ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 766 พิธีกรรมลึกลับในดาราจักรพรรดิโบราณ
บทที่ 766 พิธีกรรมลึกลับในดาราจักรพรรดิโบราณ
การเข้าเฝ้าจักรพรรดิมนุษย์ของสวี่ชิงในครั้งนี้ สิ้นสุดลงตั้งแต่ก้าวออกจากประตูวังจักรพรรดิแล้ว
แต่พายุคลั่งในใจกำลังปะทุต่อเนื่อง ในร่างกายราวกับมีสัตว์ป่าซ่อนตัวอยู่ จะทะลวงจากกรงในใจออกไปฉีกทึ้งทุกสิ่ง
เขาทำได้แค่ควบคุมไว้สุดกำลัง พยายามทำให้ตนสงบลงอย่างที่แสดงออกไป เงยหน้าขึ้น ยิ้มให้กับนายกองและจื่อเสวียนที่รออยู่ด้านนอกวังจักรพรรดิ
เห็นได้ชัดว่านายกองถูกสิ่งอื่นดึงดูดความสนใจ ยิ่งไม่ละเอียดละออเท่ากับจื่อเสวียน
ดังนั้นจื่อเสวียนเพียงมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ก็เลือกที่จะไปพร้อมกับเขา ส่วนนายกองทางนั้นขออยู่ต่อ บอกว่าจะรอหนิงเหยียน แต่สวี่ชิงเห็นความปรารถนาในดวงตานายกองตอนที่จ้องดาราจักรพรรดิโบราณ รู้ว่าก่อนที่นายกองจะทำการใหญ่ทุกครั้งต้องรวบรวมสิ่งต่างๆ มา
สายตานี้ บ่งบอกว่ากำลังรวบรวมข้อมูล
จึงปล่อยให้นายกองอยู่ต่อ และการเข้าเฝ้าจักรพรรดิครั้งนี้ สวี่ชิงได้รับอะไรไม่น้อยเลย อย่างแรกคือการแต่งตั้งกับการรวมดวงชะตา อย่างที่สองคือยืนยันตัวตนราชครู และอย่างที่สามคือได้กระบี่จักรพรรดิมา
แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองยังทำได้ไม่ดีพอ เรื่องบางเรื่องจัดการไปแล้วแต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ ที่สำคัญสุดคือเขาในตอนนี้หยุดคิดไม่ได้ และไม่อาจปล่อยให้ตัวเองว่างได้
เมื่อเขสหยุดความคิด จิตสังหารในใจส่วนลึกที่มีต่อรัชทายาทม่วงคราม ก็จะทะลักออกมาราวกับน้ำหลาก
และจื่อเสวียนสัมผัสถึงจุดนี้ได้อย่างเฉียบคม ต่อให้สวี่ชิงจะพยายามเก็บงำไว้ แต่จื่อเสวียนยังสัมผัสได้ว่าในใจสวี่ชิง…มีพายุคลั่งแฝงอยู่
นางจึงจับมือสวี่ชิงไว้ เหมือนตอนที่สวี่ชิงจับมือนางอยู่ในแดนต้องห้ามเซียนก่อนหน้านี้ แผ่ความอบอุ่นของตนออกมา
“เรากลับบ้านกันเถอะ”
พริบตาที่ดวงตาสบประสานกัน สายลมก็พัดเส้นผมคนทั้งสอง สวี่ชิงเงียบนิ่งอยู่หลายอึดใจ เดินไปพลางเล่ารายละเอียดและขั้นตอนเข้าเฝ้าจักรพรรดิครั้งนี้ให้จื่อเสวียนฟังด้วยเสียงแผ่วเบา
จื่อเสวียนก็ฟังอย่างตั้งใจตลอดทาง จนกลับมาถึงจวนของหนิงเหยียน ริมทะเลสาบ นางก็เปล่งเสียงนุ่มนวลออกมา
“ตอนที่เห็นอีกา เจ้าจัดการได้ดีมากแล้ว
“ข้าก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าคาดเดา จักรพรรดิมนุษย์ไม่มีทางไม่รู้จักสถานะของอีกา ระหว่างพวกเขา…จะต้องมีการแลกเปลี่ยน
