ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 784 ผสานเทพตั้งคำถาม
บทที่ 784 ผสานเทพตั้งคำถาม
ช่วงเย็น ผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาค่อยๆ ลดน้อยลง แม้จะมีผู้ร่ำเรียนบางคนแทบจะไม่กลับออกไปด้านนอก พักอยู่ในมิติวังศึกษาระยะยาว แต่ผู้ร่ำเรียนส่วนใหญ่ยังกลับออกไปในช่วงเย็น
จะอย่างไรสุดท้ายใจคนก็ติดพันกับเรื่องหยุมหยิมทางโลก ยากจะตัดสะบั้น และยากจะปล่อยวาง
เวลานี้ ชายขอบวังศึกษาอันเป็นพื้นที่โล่งกว้าง คณะสายผสานเทพกำลังก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า
เจ้าสายผสานเทพถูกล้อมไว้ตรงกลาง เขาเดินไม่เร็วนัก กลิ่นอายสุภาพแผ่ออกมาจากเรือนกาย เนื่องจากฐานะในวังศึกษา ผู้ร่ำเรียนที่เขาเดินผ่านระหว่างทางแทบทุกคนจึงชะงักฝีเท้าแล้วประสานมือทักทายด้วยใจที่เคารพ
และเจ้าสายผสานเทพจะมีสายตาอ่อนโยน พยักหน้าให้เล็กน้อยทุกครั้ง
หากพบกับผู้ร่ำเรียนสายตนก็จะหยุดสักครู่ สังเกตความคืบหน้าในการบำเพ็ญของอีกฝ่าย และให้คำชี้แนะสองสามประโยค
การกระทำและคำพูดของเขา สอดคล้องกับผู้สอนในอุดมคติของวังศึกษาอย่างสมบูรณ์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เจ้าสายผสานเทพได้รับความเคารพ
และการออกมาของเขาก็เป็นเวลาช่วงเย็น ดึงดูดความสนใจของสายต่างๆ ในวังศึกษา เพราะทิศทางที่เขามุ่งหน้าไปคือทิศตะวันออก
สายเซียนต่างวิถีก็อยู่ทางทิศตะวันออกเช่นกัน
ดังนั้นผู้ร่ำเรียนที่เดิมทีคิดจะออกจากวังศึกษาก็ล้มเลิกความคิดนั้นแล้วเดินตามหลังไป ในใจคนส่วนใหญ่คาดเดาไปในทางเดียวกัน
ไม่ยากที่จะเกิดการคาดเดาเช่นนี้ ถึงอย่างไรแนวคิดของผสานเทพก็ขัดแย้งกับเซียนต่างวิถีเหมือนน้ำกับไฟ
โดยเฉพาะสายเซียนต่างวิถีที่มีแนวโน้มว่าฟื้นคืนกลับมาแล้วในตอนนี้
ขณะที่ผู้ร่ำเรียนเดินตามมามากขึ้นเรื่อยๆ คณะสายผสานเทพจึงค่อยๆ มาถึงด้านนอกเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีเช่นนี้
ในสายเซียนต่างวิถีเวลานี้ สวี่ชิงที่เพิ่งกล่าวขอตัวกับสหายร่วมสายแล้วกำลังจะออกไป แต่หลังจากสายตากวาดไปด้านนอก แววตาของเขาก็มีแสงประกายลึกลับยากที่จะสังเกตเห็นพาดผ่าน ถอยไปสองสามก้าว ยืนหลบอยู่ด้านหลังคนอื่น
ที่อยู่กับเขายังมีศิษย์หลักอีกนับสิบคนกำลังฝึกบำเพ็ญ ในร่างกายพวกเขาล้วนมีเกล็ดหิมะสีเขียว ไหมวิญญาณของแต่ละคนเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลด้วยการสนับสนุนของมัน
ดังนั้นทั้งเจดีย์ขาวจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายวิชาเซียนต่างวิถีเข้มข้น กลายเป็นแรงกดดัน ด้านนอกก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน
และเมื่อสายผสานเทพมาถึง กลิ่นอายความเป็นเทพที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็พุ่งเข้ามาในเจดีย์ขาวทันที ปะทะกับกลิ่นอายของวิชาเซียนต่างวิถี ต่างกลืนกินซึ่งกันและกัน จนมีเสียงครืนครันเกิดขึ้น
ราวกับเสียงอัสนีบาตฟาดผ่า ดึงดูดความสนใจของศิษย์หลักคนอื่นในเจดีย์ขาว พวกเขาพากันลืมตาขึ้นจากที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ มองออกไปด้านนอก
