ระลอกคลื่นนี้แผ่วเบานัก มาจากใต้ขุนเขา อยู่ภายในดาวจักรพรรดิโบราณ อีกทั้งยิ่งเป็นเหมือนกับการเรียกหาอย่างหนึ่ง
สวี่ชิงครุ่นคิด สายตากวาดไปรอบๆ เมฆหมอกบางเบานอกดาวจักรพรรดิโบราณกลุ่มนั้น แม้จุดที่เบาบางจะไร้ผู้คน แต่รอบๆ ในบริเวณอื่นก็มีผู้สัมผัสรับรู้เช่นกัน
“แต่เหมือนว่า…พวกเขาสัมผัสการเรียกหานี้ไม่ได้ เหมือนว่าการร้องเรียกหานี้มีเป้าหมายเจาะจง”
“มันคืออะไร…เป็นมรดกเหมือนกันหรือ”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เทียบกับผลเก็บเกี่ยวของคนอื่น เขาพบว่ามรดกที่ว่านี้ความจริงแล้วส่วนใหญ่ก่อขึ้นจากจิตบางอย่างที่ไหลวนอยู่ในเมฆหมอก
เทียบกันแล้ว การร้องเรียกหาที่ส่งออกมาจากในขุนเขาเหมือนว่าจะคล้ายกับกลิ่นอายพิเศษที่แผ่ออกมาจากวัตถุจริงอะไรบางอย่าง
ในตอนที่สวี่ชิงกำลังขบคิดอยู่ทางนี้ จู่ๆ เมฆหมอกบนดาวจักรพรรดิโบราณก็หมุนเร็วขึ้น หมอกพวยพุ่งท่วมจมทั่วทุกทิศ ปกคลุมเงาร่างของอัจฉริยะทุกคน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา กลายเป็นเป้าสายตา
เนื่องจากคลื่นเมฆหมอกเกิดขึ้นจากคนคนนี้ มองไปไกลๆ คลื่นวนลูกมหึมาลูกหนึ่งก็มีคนคนนี้เป็นศูนย์กลาง กำลังหมุนวนเสียงครืนครานดังลั่นไปรอบๆ
ยิ่งมีรูปสลักศักดิ์สิทธิ์โบราณรูปหนึ่ง มาพร้อมด้วยอำนาจน่าเกรงขามและความศักดิ์สิทธิ์ คนคนนี้ร่างลอยขึ้น สูงถึงหมื่นจั้ง สั่นสะท้านจิตใจผู้คนน ยังมีเปลวเพลิงสีทองแผ่ลามออกไปเผาไหม้ฟ้าดิน
“มรดกโหวนภา!”
“นี่เป็นวิถีของเทพสูงสุดเหยียนจี่ ที่อยู่ในอันดับสิบของร้อยแปดโหวนภา”
“คนที่สัมผัสรับรู้ได้คือ…เมิ่งอวิ๋นไป๋ หลานชายของมหาเสนา!”
ในเมืองหลวง ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ และผู้บำเพ็ญไร้สังกัดล้วนมองดาวจักรพรรดิโบราณจากไกลๆ ตอนนี้เห็นภาพนี้ก็ต่างหวั่นไหว
แม้แต่ผู้สัมผัสรับรู้คนอื่นๆ ที่ถูกหมอกบนดาวจักรพรรดิโบราณบดบังก็ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ลืมตาขึ้นมามองไปทางเมิ่งอวิ๋นไป๋ทางนั้น สีหน้าแตกต่างกันไป มีซับซ้อน มีอิจฉา มีไม่ยอมจำนน
นอกตำหนักวังหลวงขุนนางทั้งหลายแย้มยิ้ม จักรพรรดิมนุษย์สายตาชื่นชม
มีเพียงสวี่ชิงที่หลังจากสายตากวาดไปทางเมิ่งอวิ๋นไป๋ทางนั้น ก็มองไปทางภูเขาที่ถูกบดบังแห่งนั้น
“เสียงร้องเรียกหาข้ายิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว…”