ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 775 ต้นกำเนิดของเซียนต่างวิถี
บทที่ 775 ต้นกำเนิดของเซียนต่างวิถี
เจ้าสายเซียนต่างวิถียังคงบอกเล่าเกี่ยวกับรายละเอียดการฝึกบำเพ็ญของสายเซียนต่างวิถีด้วยท่าทีกระตือรือร้นยิ่ง
ดูเหมือนว่าเขาจะซักซ้อมการพูดเช่นนี้ในใจมาหลายครั้งแล้ว แต่ได้ใช้จริงไม่กี่หน การมาเยือนของสวี่ชิงทำให้เขามีโอกาสได้เป็นอาจารย์สอนผู้อื่นบ้าง
“ในตอนนั้นบรรพจารย์หลี่เสวียนเฟิงเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่หาได้ยากในรอบพันปี ท่านใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็สัมผัสรับรู้ไหมวิญญาณได้สิบสามเส้น และบุกเบิกเส้นทางใหม่ให้กับสายเซียนต่างวิถีของเรา!”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ลูกศิษย์ข้างกายไม่ได้โต้แย้ง เพียงแต่ถอนหายใจแผ่วเบา
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เลือกสายเซียนต่างวิถีแม้ในยุคที่สายเสื่อมถอย ต่อให้จะเป็นเพราะถูกหลอกเข้ามาเป็นส่วนใหญ่ แต่สุดท้ายเมื่อเข้ามาอยู่ในสำนักย่อมรู้สึกยอมรับและผูกพันธ์
“ยังมีบรรพจารย์เฉินเต้าเจ๋อที่น่าทึ่งยิ่งกว่า ท่านใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็สัมผัสรับรู้ไหมวิญญาณได้ถึงสิบเก้าเส้น!”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีมองสวี่ชิงแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ดังนั้นเจ้าต้องพยายามให้มาก ตั้งใจฝึกบำเพ็ญ หากเจ้ารวมไหมวิญญาณได้มากกว่าสิบเส้นภายในหนึ่งเดือน เจ้าสายเซียนต่างวิถีคนต่อไปก็คือเจ้า!”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีพูดพลางตบไหล่สวี่ชิง แล้วหยิบแผ่นหยกอีกบางส่วนออกมายัดใส่มือสวี่ชิงจนเต็มไม้เต็มมือ ก่อนจะจากไปเพื่อไปจัดระเบียบแผ่นหยกในเจดีย์ขาวต่อไปอย่างไม่เต็มใจนัก
สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น ในใจสับสนอย่างยิ่ง เขาตรวจสอบทะเลความรู้สึกของตนอย่างละเอียด พบว่าไหมวิญญาณที่แผ่สยายอยู่ในทะเลความรู้สึกของเขามีมากกว่าหนึ่งหมื่นเส้นจริงๆ แล้วเมื่อนึกถึงคำพูดของเจ้าสาย เขาคิดว่าค่อนข้างผิดปกติ
“เป็นอย่างไรบ้าง ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิมบ้างหรือไม่” ขณะที่สวี่ชิงกำลังครุ่นคิด ลูกศิษย์ในเจดีย์ขาวก็เดินมาและถอนหายใจข้างๆ สวี่ชิง
“ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนว่าอย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระพรรค์นี้เลย ตอนที่ข้ากับศิษย์พี่อีกสองคนมาที่นี่ก็ได้ฟังเรื่องนี้มาเหมือนกัน ไม่มีคำไหนเปลี่ยนไปเลยสักคำ
“ครั้งก่อนข้าเตือนเจ้าแล้ว เจ้าไม่ยอมฟัง มาคราวนี้ดีเสียจริง ประทับตราเป็นศิษย์หลักด้วย…นั่นหมายความว่าเจ้าถูกผูกมัดกับสายเซียนต่างวิถีโดยสมบูรณ์แล้ว”