“และที่กระบี่จักรพรรดิไม่ทำอะไรอีกา เรื่องนี้ไม่อาจอธิบายอะไรได้ กระบี่นี้ใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่อาจนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ยิ่งไปกว่านั้นมันสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของดวงชะตาเผ่ามนุษย์ จากนั้นในช่วงเวลาสำคัญก็ค่อยยับยั้งภัยพิบัติ
“เจ้าเข้าเฝ้าจักรพรรดิมนุษย์ครั้งนี้ จุดที่ไม่ดีมากพอล้วนเป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เป็นปัญหาอันใดมากนัก
“จักรพรรดิมนุษย์ น่าจะกำลังวางหมากกับอีกา ต่างฝ่ายต่างเดินหมาก
“ส่วนความคิดที่จะสังหารอีกาของเจ้า ก่อนเจ้าจะมั่นใจว่าสังหารได้ การปกป้องตนเอง ระงับจิตสังหารไว้ นี่ถึงจะเป็นจุดสำคัญ
“การเดินทางในเมืองหลวงจักรพรรดิของพวกเราไม่อาจคาดเดาได้ดั่งคลื่นในมหาสมุทร และเมฆที่เคลื่อนคล้อย แต่อาชิง เจ้าต้องรู้ว่า เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว ไม่ว่าเรื่องใด…ข้าก็จะอยู่กับเจ้า
“ยามที่โอกาสของพวกเรามาถึง ข้าจะไปสังหารอีกากับเจ้า!”
ระลอกบนผิวน้ำสะท้อนแสง ปลากระโดด หยาดน้ำซ่านกระเซ็น เกิดเป็นระลอกคลื่นกลางทะเลสาบเป็นวงๆ และสั่นไหงหัวใจของทั้งสองด้วย
สวี่ชิงมองจื่อเสวียนที่อยู่เบื้องหน้า พยักหน้าให้
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าที่เจ้ากลับมาก่อน เพราะกังวลเรื่องหลอมลูกกลอนให้ข้า พวกเราไปดูเตาหลอมยาของเจ้าหน่อยดีหรือไม่” ใบหน้าจื่อเสวียนเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา แสงแดดสาดส่องลงบนผิวเนียนนุ่ม และราวกับกลายเป็นม่านสวรรค์ ขับเน้นเรือนร่างอรชรของนาง ดั่งดอกกล้วยไม้ที่เบ่งบานชูช่อ
งดงามจับจิต
ใจของสวี่ชิงอดเต้นรัวเร็วขึ้นไม่ได้ ปล่อยให้จื่อเสวียนจับจูงมือตนไปที่ห้องหลอมลูกกลอน
มองเตาหลอมลูกกลอนที่กำลังคุกรุ่นในห้อง หลังจากสัมผัสได้ว่ายาลูกกลอนด้านในไม่เสียหาย หินก้อนสุดท้ายที่ถ่วงใจสวี่ชิงก็ละวางได้แล้ว
เวลาผ่านพ้นไป พลบค่ำมาถึง วันนี้ท้องฟ้าก็เป็นสีแดงชาด
เวลาสัมผัสรับรู้ดาราจักรพรรดิโบราณ เดิมคือหนึ่งวันเต็ม แต่เนื่องจากเปิดผนึกที่สอง เวลาจึงถูกลดทอน จึงจบลงในยามพลบค่ำ
ข่าวเกี่ยวกับผู้ที่สัมผัสรับรู้สำเร็จหลังจากนั้น ก็แพร่ออกมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากสวี่ชิงจากไป ก็มีผู้ที่สัมผัสรับรู้มรดกโหวนภาได้อีกสามคน กระทั่งมรดกอ๋องสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งคน
เป็นองค์ชายสิบ!