สังเกตเห็นสายผสานเทพด้านนอกประตู ศิษย์หลักสายเซียนต่างวิถีเหล่านี้ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี ส่วนใหญ่ลุกขึ้นยืน
เจ้าสายผสานเทพหยุดยืนอยู่ด้านนอกเจดีย์ขาว ไม่ได้เดินเข้ามา
ระดับสูงสายผสานเทพ องค์ชายเจ็ด ตลอดจนศิษย์ตัวแทนสายข้างกายเขาเดินเข้าไปในเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีก่อน คลื่นความเป็นเทพสายผสานเทพจากร่างพวกเขาก่อเป็นพายุลูกมหึมา สะกดกลิ่นอายสายเซียนต่างวิถี
ทำให้ทั้งเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีเต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน เซียนต่างวิถีทุกคนจำต้องถอยหลังไปหลายก้าว
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่งเล็กน้อย ภาพนี้ทำให้เขารู้สึกเหมอนเผชิญกับพวกสิ่งประหลาดที่แข็งแกร่งซึ่งมาจากแดนต้องห้าม ห่อหุ้มด้วยหนังมนุษย์ บุกมาที่โลก
“ในสายเซียนต่างวิถี มีสิ่งชั่วร้ายอยู่จริงๆ” สายตาองค์ชายเจ็ดเย็นชา หลังจากสัมผัสคลื่นพลังเซียนต่างวิถีในที่แห่งนี้ ก็เอ่ยเสียงเรียบ
เมื่อเขากล่าวออกมา สวี่ชิงมองไปอย่างเย็นชา ศิษย์หลักสายเซียนต่างวิถีแต่ละคนดวงตาเปล่งประกาย สายตาที่มองไปยังสายผสานเทพยิ่งทวีความร้อนแรง
แม้จะเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถีได้ไม่นาน ยังไม่ถึงขั้นยอมรับอะไร แต่เมล็ดพันธุ์สายเซียนต่างวิถีที่ช่วยสนับสนุนให้พวกเขาพัฒนา ก็เป็นสิ่งที่สายอื่นไม่อาจเทียบได้ พวกเขาจึงไม่อยากจะปล่อยประโยชน์อันเป็นที่ประจักษ์ไปในตอนนี้
ดังนั้นสายผสานเทพที่มาด้วยเจตนาร้ายอย่างชัดเจนซ้ำยังพูดจาหยาบคายเช่นนี้ ย่อมกลายเป็นศัตรู
“ต่อให้ด้านนอกท่านจะเป็นองค์ชาย แต่ในวังศึกษานี้ก็คือผู้ร่ำเรียน กรุณาให้เกียรติซึ่งกันและกัน คำพูดยิ่งต้องให้เกียรติ!”
ในสายเซียนต่างวิถี มีผู้ร่ำเรียนเอ่ยอย่างเย็นชา
องค์ชายเจ็ดกวาดตามองด้วยสีหน้าเย็นชา หันหายถอยไปสองสามก้าวเพื่อเปิดทาง ระดับสูงสายผสานเทพที่อยู่ไม่ไกลก็ทำเช่นนี้ เผยร่างเงาของเจ้าสายผสานเทพที่ยังไม่เดินเข้ามานอกประตู
เจ้าสายผสานเทพสายตาสงบนิ่ง เดินเข้ามาในเจดีย์ขาว สายตาไม่ได้มองผู้ใด ทว่าเงยหน้ามองไปเจดีย์ขาวชั้นบน เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เจ้าสายเซียนต่างวิถี ผสานเทพมาเยี่ยมเยียน”
เสียงของเขาไม่ได้ดัง แต่แรงกดดันอันมาจากฐานะก็สะกดทุกสิ่งโดยปริยาย ทำให้ผู้ร่ำเรียนสายเซียนต่างวิถีได้แต่ก้มหน้า
สวี่ชิงที่อยู่ด้านหลังกลุ่มคน มองไปที่เจ้าสายผสานเทพคนนี้ด้วยสายตาเคลือบแคลง นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้สังเกตเจ้าสายคนนี้ใกล้ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างท่วมท้นอยู่ในใจอีกครั้ง
‘ตัวตนคนผู้นี้น่าสงสัย’
สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ครู่ต่อมาใจของเขาก็กระตุกวูบ ถอนสายตากลับมา มองไปยังชั้นบนของเจดีย์
จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นั่นมีคลื่นพลังเมล็ดพันธุ์วิญญาณสีเขียวเพิ่มขึ้นหนึ่งเมล็ด
‘นี่มัน…’