สายตาของลูกศิษย์ผู้นี้ฉายแววเห็นอกเห็นใจ
“แต่ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว จะมานึกเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่ได้ จากนี้ไปก็อยู่กับพวกข้าแล้วกัน มีเจ้าอยู่ด้วย จุลสารของเราจะเผยแพร่ได้มากขึ้นด้วย”
สวี่ชิงมองลูกศิษย์สายเซียนต่างวิถีและสงสัยเกี่ยวกับจุลสารที่คนผู้นี้พูดถึงเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม
“ในวังศึกษามีสายต่างๆ มากมาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของสายเหล่านี้ล้วนมากล้น ถ้าอยากจะเข้าใจทั้งหมดต้องใช้เวลามาก ดังนั้นในวังศึกษาจึงมีจุลสารที่รวบรวมข่าวสารต่างๆ เอาไว้มากมาย
“ซึ่งในนี้รวมถึงการกระทำต่างๆ ของสายและความเคลื่อนไหวของผู้ศึกษาที่มีชื่อเสียงในสายนั้นๆ แต่หากเทียบกับจุลสารของสายอื่นๆ เนื่องจากสายเซียนต่างวิถีของเรามีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะอำนาจบารมีแต่ก็ขายดีพอตัว
“อีกทั้งสิ่งที่พวกเราเน้นคือการนำเสนอพวกเรื่องซุบซิบ ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า”
เมื่อพูดถึงจุลสาร ลูกศิษย์สายเซียนต่างวิถีคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“นี่เป็นกิจการที่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องสร้างขึ้นมา มาๆ ข้าจะพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยเอง”
ว่าพลาง คนผู้นี้ก็ลากสวี่ชิงไปยังที่ที่ไกลออกไป ที่นั่นสวี่ชิงเห็นแผ่นหยกเปล่าจำนวนมาก สวี่ชิงก็ได้รู้ว่าแผ่นหยกเปล่าเหล่านี้คือจุลสารผ่านคำแนะนำจากลูกศิษย์ผู้นี้
งานของพวกเขาคือการบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงบนแผ่นหยกทีละแผ่นเพื่อวางจำหน่าย
ส่วนแหล่งที่มาของข้อมูล เป็นแผ่นหยกหลายแผ่นที่มีการบันทึกไว้แล้วซึ่งเก็บรวบรวมมาจากแหล่งนิรนาม
สวี่ชิงหยิบแผ่นหยกขึ้นมาแผ่นหนึ่งและใช้จิตเทพกวาดผ่าน
‘เมื่อคืนมีคนได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากสายผสานเทพ ผู้ที่กำลังทำตัวเป็นโจรก่อเรื่องราวกลางดึกคือผู้ใด ติดตามต่อได้ในจุลสารสายเซียนต่างวิถี!’
‘แท้จริงแล้วศิษย์ตัวแทนสายพืชพันธุ์ก็คือนาง!’
‘ตัวตนที่แท้จริงของเฉินอวิ๋นแห่งลัทธิหมื่นประกาศิตคือใคร เรารายงานข่าวเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ค้นพบจนได้!’
‘สวี่ชิงแห่งแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์มาเยือนวังศึกษา เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาสังกัดในสายใด จุลสารของเราจะเกาะติดเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด!’