เรื่องนี้สร้างความสั่นสะเทือนไม่น้อย
ส่วนหนิงเหยียน…ไม่ได้อะไรมาเลย
ทว่าตอนที่กลับมา หนิงเหยียนไม่เผยท่าทีหมดอาลัยตายอยากแต่อย่างใด กลับกันยังยืดอกเชิดหน้า เห็นได้ชัดว่าเรื่องของสวี่ชิงทำให้เขาราวกับมีชื่อเสียงไปด้วย
แต่ว่าส่วนลึกในตาเขา ยังซ่อนความผิดหวังไว้เล็กน้อย
การพิสูจน์ตนต่อหน้าเสด็จพ่อ เป็นเรื่องที่เขาปรารถนาในใจมาตลอด
สวี่ชิงก็ไม่สบายใจ แต่ไม่รู้จะปลอบอย่างไร
ดังนั้นในคืนนี้ หลายคนในจวนจึงนอนไม่หลับ
สวี่ชิงกับจื่อเสวียนกำลังหลอมยาลูกกลอน ยาลูกกลอนที่จื่อเสวียนต้องการเม็ดนั้นมาถึงช่วงสำคัญขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หากสำเร็จ อย่างมากหนึ่งคืนก็จะกลายเป็นยาลูกกลอน
นายกองกำลังครุ่นคิด ประเดี๋ยวก็หยิบแผ่นหยกออกมาบันทึก กระทั่งยังวาดรูปออกมามากมาย ล้อมรอบดาราจักรพรรดิโบราณที่ตนเห็นในวันนี้ เริ่มศึกษาค้นคว้า
นี่เป็นเรื่องที่เขาเห็นได้น้อยครั้ง การทำการใหญ่ก่อนหน้านี้ทุกครั้ง แม้จะรวบรวมข้อมูลไว้บ้าง แต่น้อยนักที่จะมีแผนการอะไร ใช้เพียงกำลังก็พอ
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ถึงอย่างไร…เขาก็เคยตายอยู่บนดาราจักรพรรดิโบราณเพราะล้มเหลวมาหลายภพหลายชาติ
ส่วนหนิงเหยียนคืนนี้อยู่ในโถงบรรพชน เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น มองภาพวาดของมารดา บอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาหลังจากมารดาจากไปเสียงแผ่วเบา แม้นจะไม่ได้กล่าวคำว่าคิดถึงออกมา แต่ทว่าล้วนแฝงไว้ด้วยการระลึกถึง
ข่งเสียงหลงก็เงียบนิ่ง เขาได้ยินเรื่องของสวี่ชิงวันนี้แล้ว และเห็นจากที่ไกลๆ ขณะที่เขาอวยพรให้ในใจ ก็ตั้งเงื่อนไขให้ตัวเอง
เขาไม่อาจปล่อยให้ตนถูกทิ้งห่างไปไกลเกินไปได้
มีเพียงอู๋เจี้ยนอูที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร คืนนี้เขานอนอยู่ตรงนั้น คร้านจะฝึกบำเพ็ญ นอนหลับปุ๋ย
หนึ่งคืน ผ่านไปอย่างเงียบงัน
ยามที่ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า วันใหม่มาถึง ความคิดของทุกคนก็สลายหายไปตามการจากไปของราตรี หนิงเหยียนปลุกเร้าให้ตัวเองฮึกเหิม เดินออกจากโถงบรรพชน เริ่มฝึกบำเพ็ญกำหนดลมหายใจ
นายกองขมวดคิ้ว วิ่งออกไปสังเกตการณ์ต่อ
สวี่ชิงทางนั้นก็หลอมลูกกลอนสำเร็จ เมื่อเปิดเตาหลอม ยาลูกกลอนสีแดงสลักลวดลายสีทองเม็ดหนึ่งก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าเขาและจื่อเสวียน
จื่อเสวียนสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายแววคาดหวัง ยกมือหยกขึ้นโบก หยิบจานเข็มทิศออกมา
