ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 765 แบกกระบี่จักรพรรดิออกท่องยุทธภพ
บทที่ 765 แบกกระบี่จักรพรรดิออกท่องยุทธภพ
บนดาราจักรพรรดิโบราณ รูปปั้นปราชญ์และนักบุญตั้งตระหง่าน รายล้อมด้วยเมฆหมอก เบ่งบานออกเป็นบุบฟาเมฆหมอก ลอยขึ้นเป็นฉัตร
อีกทั้งยังมีแสงรัศมีส่องไปทั่วบริเวณ ทำให้ฉัตรยิ่งมีสีสันและมีมนต์ขลัง
นอกจากนี้ยังมีมังกรทองบินโฉบร่ายรำ ดวงชะตาพุ่งสูง เผยร่างอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์ผู้ผ่านการบรรลุภายในตัว
ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์ต่างรู้สึกตะขิดตะขวงใจจึงทยอยลืมตาขึ้น มองไปยังสายรุ้งที่พุ่งตัวออกจากดาราจักรพรรดิโบราณข้ามฟ้าดินตรงไปยังวังหลวง
แต่ละคนต่างมีข้อสงสัย
หนิงเหยียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาดวงตาเบิกโพลง หัวสมองส่งเสียงอื้ออึง
ส่วนปลายรุ้งที่พวกเขาจดจ้องอยู่คือกระบี่จักรพรรดิ
กระบี่เล่มนั้นมีสีเหมือนทองสัมฤทธิ์ ตัวกระบี่แกะสลักเป็นลวดลายมีความหมายโบราณอันลึกซึ้ง ขณะเดียวกันยังแฝงเร้นด้วยความเด็ดขาดและยิ่งใหญ่
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคนทั้งหมดไม่ทันรู้สึกถึงความผันผวนทางในใจของพวกเขา กระบี่จักรพรรดิที่สะท้อนเจตนารมณ์ในการสร้างสวรรค์และแผ่นดิน แสดงถึงความสูงส่งอันหาที่เปรียบไม่ได้ พุ่งตรงมาถึงวังหลวงด้วยความรวดเร็วอันน่าอัศจรรย์!
มันพุ่งตัวไปหาผู้มาเข้าเฝ้าโดยไม่มีการหยุดชะงัก
ดังนั้นไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ความว่างเปล่าก็พลันระเบิดตัว แม้แต่วังหลวงยังสั่นสะเทือนเล็กน้อย พื้นลานกว้างแตกระแหง ความหวาดกลัวผุดขึ้นในใจผู้เข้าเฝ้าหน้าพระราชวัง
เมื่อกระบี่ลอยมาถึง พลังของมันล้นฟ้า น่าเกรงขามดุจสายรุ้ง กลืนกินทั้งภูเขาและแม่น้ำ บดขยี้ดวงชะตาของเผ่ามนุษย์ และกักเก็บความผันผวนแห่งนิจนิรันดร์ได้ มันเคลื่อนผ่านข้างพระวรกายจักรพรรดิมนุษย์ไป ผ่านผู้ช่วยสำเร็จราชการไปทางขวา ผ่านฝูงชน ตรงไปยัง…มือขวาของสวี่ชิง
ชั่วพริบตา กระบี่นั้นลอยมาหยุดเหนือร่างสวี่ชิง
เสียงกระบี่สะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน เผยการยอมรับในตัวนายของมัน แล้วกระบี่จักรพรรดิจึงค่อยๆ ลอยตัวลงมาอยู่ในมือสวี่ชิง
ทันทีที่เขาสัมผัสด้ามกระบี่ ท้องฟ้าก็พลันส่งเสียงคำรน ร่างอวตารปราชญ์ดาราจักรพรรดิโบราณถูกดูดกลืนเข้าไปในอนธการ ประสานมือคำนับโดยพร้อมเพรียง ราวกับทำพิธีกรรม
ผู้บำเพ็ญหน้าพระราชวังต่างเป็นเสนาบดีคนสำคัญแห่งเผ่ามนุษย์ ทั้งในแง่ของลักษณะนิสัยหรือพลังบำเพ็ญล้วนแต่เป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ทว่าบัดนี้ทุกนามต่างจิตใจปั่นป่วน ทุกสายตาต่างจับจ้องสวี่ชิงและกระบี่ในมือเขาเป็นตาเดียว
กระบี่จักรพรรดิสำริดยาวสี่ฉื่อเจ็ดชุ่น คมกระบี่น่าสะพรึงกลัว ปราณกระบี่แข็งแกร่ง เฉียบคมพอจะตัดผืนฟ้าได้
ขณะนี้มันส่องแสงอยู่ในมือสวี่ชิง แสงกระบี่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เปลี่ยนสีมวลเมฆลอยลม ผืนสมุทรเมฆาพลิ้วไหล ทำให้ทุกสายตาที่จับจ้องต่างรู้สึกทึ่ง