สวี่ชิงวางแผ่นหยกลงเงียบๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง จุลสารสายเซียนต่างวิถีของเรามีจุดขายมากพอใช่หรือไม่” ลูกศิษย์คนนั้นหัวเราะเบาๆ
“ไม่เลวเลย”
สวี่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่ได้รู้สึกต่อต้าน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ในเมื่อเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถีแล้ว จึงถือโอกาสช่วยเหลือศิษย์พี่ที่อยู่ตรงหน้าบันทึกข่าวสาร
ระหว่างนั้น เจ้าสายแวะเวียนมาหลายครั้ง เมื่อเห็นสวี่ชิงที่เพิ่งเข้าร่วมสายเป็นไปกับเขาด้วย ก็ได้แต่ถอนหายใจ ทว่าไม่ได้กล่าวอะไรมาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เมื่อตะวันลับขอบฟ้า สวี่ชิงก็ออกจากสายเซียนต่างวิถี
ตอนที่ออกมาจากวังศึกษา หิมะในโลกด้านนอกยังคงโปรยปรายลงมา สวี่ชิงครุ่นคิดถึงวิชาสายเซียนต่างวิถีตลอดทางจนกลับถึงจวน เขาก็นั่งสมาธิ
‘วิชาของสายเซียนต่างวิถีคือการดึงวิญญาณของตัวเองออกมาผสานกับค่ายกลพิเศษเพื่อสร้างไหมวิญญาณ
‘การทำเช่นนี้ต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาล หากดึงออกมามากเกินไป วิญญาณของตนก็จะแตกสลาย เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย…
‘นี่คือสาเหตุที่การฝึกบำเพ็ญของสายเซียนต่างวิถีเชื่องช้ามาก เพราะต้องฝึกบำเพ็ญไปด้วย หล่อเลี้ยงวิญญาณไปด้วย
‘ไหนจะจำนวนไหมวิญญาณอีก…’
สวี่ชิงหยิบแผ่นหยกบันทึกสิ่งมีชีวิตประเภทเทพออกมาตรวจสอบ สิ่งมีชีวิตประเภทเทพในนั้นค่อนข้างธรรมดาสำหรับเขา ถึงอย่างไรสวี่ชิงก็เคยเห็นเทพเจ้ามาแล้ว และไม่ใช่แค่หนึ่งองค์
ส่วนเหตุผลที่เขาฝึกฝนวิชาฝึกบำเพ็ญนี้แล้วครู่ต่อมาก็มีไหมวิญญาณมากกว่าหนึ่งหมื่นเส้น สวี่ชิงได้พบคำตอบในขณะที่เขาเขียนจุลสารเมื่อตอนกลางวันเช่นกัน
‘ข้ามีพลังต้นกำเนิดเทพ
‘วิชาของสายเซียนต่างวิถีนี้ ภาพรวมแท้จริงแล้วคือวิธีการเลียนแบบพลังต้นกำเนิดเทพ โดยอาศัยวิญญาณของตนถักทอเป็นเงาของสิ่งมีชีวิตประเภทเทพ ซึ่งก็เป็นการเลียนแบบเช่นกัน
‘ด้วยวิธีนี้จะทำให้วิญญาณมีคุณสมบัติเฉพาะของพลังต้นกำเนิดเทพ และจำแลงออกมาดั่งเกราะที่ปรากฏออกมาด้านนอก…จนกระทั่งในที่สุดสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองได้ในชั่วความคิด
‘ดังนั้น หลักการจึงเป็นเช่นเดียวกับเซียนคิมหันต์ที่เมื่อนึกคิด ร่างเซียนก็ก่อกำเนิด
‘หากฝึกบำเพ็ญจนถึงขีดสุด ค่อยๆ เลียนแบบทีละก้าวตามทฤษฎี จากสิ่งมีชีวิตประเภทเทพไปจนถึงถักทอเทพเจ้า…
‘ส่วนตัวข้ามีพลังต้นกำเนิดเทพอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเลียนแบบ เพียงนึกคิดก็ปล่อยไหมวิญญาณได้มหาศาล ทุกเส้นล้วนแปรมาจากพลังต้นกำเนิดเทพ’