จานเข็มทิศเป็นสิ่งที่นางสร้างในช่วงนี้ ช่วยสนับสนุนสัมผัสรับรู้ของนางได้ หลังจากหยิบออกมา ลูกกลอนเลือดเม็ดนั้นก็ลอยต่ำลงที่ช่องกลางเข็มทิศ
ตอนที่ฝังเข้าไป แสงลูกกลอนเลือดก็กะพริบวูบวาบ จานเข็มทิศสั่นไหวอย่างรุนแรง เริ่มหมุนวน ส่วนจื่อเสวียนก็ตั้งใจอย่างยิ่ง นั่งขัดสมาธิ สองมือแตะบนจานเข็มทิศ แผ่พลังสัมผัสรับรู้ของตัวเองออกไป
ชั่วพริบตา สัมผัสรับรู้ของนางขยายอาณาเขตออกไปกว้างใหญ่ไพศาล สรรพสิ่งในฟ้าดินหายไปจากในใจนาง มีเพียงตะเกียงดวงนั้นที่เกี่ยวข้องกับดวงชะตา…ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิเช่นกัน ขณะที่คอยคุ้มกัน ก็กำลังครุ่นคิดเรื่องราวหลังจากนี้
“อย่างแรกคือช่วยจื่อเสวียนหาตะเกียงดวงนั้น”
“แล้วก็…ต้องไปที่วังศึกษาสักหน่อย”
วังศึกษา คือสำนักศึกษาที่ศุงส่งที่สุดของเผ่ามนุษย์ สวี่ชิงมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิหลายวันนี้ ใช่จะได้ยินแค่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะองค์ชายหรือเหล่าขุนนาง ล้วนเคยได้ศึกษาเล่าเรียนที่วังศึกษาทั้งสิ้น
กระทั่งอัจฉริยะฟ้าประทานสุดยอดสำนักมากมาย ก็อยากจะมีโอกาลได้เข้าไปเล่าเรียนในวังศึกษา
ในบางระดับ อันที่จริงวังศึกษาก็เหมือนกับสำนัก เพียงแต่เป็นสำนักที่เผ่ามนุษย์สร้างขึ้นโดยตรง ที่นั่นไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น วิชาทั้งหมด ความรู้ทั้งหมด ล้วนสามารถเรียนรู้ได้
‘องค์หญิงสามเคยเอ่ยถึงวังศึกษาระหว่างทางมา บอกว่าที่นั่นพิถีพิถันเรื่องสาย…มีสายน้อยใหญ่อยู่นับพัน ทุกสายล้วนมีวิถีของตนเอง ระบบของตนรวมถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกและการฝึกบำเพ็ญ
‘ใช้วิธีการที่ต่างกัน จากทิศทางที่ต่างกัน ค้นหาเส้นทางบำเพ็ญที่เหมาะสมกับเผ่ามนุษย์มากที่สุด
‘ทุกสายไม่มีการตั้งเกณฑ์ใดๆ ขอแค่มีคุณสมบัติในวังศึกษา อยากจะเข้าร่วมสายไหนก็เข้าได้ทั้งนั้น เพื่อทำให้ค้นคว้าและศึกษาดียิ่งขึ้น จึงไม่สนเรื่องเบื้องหลังหรือฐานะ
‘เพราะวังศึกษาตั้งอยู่ในมิติพิเศษ คนที่เข้าไปที่นั่น จะมีชุดนักพรตวังศึกษารวมถึงหน้ากากปรากฏขึ้นบนเรือนกาย ปกปิดกลิ่นอายทั้งหมดได้ และไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสถานะของตนเอง มีเพียงตอนจบการศึกษาเท่านั้น ถึงจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาได้
‘ดังนั้นหากมีความสามารถ ก็ตั้งสายของตนขึ้นมาในวังศึกษาเองได้ เงื่อนไขคือดึงดูดผู้ร่ำเรียน ทำให้ยอมรับแนวคิดได้
‘ส่วนการก่อตั้งรวมถึงกฎของวังศึกษา หลังจากที่จักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นขึ้นครองราชย์ ฝ่าฟันข้อกังขามากมาย ตั้งขึ้นมาด้วยมือตัวเอง หลายปีที่ผ่านมาด้านในบังเอิญมีวิชาผุดขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน และมีอัจฉริยะฟ้าประทานจบออกมาคนแล้วคนเล่า