ดูเหมือนว่าใต้แสงกระบี่นี้ อาวุธวิเศษใดล้วนแต่จะดับแสง กองทัพนับพันยังต้องหลีกหนี
แสงกระบี่สอดประสานกันส่งผลให้ผืนดินถล่มแผ่นฟ้าทลาย ก่อเกิดเป็นพลังที่คล้ายจะทำลายได้แม้แต่กาลเวลา สว่างจ้าราวกับแสงตะวันและแสงจันทร์หลอมรวมเป็นหนึ่ง ไอพลังสีม่วงแข็งแกร่งสู้วัวกระทิงได้
ทุกคนต่างตกใจ ความตะลึงงันเกิดขึ้นทุกสารทิศ
ไม่ว่าก่อนหน้านี้อัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์หลายพันคนบนดาราจักรพรรดิโบราณนี้จะบรรลุอย่างไร เบ่งบานอย่างไร ชักจูงจิตใจของผู้คนอย่างไร ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
เมื่อเทียบกับสวี่ชิงในเวลานี้ ระดับของทั้งสองฝ่ายหาได้อยู่ในขั้นเดียวกันไม่
สิ่งที่พวกเขาบรรลุคือมรดก ทว่าสิ่งที่สวี่ชิงยกมือเรียกมาคือกระบี่จักรพรรดิ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่ของจักรพรรดิครองกระบี่!
ความสำคัญของมันไม่ธรรมดา
จักรพรรดิครองกระบี่ใช้กระบี่นี้สร้างสายครองกระบี่ สถาปนาวังกระบี่ ปกป้องเผ่ามนุษย์จวบจนทุกวันนี้ ดาบที่อยู่ในมือเขาสามารถสังหารผู้ใดก็ตามที่ขัดขวางการเติบโตของเผ่ามนุษย์ ไม่สำคัญว่ามันผู้นั้นเป็นใคร แม้แต่จักรพรรดิเองก็ตาม!
หลังจากมีคนหวนนึกถึงต้นกำเนิดของกระบี่ พวกเขาก็นึกถึงตอนที่สวี่ชิงมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิก่อนหน้านี้ ทำให้จักรพรรดิฟื้นคืนชีพและเรียกเขาเข้าเฝ้า
ผู้คนที่ต่างคนต่างอยู่ชั่วขณะนี้กลับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ผู้สืบทอดวังกระบี่!”
เหล่าเสนาบดีเบื้องหน้าพระราชวังต่างจ้องมองสวี่ชิงและกระบี่จักรพรรดิ ต่างคนต่างความคิด สายตาเต็มตื้นด้วยความเคารพนบนอบ ซึ่งหาใช่ความเคารพต่อตัวสวี่ชิง หากแต่เป็นความเคารพต่อกระบี่จักรพรรดิ
ขณะเดียวกันจิตใจสวี่ชิงเกิดความปั่นป่วน เขากำกระบี่จักรพรรดิในมือ หวนนึกถึงถ้อยคำตอนที่จักรพรรดิครองกระบี่เรียกเข้าเฝ้า ทุกอย่าง…ลงตัวพอดี
ทว่าเขาหาได้มีความสุขไม่ เพราะในเสี้ยวขณะที่ได้จับกระบี่ ก็ยืนยันแล้วว่าความรู้สึกแรกของเขานั้นเป็นความจริง
องค์จักรพรรดิกำลังจะดับสูญ
พระองค์กำลังสั่งเสีย
และเขาในตอนนี้อาจจะไม่ใช่ผู้สืบทอดเจตนารมณ์เพียงหนึ่งเดียวขององค์จักรพรรดิ ทว่ากระบี่เล่มนี้ช่างหนักอึ้ง
สวี่ชิงทอดถอนใจแผ่วเบา และกำลังจะเก็บกระบี่จักรพรรดิซึ่งแบกพระราชโองการเอาไว้ แต่ทันใดนั้นแสงกระบี่ก็ปะทุออกมาอีกครา แสงกระบี่นั้นสว่างวาบราวกับมหาสมุทรแห่งแสง อาบกลืนร่างสวี่ชิง จากนั้นจึงผละออกจากมือ พุ่งตัวเข้าใส่หว่างคิ้วของเขา
ฉับพลันทั้งกระบี่จักรพรรดิและแสงกระบี่ต่างหายวับไปกับตา ไม่ได้แทงทะลุหว่างคิ้วของสวี่ชิงไป
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปชั่วขณะ สมบัติลับสามชิ้นเบื้องหลังเขาส่งเสียงครืนครัน พร้อมกับเผยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว สมบัติลับชิ้นที่สี่…ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน!
