ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 779 การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
บทที่ 779 การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
………………..
แต่น่าเสียดาย ผู้ร่ำเรียนวังศึกษานั้นสวมหน้ากากและชุดแบบเดียวกัน อีกทั้งหลังจากเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและเคล็ดวิชา ทำให้เสียงและรูปลักษณ์ภายนอก ล้วนระบุตัวตนที่แท้จริงได้ยากยิ่ง
กระทั่งลักษณะเฉพาะอย่างเพศก็ยังมองไม่ออก
ดังนั้นแม้สวี่ชิงจะหวาดระแวง แต่ก็ไม่อาจยืนยันฐานะของคนตรงหน้าได้ทันที
ถึงอย่างไร…หลังจากสายเซียนต่างวิถีเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น จากการที่ภายนอกให้ความสนใจมากขึ้น คนที่มาเพื่อหยั่งเชิงย่อมไม่ได้มีเพียงคนสองคน
ดังนั้นสวี่ชิงจึงกวาดสายตามองร่างผู้ร่ำเรียนคนนี้ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ข้าเพิ่งเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถี ไม่ได้รู้จักมากนัก ทว่านับตั้งแต่ที่ข้ามาเห็นว่าเจ้าสายน่าจะเป็นเช่นนั้น”
เมื่อผู้ร่ำเรียนคนนั้นได้ยินก็คล้ายครุ่นคิด หลังจากที่พินิจร่างเจ้าวังอย่างละเอียดถึงได้ถอนสายตากลับมา มองสวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่นางสนใจสวี่ชิงที่อยู่ตรงหน้า แต่อันที่จริงสายเซียนต่างวิถีก็มีคนอยู่แค่นี้ หลังจากที่เกิดเรื่อง ก็ถูกขุดคุ้ยพวกข้อมูลได้ตั้งนานแล้ว
แม้จะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของศิษย์สายเซียนต่างวิถีไม่กี่คนนี้ แต่จากระยะเวลาที่เข้าร่วมสายเซียนต่างวิถีตลอดจนการแสดงออกในเวลาปกติของพวกเขา พวกเจตนาไม่ดีด้านนอกส่วนใหญ่ก็ทราบดี
ดังนั้นในข้อมูลที่นางมี จึงรวมถึงศิษย์ที่แทนตนว่าเสวียนเหลยจื่อตรงหน้าคนนี้ด้วย
นางรู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะเข้าร่วมจริงๆ และฐานะนี้ ขณะทำให้นางคาดเดาเล็กน้อย ก็ลบล้างข้อสงสัยในทางอ้อมได้ด้วย
จากความรู้ความเข้าใจของนาง ไม่ว่าจะอย่างไรคนผู้นั้นเมื่อวันก่อนก็ไม่มีทางเป็นผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมแน่
ส่วนตัวตนที่แท้จริงของเสวียนเหลยจื่อ นางไม่สนใจ ตอนนี้สิ่งที่นางสนใจคือขั้นใหญ่สายเซียนต่างวิถีผู้นั้น ดังนั้นหลังจากสอบถามเรื่อยเปื่อยสองสามประโยค นางก็เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเจ้าสายที่กำลังนั่งหลับตาแล้วโค้งคารวะ
“เจ้าสาย ศิษย์อยากจะฝากตัวเข้าสายเซียนต่างวิถี”
การกระทำของนาง ดึงดูดความสนใจของทุกคนในเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถี ตั้งแต่เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับสายเซียนต่างวิถี แม้จะมีผู้ร่ำเรียนมาศึกษาไม่น้อย แต่ที่กล่าวว่าจะเข้าร่วมจริงๆ เช่นนี้เพิ่งมีเป็นคนแรก
สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้นใต้หน้ากาก ความระแวดระวังในใจยิ่งเข้มข้น การหยั่งเชิงของคนผู้นี้ก่อนหน้านี้ยังเข้าใจได้ แต่การเข้าร่วมอย่างแน่วแน่ในยามนี้ก็ค่อนข้างน่าแปลกใจ
ดังนั้นแม้แต่เจ้าสายเซียนต่างวิถีก็ลืมตาขึ้น มองผู้ร่ำเรียนตรงหน้า
ดวงตาของเขาฉายแววน่าเกรงขาม กวาดมองเล็กน้อย แม้ในใจจะยินดีแทบบ้า แต่น้ำเสียงยังคงสุขุม เอ่ยเสียงเรียบ
“สายข้ามีข้อกหนด ถ้าไม่ใช่ศิษย์หลักจะไม่ถ่ายทอด”
“ได้! แต่ศิษย์มีสามคำถามหวังว่าเจ้าสายจะช่วยคลายความสงสัย” สตรีลึกลับในวันนั้นแววตาแน่วแน่ โค้งตัวเอ่ย
สายตาของเจ้าสายมองไปที่เหล่าผู้ร่ำเรียนที่อยู่ในเจดีย์ขาว เมื่อพบว่าทุกคนกำลังสนใจ เขาก็ยิ้นเล็กน้อย
“ได้”
“คำถามข้อแรกของศิษย์ ได้ยินมาว่าวิชาสายเราหลอมรวมไหมวิญญาณ ต้องทำให้วิญญาณแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทราบว่าสายเซียนต่างวิถีมีวิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณน่าพิศวงอยู่หรือไม่”
นางกล่าวพลางคอยสังเกตสายตาของเจ้าสายโดยไม่วางตา
ดวงตาเจ้าสายไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ น้ำเสียงราบเรียบสะท้อนก้อง
“เมื่อเซียนคิมหันต์นึกคิด ร่างเซียนก่อร่างขึ้นเอง หากจิตนึกคิดนี้จมลงไปในมหาสมุทร วิญญาณก็สำเร็จลุล่วง”
ทุกคนในเจดีย์ขาวสงสัย หากเป็นยามอื่น พวกเขาจะต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่ ใจความประโยคนี้ดูเหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่
แต่ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่กับสายเซียนต่างวิถี มีขั้นใหญ่ปรากฏตัว ไหมวิญญาณนับแสนเส้นนั่นพิสูจน์ทุกอย่าง ดังนั้นทุกคนจึงอดครุ่นคิดอย่างจริงจังไม่ได้
กระทั่งศิษย์หลักทั้งสามก็ครุ่นคิด
มีเพียงสวี่ชิงทางนั้นที่มองตาปริบๆ
สตรีลึกลับผู้นั้นเงียบนิ่ง เลิกคิ้วขึ้นใต้หน้ากาก หลังจากคิดก็เอ่ยถามประโยคที่สอง
“ท่านเจ้าสาย ไม่ทราบว่าการก่อตัวของไหมวิญญาณสายเซียนต่างวิถี เป็นอย่างที่ภายนอกเล่าลือกันว่าเชื่องช้าอย่างยิ่งหรือไม่”
ประโยคนี้ก็เป็นจุดสำคัญที่ผู้ร่ำเรียนคนอื่นในเจดีย์ขาวสนใจ กระทั่งศิษย์ของสายเซียนต่างวิถีทั้งสามก็ตั้งใจฟัง
เจ้าสายเชิดหน้าขึ้น สายตาเจือแววภาคภูมิใจ น้ำเสียงต่ำทุ้มสะท้อนก้องออกมา
“พันปีก่อน สายข้ามีการปฏิรูปวิชา แบ่งออกเป็นสายนอกและสายในสองส่วน อีกทั้งบรรพจารย์ยังกำหนดว่า ศิษย์หลักที่อยู่ครบหนึ่งปีเต็ม ถึงจะถ่ายทอดวิชาของสายในให้
“วิชาของสายนอกเชื่องช้าจริง แต่วิชาของสายในนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง!”