‘ที่นั่น เป็นดินแดนที่ทำให้ความคิดของเผ่ามนุษย์กลับมาเจริญงอกงามอีกครั้ง เป็นสถานที่ที่มีเสรีภาพด้านวิชาการ ทุกคนล้วนสามารถพูดถึงวิถีของตนได้อย่างอิสระ…’
สมองสวี่ชิงมีคำพูดขององค์หญิงสามผุดขึ้นมา ประกอบกับเรื่องที่ได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิมนุษย์ เขาก็ยังมองจักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นพระองค์นี้ไม่ค่อยออก
‘สิ่งที่จิ้งจอกดินเหนียวกล่าวไว้ จักรพรรดิมนุษย์กำลังทำการใหญ่ คือเรื่องอะไรกันแน่…’
สวี่ชิงครุ่นคิด ขณะเดียวกันในสมองก็มีอีกความคิดหนึ่งลอยขึ้นมา
“แล้วสิ่งที่จิ้งจอกดินเหนียวกล่าวก็น่าจะเป็นเรื่องจริง…ถึงอย่างไร องค์ท่านก็เป็นเทพเจ้าแห่งเผ่านภาคิมหันต์”
ขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิด จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เงยหน้ามองจื่อเสวียนที่อยู่ด้านหน้า ดวงตาของจื่อเสวียนก็ลืมตาขึ้นในตอนนี้ เผยความเลื่อนลอยออกมา นานพอควร จึงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า
“อาชิง ข้าเหมือนจะหาตะเกียงดวงนั้นพบแล้วล่ะ”
……
ดาราจักรพรรดิโบราณ
หลังจากผ่านการเปิดผนึกและสัมผัสรับรู้มรดก เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เมฆหมอกที่นั่นก็แผ่ปกคลุมอีกครั้ง บดบังทุกอย่าง เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนก่อน เคลื่นคล้อยไปช้าๆ
ใต้เมฆหมอก ด้านในดาราจักรพรรดิโบราณ มีแผ่นดินใหญ่หลายต่อหลายส่วนล่องลอยอยู่ พวกมันเคลื่อนไปตามการเคลื่อนคล้อนของหมอกเมฆ เคลื่อนที่ล้อมรอบดวงดาว
มีเพียงด้านบนแท่นบูชาห้าเหลี่ยมขนาดยักษ์แท่นนั้น ที่เมฆหมอกเบาบาง…
มองเห็นโลงศพสีทองขนาดยักษ์ห้าใบถูกวางไว้บนเหลี่ยมต่างๆ ของบนแท่นบูชาได้ ทุกโลงแผ่กลิ่นอายจักรพรรดิน่าสะพรึงกลัวออกมา แฝงพลังอำนาจสูงส่ง
และแต่ละโลงล้วนมีศาลเจ้าตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน
ใจกลางศาลเจ้าไม่ได้มีรูปสลักไว้สักการะ มีเพียงป้ายวิญญาณ
แยกออกเป็นตงเซิ่ง เซิ่งเทียน จิ้งอวิ๋น เต้าซื่อ…
รวมถึงพระองค์สุดท้าย เสวียนจั้น
ภาพนี้ราวกับเป็นพิธีกรรมลึกลับที่น่าตื่นตะลึง สั่นสะเทือนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
และตรงกลางแท่นพิธี ตรงนั้นมีตะเกียงโบราณดวงหนึ่ง
ตะเกียงดวงนี้ทำจากหินสีม่วงทั้งใบ ราวกับดอกจื่อจิงที่บานสะพรั่ง ด้านบนมีพญาหงส์สีม่วงตัวหนึ่งเกาะอยู่ ปีกสยายราวกับมีชีวิต