แม้จะเป็นเพียงโครงร่าง ทว่าการปรากฏตัวของมันทำให้พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงเพิ่มขึ้นทันใด กลิ่นอายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับสมบัติลับชิ้นที่สี่นั้น แม้ตอนนี้ยังเป็นเพียงปราณหมอก แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ากระบี่จักรพรรดิที่หายไปนั้น กำลังบ่มเพาะอยู่ตรงนั้น คมกระบี่ที่ส่องประกายเป็นครั้งคราว ทำให้ทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือน เทพเจ้าร่ำไห้ได้
นี่คือสมบัติลับกระบี่จักรพรรดิ!
ทันทีที่มันปรากฏกาย สมบัติเทพทั้งสามของสวี่ชิงต่างสั่นไหว เปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา สมบัติลับกระบี่จักรพรรดิเองก็ไม่น้อยหน้า พลังกระบี่ของมันท่วมท้น
แม้ว่าเมื่อเทียบกับ สมบัติเทพทั้งสามของสวี่ชิง มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเทพเจ้า ทว่ากระบี่จักรพรรดิกลับซุกซ่อนพลังอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้พลังการมีอยู่ของมันสูงค่าพอๆ กัน
เพียงแต่ว่าสวี่ชิงยังไม่สามารถใช้หรือควบคุมมันได้ในขณะนี้
เนื่องจากเป็นดาบที่มาพร้อมกับภารกิจ ไม่สามารถใช้เจตจำนงส่วนตัวควบคุมได้ สวี่ชิงจึงไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนายของมัน ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าเขาถูกเลือกโดยองค์จักรพรรดิให้เป็นผู้ถือครองกระบี่
แบกกระบี่จักรพรรดิท่องยุทธภพ
กระบี่เล่มนี้ มันกำลังรอคอย เมื่อถึงว่าเวลาแสดงภารกิจของมัน มันจะลอยออกมาจากสมบัติลับ กึ่งกลางระหว่างฟ้าดิน และฟาดฟันกระบี่ที่เป็นเป้าหมายของมัน
ในฐานะที่เป็นผู้ถือครองกระบี่ เองก็จะได้ผลประโยชน์และความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาด้วยอานุภาพของเจตจำนงกระบี่และดวงชะตาที่เก็บรวบรวมไว้
เมื่อมองสมบัติลับกระบี่จักรพรรดิ สวี่ชิงก็เข้าใจชัดแจ้งในทันใด
กระบี่กรีดร้อง สมบัติลับพร่าเลือน และหายไปพร้อมกับสมบัติเทพทั้งสาม
ฟ้าดินเงียบสงัด
จักรพรรดิมนุษย์ทอดพระเนตรมองสวี่ชิง สายพระเนตรแฝงความนัยลึกซึ้ง ทรงแย้มพระสรวลบางๆ
“ดี”
ราชครูข้างพระวรกาย มองเขาด้วยรอยยิ้มโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
สวี่ชิงเองก็ทอดสายตาเหลือบมองราชครูเช่นกัน ลองเรียกกระบี่จักรพรรดิในใจ ถ้าทำได้ เขาคิดจะใช้กระบี่เล่มนี้โจมตีเสีย
แต่น่าเสียดาย…กระบี่จักรพรรดิกลับนิ่งไม่ไหวติง
สวี่ชิงเสียดาย
เมื่อกระบี่จักรพรรดิหายไป ความผันผวนในดาราจักรพรรดิโบราณก็หายวับไปด้วย ร่างนักปราชญ์พร่าเลือน วังวนสุดท้ายยังคงอยู่เช่นเดิม พายุมรดกขององค์ชายสามปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพก่อนที่ดาบจักรพรรดิจะปรากฏตัว