ขณะเดียวกัน เสียงของเจ้าสายเซียนต่างวิถีก็ดังมาจากชั้นบนของเจดีย์
“วิถีแตกต่าง ข้าไม่ว่างพบ เชิญพวกเจ้ารีบออกไปเสียตอนนี้ อย่ารบกวนการบำเพ็ญของผู้ร่ำเรียนสายข้า”
เทียบกับความสงบนิ่งของเจ้าสายผสานเทพ น้ำเสียงของเจ้าสายเซียนต่างวิถีหยิ่งผยองกว่ามาก สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะ เนื่องจากผสานเทพเป็นสายอันดับหนึ่งในปัจจุบันย่อมสงบนิ่งอยู่แล้ว
และหากเซียนต่างวิถีอยากผงาดขึ้นมา ก็ต้องรุกอย่างรุนแรง
ดังนั้นเมื่อวาจานี้เข้าหูของทุกคนที่มาจากสายผสานเทพ จึงค่อนข้างระคายหู แต่เจ้าสีหน้าสายผสานเทพยังราบเรียบ ไม่ได้ใส่ใจ ยิ่งถอนสายตากลับมา มองผู้ร่ำเรียนเซียนต่างวิถีในเจดีย์ขาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือความทอดถอนใจ
“วังศึกษา เน้นปล่อยให้หมู่มวลผกามาศได้แบ่งบานแข่งกันชูช่อ ดังนั้นข้าก็ยินดีกับการฟื้นคืนของสายเซียนต่างวิถี มีเพียงให้แต่ละสายประชันปัญญากันถึงจะพัฒนาไปในทางที่ดีกว่า ให้กำเนิดวิถีที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันรวมถึงทางออกให้เผ่ามนุษย์เรา
“แต่หากใช้สิ่งชั่วร้ายหรือกระทั่งชีวิตของผู้ร่ำเรียนธรรมดาเพื่อฟื้นคืนกลับมา ข้าไม่อาจยอมรับได้ วังศึกษาไม่อาจยอมรับได้ เผ่ามนุษย์เองก็มิอาจรับได้
“ข้าอ่านตำราโบราณ ตรวจสอบด้วยประวัติศาสตร์ พบว่าก่อนหน้านี้สายเซียนต่างวิถีไม่เคยปรากฏสิ่งที่เรียกว่าเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีมาก่อน เมล็ดพันธุ์นี้เป็นของจากภายนอกที่ปรากฏขึ้นใหม่ สิ่งที่เรียกว่าเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีในร่างกายพวกเจ้า จากแก่นแท้แล้วมีอันตรายร้ายแรงแฝงอยู่
“ข้าได้ศึกษาเมล็ดพันธุ์นี้แล้ว เป็นวิธีการชั่วร้ายประเภทหนึ่ง หากสูดรับเข้าไป ชีวิต พลังบำเพ็ญ กระทั่งความคิดของเจ้านับจากนี้ก็จะถูกควบคุม
“อีกทั้ง…เพียงแค่ต้นสายนึกคิด ก็จะส่งผลกระทบร้ายแรงกับพวกเจ้า หากหนักก็ถึงชีวิต หากเบาก็วิญญาณมัวหมอง
“ดังนั้นที่ข้ามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อตักเตือนสายเซียนต่างวิถีว่าอย่าใช้วิธีเช่นนี้เป็นทางลัด และจะแจ้งกับผู้ร่ำเรียนอย่างพวกเจ้าว่าให้รีบเอาเมล็ดพันธุ์ออกมาจากร่างกายโดยเร็ว มิเช่นนั้นจะมีภัยมาถึงตัว”
เมื่อเขากล่าวออกมา คนในสายเซียนต่างวิถีส่วนใหญ่คลื่นในใจสาดซัด อันที่จริงสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมาพวกเขาก็เคยคิด แต่การปะทุของเมล็ดพันธุ์วิถีที่เห็นตลอดจนเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ ทำให้พวกเขามองข้ามเรื่องนี้ไป
ตอนนี้ฐานะรวมถึงคำพูดของเจ้าสายผสานเทพ ทำให้เรื่องนี้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง จึงทำให้พวกเขาต้องขบคิด
สวี่ชิงก็ยอมรับว่าเจ้าสายผสานเทพที่เหมือนจะคุ้นเคยผู้นี้ เชี่ยวชาญการพูดปลุกปั่นเป็นอย่างยิ่ง คำพูดนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจได้จริงๆ
“ไม่ทราบว่าเจ้าสายเซียนต่างวิถีจะอธิบายอย่างไร”
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปยังชั้นบนของเจดีย์ขาว