เมื่อเขากล่าประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็ใจสั่นสะท้าน แม้จะยังสงสัยเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อนึกถึงผู้บำเพ็ญลึกลับสำเร็จขั้นใหญ่ที่มีไหมวิญญาณนับแสนเส้นคนนั้น ต่างก็เริ่มลังเล
สตรีลึกลับผู้นั้นก็เช่นกัน คิ้วขมวดแน่นกว่าเดิม นางคิดว่าเจ้าสายตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดา คำตอบของเขาไร้ซึ่งช่องโหว่ ไม่มีเบาะแสใดที่เป็นประโยชน์หลุดลอดออกมา
ดังนั้นหลังจากเงียบไป นางก็ไม่ได้ถามคำถามที่สาม แต่ในใจแน่วแน่ คารวะให้ทันที
“ศิษย์ไม่มีข้อสงสัยแล้ว ยินดีจะเป็นศิษย์หลักและเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถี”
เจ้าสายพยักหน้าเล็กน้อย แอบคิดในใจว่านี่คิดจะหยั่งเชิงข้ารึ
ในความเป็นจริง คำถามของผู้ร่ำเรียนผู้นี้ ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าสาย ย่อมเห็นความผิดปกติ แต่เขาไม่ลนลานแม้แต่น้อย ต่อให้เขาก็ยังไม่ทราบว่าผู้บำเพ็ญลึกลับสำเร็จขั้นใหญ่คนนั้นเป็นใคร ทว่านี่ไม่ส่งผลกระทบกับการที่เขาจะใช้อำนาจนี้ยกระดับบารมีของสายเซียนต่างวิถี
ถึงอย่างไร สิ่งที่ผู้บำเพ็ญลึกลับสำเร็จขั้นใหญ่คนนั้นสำแดงออกมา ก็เป็นไหมวิญญาณของสายเซียนต่างวิถีแน่นอน
แค่นี้ก็พอแล้ว
ส่วนฐานะของผู้บำเพ็ญลึกลับสำเร็จขั้นใหญ่คนนี้ เขาคิดว่าเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม อีกฝ่ายจะปรากฏตัวออกมาแน่นอน
ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายเข้าไปขโมยของจากสำนักยอดดาราจักรพรรดิซึ่งตนต้องเป็นผู้รับผิดชอบนั้น เขาก็ไม่ใส่ใจ
ในฐานะที่เป็นสายของวังศึกษา ตำแหน่งฐานะย่อมอยู่เหนือกว่าข้อพิพาทใด
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ยกมือขึ้นโบก แผ่นหยกแผ่นหนึ่งลอยไปอยู่เบื้องหน้าสตรีลึกลับคนนั้น
หญิงสาวรับไว้ ประทับฐานะลงไปอย่างไม่ลังเล
“ไปอยู่กับศิษย์พี่ทั้งสี่ของเจ้าเถอะ”
เจ้าสายเอ่ยเสียงราบเรียบ หลับตาลงไม่พูดอะไร
สวี่ชิงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความระแวดระวังในใจตอนนี้ก็พุ่งสูงถึงขีดสุดแล้ว
‘คนผู้นี้ถามออกมาเช่นนี้ จะบอกว่าสนใจสายเซียนต่างวิถีจริง หรือมีเจตนาอื่นก็ยากจะจำแนก
‘แต่มีคำอธิบายหนึ่งที่ใช้ตีความทุกอย่างได้ ทั้งสอดคล้องกับตรรกะ นั่นคือ…คนผู้นี้เคยประมือกับข้ามาก่อน
‘หรือว่าจะเป็นนาง’
สวี่ชิงหรี่ตาลง มองผู้ร่ำเรียนคนนั้นอย่างสุขุมเยือกเย็น
เวลาก็ผ่านไปหนึ่งวันเช่นนี้
วันนี้ สตรีที่ผู้มาใหม่ ก็ร่วมต้อนรับผู้ร่ำเรียนนับร้อยร่วมกับพวกสวี่ชิงทั้งสี่ ในระหว่างนี้นางก็คอยสำรวจพวกสวี่ชิงด้วย บางครั้งก็ถามคำถามที่เหมือนจะถามส่งๆ ออกมา
แต่ไม่นานนักก็ยังเบนความสนใจไปที่เจ้าสาย
นางกำลังสังเกตเจ้าสาย สวี่ชิงก็กำลังสังเกตนาง