ทว่าเหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์ผู้บรรลุส่วนใหญ่ต่างมีสิ่งกวนใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะปฏิบัติตัวตามปกติได้
หนิงเหยียนเป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าจะตกใจในทีแรก แต่พอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของสวี่ชิง เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ และสงบจิตใจลงได้
นอกจากนี้ยังมีองค์ชายสาม
เขาดีใจมากที่เห็นสวี่ชิงลงมือ เพราะหากองค์ชายสี่บรรลุมรดกจักรพรรดิจริงๆ ดาราบรรพกาลจะเปิดออกอีกครั้ง แล้วองค์ชายสี่จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน
สถานการณ์ปัจจุบันสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขาแล้ว
แต่สำหรับองค์ชายสี่ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เขารู้สึกเศร้าหมอง เขามักจะเผยด้านอ่อนโยนและเป็นมิตรกับโลกภายนอก ทว่าวันนี้…
เขานั่งขัดสมาธิในเมฆ มองไปทางวังหลวง สีหน้ามืดมนเป็นอย่างแรก
เขารู้ว่าศักดิ์ศรีของตนถูกเหยียบย่ำอย่างรุนแรง การกระทำของเขาทำให้ตนกลายเป็นคนโง่เขลา และจะแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงจักรพรรดิราวกับเป็นเรื่องขำขัน มรดกของเขาถูกพรากไปต่อหน้าประชาชน ต่อหน้าอาจารย์ และต่อหน้าพระบิดา
ทว่าเพียงไม่กี่อึดใจ สีหน้าของเขาก็กลับมาอ่อนโยนดังปกติ และยังยกมือคำนับไปทางวังหลวง เพื่อแสดงความเคารพต่อกระบี่จักรพรรดิและแสดงความยินดีแก่สวี่ชิง
การกระทำดังกล่าว ทำให้หลายคนมองเขาในแง่ดีมากขึ้น
แต่ในขณะที่องค์ชายสี่แสดงความอ่อนโยนออกมา บางคนกลับไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไป
ดังนั้นขณะที่สวี่ชิงคำนวณเวลา คิดจะขอตัวกลับก่อนเวลาเพื่อไปศึกษากระบี่จักรพรรดิ ที่ทางเข้าวังหลวง บนสะพานสายรุ้ง เบื้องหน้ายักษ์เกราะทอง มีในคนหนึ่งยืนคำนับมาทางวังหลวง
“คาระวะฝ่าบาท!”
“กระหม่อมทั่วมู่เหวยจากแดนใหญ่เมฆคล้อย กระหม่อมหวนคืนสู่ถิ่นฐานเผ่าเราเมื่อหกสิบปีก่อน วันนี้เห็นเจ้าเขตปกครองสวี่ช่วงชิงมรดกขององค์ชายสี่ไปต่อหน้าต่อตาผู้คนนับหมื่นนับพัน รู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมเป็นผู้บำเพ็ญ หากความคิดไม่กระจ่างชัด การฝึกฝนย่อมยากที่จะก้าวหน้า อีกทั้งฝ่าบาทยังเคยประกาศว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการฝึกฝนของประชาชน วันนี้กระหม่อมบังอาจขอคำชี้แนะจากเจ้าเขตปกครองสวี่ด้วยเถิด”
“ขอฝ่าบาททรงประทานพระอนุญาต!”