สวี่ชิงครุ่นคิด ดวงตาฉายประกายประหลาด เมื่อประกอบกับวิชาของสายเซียนต่างวิถี สวี่ชิงก็รู้ว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว
สภาวะเทพเจ้าของเขานั้นคล้ายคลึงกับสายเซียนต่างวิถีในระดับหนึ่งจริงๆ
ทว่าร่างที่สายเซียนต่างวิถีสร้างขึ้นคือกลิ่นอายของตัวผู้บำเพ็ญเอง หากสังเกตอย่างละเอียด จะเห็นร่องรอยของไหมวิญญาณแต่ละเส้นได้
และเมื่อสำแดงสภาวะเทพเจ้า พลังอำนาจของความเป็นเทพจะแผ่ซ่านออกมา คล้ายจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่แท้จริงแล้วเกิดจากภาพเสมือนแปรเป็นความจริง
ความแตกต่างนี้สัมผัสได้โดยง่าย
นอกจากนี้ เคล็ดวิชาของเผ่ามนุษย์มีมากมายหลากหลาย วิชาเวทต่างๆ มากมายล้วนมีให้ฝึกบำเพ็ญ ประกอบกับการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายปีมานี้ สิ่งมีชีวิตประเภทเทพถูกศึกษาค้นคว้า ทำให้มีวิธีที่สร้างสภาวะเทพเจ้าคล้ายสวี่ชิงได้หลายวิธี
แต่หากศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่าแก่นแท้ของมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มีเพียงสายเซียนต่างวิถีนี้เท่านั้น…ที่มีแก่นแท้คล้ายคลึงกัน
‘เช่นนั้นก็น่าจะทำให้ตัวข้าควบคุมสภาวะเทพเจ้าได้ราบรื่นขึ้น โดยใช้วิชาของสายเซียนต่างวิถี’
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย
‘สภาวะเทพเจ้าที่ข้าสำแดงออกมาก่อนหน้านี้แปรมาจากสมบัติเทพ
‘แต่ถ้าข้ากระจายพลังต้นกำเนิดเทพในสมบัติเทพทั้งสามคลังออกมา จากนั้นหลอมทั้งหมดนั้นเป็นไหมวิญญาณ แล้วค่อยใช้วิธีถักทอไหมวิญญาณของสายเซียนต่างวิถี สร้างสภาวะเทพเจ้าทั้งสามรูปแบบของข้า…
‘ในทางทฤษฎี ข้าสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เพียงพอในการสำแดงสภาวะเทพเจ้าในแต่ละขั้นได้ อย่างสภาวะที่สาม…เพราะข้าไม่ได้ใช้สมบัติเทพเพียงชิ้นเดียวหนุนนำ ข้าจะใช้พลังต้นกำเนิดเทพในสมบัติเทพทั้งสามมาถักทอ
‘ขณะเดียวกันก็ไม่ถูกจำกัดแค่สามสภาวะ ข้ากระทั่งสร้างสภาวะที่สี่ได้ ตราบใดที่มีไหมวิญญาณเพียงพอ เพียงนึกคิดก็เปลี่ยนสภาวะได้นับหมื่นนับพัน!’
สวี่ชิงรู้สึกตื่นเต้น เขาหลับตาลงสองมือประสานปาง สร้างไหมวิญญาณขึ้นมาอีกครั้งตามวิธีของสายเซียนต่างวิถี
ทันใดนั้น สมบัติเทพคลังแรกก็จำแลงออกมาด้านหลัง เส้นใยพลังต้นกำเนิดเทพพวยพุ่งออกมาจากด้านในเป็นเส้นๆ หลอมรวมกันในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง ความเชี่ยวชาญในการใช้ไหมวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่นานก็มีประมาณหนึ่งแสนเส้น
‘ต่อไป!’