ยิ่งมอง สวี่ชิงก็ยิ่งแน่ใจกับการคาดเดาของตน กระทั่งตอนที่ราตรีมาเยือน สวี่ชิงรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะเป็นสตรีลึกลับผู้นั้นก็ประมาณห้าหกส่วนแล้ว
ส่วนที่เหลือ สวี่ชิงรู้สึกว่าตนจะต้องมองรายละเอียดออกมากกว่านี้ไปตามกาลเวลาแน่นอน ถึงอย่างไร…อีกฝ่ายก็มีความหมายมั่น เขาก็เช่นกัน
ดังนั้นหลังจากราตรีมาเยือน สวี่ชิงจึงลาเจ้าสายรวมถึงสหายร่วมสำนัก ออกจากเจดีย์ขาว กลับไปที่จวน
นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน สวี่ชิงหลับตาลง หยิบเลือดเนื้อชื่อหมู่ออกมา เริ่มฝึกบำเพ็ญ
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว
ลมพายุเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญลึกลับสำเร็จขั้นใหญ่สายเซียนต่างวิถีคนนั้น เนื่องจากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก ต่อให้เจ้าสายจะพยายามป่าวประกาศเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เปล่าประโยชน์
สุดท้ายก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา
ผู้ร่ำเรียนที่มาเจดีย์ขาวของสายเซียนต่างวิถีทุกวัน ก็ค่อยๆ ลดลงเหลือหลักสิบจากตอนแรกหลายร้อยคน
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พอเทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่มีใครมาเลย ก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินแล้ว
ผู้ร่ำเรียนที่เข้าร่วม เพิ่มมาอีกเก้าคน ตอนนี้มีทั้งสิ้นสิบสามคน
คนกลุ่มนี้มีที่มาซับซ้อนยิ่ง มาจากหลายฝ่าย จากแอบหยั่งเชิงเนียนๆ ทุกวันในตอนแรก เปลี่ยนเป็นซึ่งๆ หน้า ส่วนศิษย์สี่คนแรกอย่างพวกสวี่ชิงก็ยิ่งจับกลุ่มกัน มีการหารือกันบางครั้ง
นอกจากนี้ สวี่ชิงก็มั่นใจแล้วว่าเจ้าห้า…คือสตรีลึกลับผู้นั้นจากการสังเกตตลอดครึ่งเดือนมานี้
เขาจำกลิ่นอายยามอีกฝ่ายลงมือได้มาตลอด เหมือนเป็นพลังบำเพ็ญแต่ไม่ใช่ คล้ายจะเป็นเทพเจ้าแต่ก็ไม่ใช่ ดูเหมือนเป็นพลังอีกแบบ ที่เผด็จการยิ่งกว่าพลังบำเพ็ญ ดุดันยิ่งกว่าเทพเจ้า
“คืออะไรกันแน่”
สวี่ชิงย้อนนึกถึงสายวังศึกษาที่ตนสำรวจมาทั้งหมดก็ไม่พบเบาะแส จึงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
ส่วนการฝึกบำเพ็ญกับการหลอมไหมวิญญาณของเขาในช่วงครึ่งเดือนนี้ก็ทำลายสถิติสูงสุดได้อีกครั้ง
สายเซียนต่างวิถีมีวิชาหลอมวิญญาณที่เลิศล้ำจริงๆ การฝึกบำเพ็ญรุดหน้าได้เร็วกว่าพวกเคล็ดวิชาธรรมดาเล็กน้อย เจ้าสายเซียนต่างวิถีมอบวิชานี้ให้ตามคำที่กล่าวไว้ตอนแรก แต่ก็มอบให้แค่พวกสวี่ชิงทั้งสี่เท่านั้น
ซ้ำยังบอกว่าเป็นแค่การเลื่อนขั้นเท่านั้น ไม่ใช่วิชาสายในแท้จริง
เขาจะถ่ายทอดวิชาต่อไปให้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสายครบตามระยะเวลาที่กำหนด และมีคุณสมบัติ