คนพูดเป็นชายร่างยักษ์ในเสื้อคลุมยาวเสื้อหยาบ ร่างกายสูงใหญ่ ผมยาวประบ่า สีหน้าท้าทาย ดวงตาลุกโชนด้วยจิตสังหาร
ขณะที่เสียงกึกก้องไปทุกทิศ ความผันผวนจากสมบัติวิญญาณขั้นบริบูรณ์ก็เล็ดลอดออกมาจากกายของชายผู้นั้น
ห้าสมบัติลับปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ปรับแต่งตามการฝึกกายา เขายืนจังก้าที่เดิม เลือดลมพุ่งพล่าน ผสานเข้ากับสมบัติลับเบื้องหลัง ก่อตัวเป็นเมฆโลหิต ปกคลุมทั่วบริเวณ
ทันทีที่เสียงพูดดังขึ้น เหล่าผู้เฝ้าชมนอกวังหลวงต่างเหลือบมองผ่านหางตา
บนดาราจักรพรรดิโบราณ องค์ชายสี่เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาแผ่รังสีอำมหิต อีกฝ่ายเป็นคนของตำหนักเขาก็จริง ทว่าพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่ได้เกิดจากการชี้นำของเขา
สิ่งที่อีกฝ่ายกระทำในเวลานี้ไม่เป็นผลดีแต่เขาเลยแม้แต่น้อย หากเป็นผู้มีปัญญาย่อมมองเห็นปัญหา ทว่าบางสิ่งบางอย่างมักจะแปรเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ เมื่อข่าวลือแพร่กระจาย
ยิ่งหากทำให้พระบิดาของเขาไม่พอพระทัย แม้ว่าตัวเขาเองจะถูกมักมือชก แต่แน่นอนว่าต้องถูกตำหนิไปด้วย ดังนั้นจิตสังหารในใจขององค์ชายสี่จึงรุนแรงขึ้น เขาหยัดกายลุกขึ้น โค้งคำนับไปทางวังหลวง จากนั้นเอ่ยถ้อยความด้วยความนอบน้อม
“ทั่วมู่เหวย เจ้าตั้งใจจะทำการใด จงหยุดเดี๋ยวนี้!”
ด้านนอกประตูวังหลวง ทั่วมู่เหวยก้มศีรษะลง
“พระอาญามิพ้นเกล้า!”
“ทั่วมู่กระทำการไร้มารยาทก็จริง แต่การกระทำของเจ้าเขตปกครองสวี่นั้นเลวทราม มากด้วโลภะ เขาไม่คู่ควรแก่การยกย่อง ยิ่งไม่คู่ควรแก่การครอบครองกระบี่จักรพรรดิพะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่สิ้นคำ องค์ชายสี่ก็ยิ่งตกตะลึงและโกรธขึ้งหนักกว่าเดิม อีกฝ่ายแม้จะก้มหัว แต่คำพูดกลับถากถางเช่นคมอาวุธ องค์ชายสี่จึงเกือบจะตวาดใส่อีกฝ่าย
ทว่าในตอนนั้นเอง จักรพรรดิมนุษย์ทรงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“ขัดขวางพิธีการ ประหารเสีย”
พระสุรเสียงของจักรพรรดิมนุษย์ดังขึ้น ดาบในมือยักษ์สวมเกราะทองนอกวังหลวงก็ส่งประกายวาววับ ทันทีที่สิ้นเสียง ดาบนั้นก็ร่วงลงมาทันใด
วาจาดั่งประกาศิตตกแก่ทั่วมู่เหวยซึ่งตัวสั่นเทา เสี้ยวขณะต่อมา…ร่างของเขาถูกหั่นเป็นสี่ส่วนด้วยดาบขนาดใหญ่ยักษ์ ล้มลงไปกองกับพื้น
ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทุกทิศทาง
ส่วนสวี่ชิงยังคงนิ่งเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับตน จากนั้นจึงหันไปคำนับต่อจักรพรรดิมนุษย์
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งได้รับกระบี่จักรพรรดิ สมบัติลับไร้ซึ่งความเสถียร โปรดพระราชทานพระอนุญาตให้กระหม่อมกลับไปก่อน เพื่อศึกษาให้รู้แจ้งด้วยพะย่ะค่ะ”
“ไปเถอะ”
จักรพรรดิมนุษย์ทรงเชิดพระพักตร์ ทอดพระเนตรไปยังดาราบรรพกาล
สวี่ชิงหยัดกายขึ้น ค้อมศรีษะให้คนรอบข้าง แล้วเดินลงบันได ผ่านลานกว้างสืบทอดเซียน ออกไปนอกประตูวังหลวง โดยไม่ชายตาแลศพที่กองบนพื้นแม้แต่น้อย
สายลมพัดผ่าน แผ่นหลังผึ่งผายไร้ซึ่งความตื่นตระหนก