สมบัติเทพคลังที่สองปรากฏขึ้นกะทันหันเบื้องหลังสวี่ชิง เส้นใยพลังต้นกำเนิดเทพจำนวนมากพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมของเขา
หนึ่งแสนสามหมื่น หนึ่งแสนแปดหมื่น สองแสนห้าหมื่น…จนในที่สุดก็มีไหมวิญญาณสามแสนหนึ่งหมื่นเส้น
การควบคุมไหมวิญญาณพลังต้นกำเนิดเทพจำนวนมากเช่นนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหนื่อยล้า เขารู้ว่าเป็นเพราะยังไม่เชี่ยวชาญในวิชาถักทอของสายเซียนต่างวิถี
เขาจึงหยุดการฝึกชั่วคราวแต่ลองสร้างโดยอ้างอิงจากวิธีการของสายเซียนต่างวิถี
แม้จะไม่เชี่ยวชาญมากนัก แต่ไหมวิญญาณพลังต้นกำเนิดเทพของสวี่ชิงมีมากเกินไป ดังนั้นไม่นานนักก็มีร่างเงาน่าสะพรึงกลัวซึ่งแผ่คลื่นความเป็นเทพจำแลงออกมาด้านหลังของเขาทีละตัวไม่ขาดสาย
หากเหล่าลูกศิษย์สายเซียนต่างวิถีอยู่ที่นี่และเห็นภาพในตอนนี้ ต้องตื่นตะลึงถึงขีดสุดอย่างแน่นอน
เพราะในความรู้ความเข้าใจของพวกเขา สิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่สายสร้างได้ในทางทฤษฎีนั้นปรากฏกายที่สวี่ชิงทั้งหมดแล้ว
และแต่ละตัวยังสมจริงมาก พลังอำนาจที่ปลดปล่อยออกมาก็แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตประเภทเทพตัวจริงเสียอีก
ทว่าสวี่ชิงยังไม่พอใจ สิ่งเหล่านี้สำหรับเขาเป็นเพียงวิธีเพิ่มความเชี่ยวชาญเท่านั้น เขาควบคุมไหมวิญญาณเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตประเภทเทพขึ้นมาเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อจิตนึกคิดของเขาสลายไป สิ่งมีชีวิตประเภทเทพเหล่านี้ก็จะพังทลายและกลายเป็นไหมวิญญาณสามแสนหนึ่งหมื่นเส้นอีกครา รวมอยู่ด้วยกัน
สวี่ชิงนึกถึงสภาวะเทพเจ้าขั้นหนึ่งของเขาและใช้มันเป็นแบบในการสร้าง
เนื่องจากมีความเข้าใจมากพอ ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการถักทอไหมวิญญาณของสายเซียนต่างวิถีในระดับหนึ่งของสวี่ชิง สภาวะเทพเจ้าขั้นหนึ่งจึงปรากฏขึ้นโดยพลัน
หยัดยืนอยู่ในห้องลับ แผ่พลังอำนาจน่าสะพรึงออกมา
พลังอำนาจนั้นต่างจากสภาวะเทพเจ้าขั้นแรกที่สวี่ชิงสำแดงในยามปกติลิบลับ
มันมีทั้งพลังของเทพเจ้าและลักษณะเฉพาะของสายเซียนต่างวิถี ที่สำคัญที่สุดคือสวี่ชิงพบว่าตนเผาผลาญมันได้ในชั่วความคิด
กลายเป็นพลังทะลุทะลวงอันยิ่งใหญ่ ทำลายข้อจำกัดและอุปสรรค กระตุ้นพลังบำเพ็ญให้เพิ่มขึ้น
ความรู้ความเข้าใจนี้ทำให้สวี่ชิงหายใจหอบถี่เล็กน้อย ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้น
‘สายเซียนต่างวิถี ช่างมีเคล็ดวิชาที่ต่างจากผู้อื่นจริงๆ!
‘ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการหลอมไหมวิญญาณ ถักทอความเป็นเทพ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงสันถาร ความน่ากลัวที่แท้จริงของมัน…
‘คือเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดของเทพเจ้าให้กลายเป็นพลังในการทะลุทะลวงขีดจำกัดได้!
‘เผาผลาญร่างเทพในยามที่ถึงขีดจำกัดแปรเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนอันยิ่ง บุกทะลวงกำแพงเซียน เดินหน้าต่อไป บุกเบิกเส้นทางใหม่ ใช้พลังเทพเพื่อกลายเป็นเซียน เป็นเซียนที่ต่างออกไป’
สวี่ชิงรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้เองก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมาจากนอกห้องลับที่เขาใช้ปิดด่าน พร้อมกับเสียงนายกอง
“ศิษย์น้องเล็กอยู่หรือไม่ คืนนี้เดือนมืดพายุโหม หิมะโปรปราย ไอเย็นหนุนนำ ช่าง…เหมาะแก่การออกไปทำเรื่องเล็กๆ ของข้า แต่ว่าข้าอยากได้คนไปช่วยสอดส่องระวังหลัง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”