วาทศิลป์นี้มีประโยชน์ในระดับหนึ่ง ทำให้พวกสอดแนมทั้งหลายที่แต่เดิมไม่ค่อยพอใจนัก ก็พากันให้ความสนใจ และเริ่มหวั่นไหวอีกครั้ง
และวิชานี้ก็เพิ่มประสิทธิภาพให้ระดับหนึ่งจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เพิ่มมากนัก สำหรับศิษย์หลักอีกสามคนที่เหลือ ก็แค่ทำให้หลอมไหมวิญญาณเพิ่มขึ้นได้เดือนละหนึ่งถึงสองเส้นเท่านั้น
แต่สำหรับสวี่ชิงนั้นไม่ใช่
เมื่อเขาใช้วิชาสายเซียนต่างวิถีที่เลิศล้ำยิ่งกว่า ก็หลอมไหมวิญญาณระหว่างสูดรับจากเลือดเนื้อชื่อหมู่ได้มากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังผ่านพ้นไปครึ่งเดือน หลังจากสูดรับเลือดเนื้อชื่อหมู่ทั้งหมดจนถึงขีดจำกัด จำนวนไหมวิญญาณของสวี่ชิงก็มีเกือบล้านเส้นแล้ว
ขาดแค่สามเส้นเท่านั้น
คืนนี้สวี่ชิงตัดสินใจจะหลอมสามเส้นที่เหลือให้สำเร็จลุล่วงในคราเดียว
มองเข้าไปในทะเลความรู้สึก เห็นไหมวิญญาณพลังต้นกำเนิดเทพที่ปกคลุมเกือบทั่วทุกหนแห่ง สวี่ชิงก็คล้ายครุ่นคิด
ไหมวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้พลิ้วไหวไปมาเหมือนก่อนหน้านี้ พวกมันเปลี่ยนเป็นหนาแน่นขึ้น แผ่กลิ่นอายเหมือนใกล้จะเปลี่ยนสภาพ
สวี่ชิงครุ่นคิด เขาสังหรณ์ใจว่าหากไหมวิญญาณไปถึงล้านเส้นน อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างปรากฏขึ้น
เขาไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ในเคล็ดวิชาก็ไม่ได้มีบันทึกไว้ ถึงอย่างไรตั้งแต่โบราณมา สายเซียนต่างวิถียังไม่มีใครที่สะสมไหมวิญญาณได้ถึงระดับที่น่ากลัวเช่นนี้
ต่อให้เป็นผู้คิดค้นวิชา ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีคนหล่อหลอมได้ถึงขั้นนี้
สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกาย ความรู้สึกที่เกิดจากการใกล้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้รุนแรงอย่างยิ่ง
‘จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น…’
สวี่ชิงหลับตาลงเริ่มฝึกบำเพ็ญตามวิชาสายเซียนต่างวิถี
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ไหมวิญญาณเส้นหนึ่งก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาในทะเลความรู้สึก
ไหมวิญญาณทั้งหมดก็สั่นสะเทือนพร้อมกันจากการปรากฏตัว
กลิ่นอายการเปลี่ยนสภาพยิ่งเข้มข้นขึ้น
สวี่ชิงทำต่อ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ไหมวิญญาณเส้นที่สองก็ก่อตัว ทะเลความรู้สึกสวี่ชิงเริ่มครืนครัน โหมซัดอย่างรุนแรง
จนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หลังจากที่ทะเลความรู้สึกมีไหมวิญญาณเส้นสุดท้ายปรากฏขึ้น ไหมวิญญาณหนึ่งล้านเส้นก็ครบถ้วนสมบูรณ์ในพริบตา
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน พลันเกิดขึ้นในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิงทันที!