ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 785 เมล็ดพันธุ์วิญญาณสีม่วงเมล็ดที่สอง
บทที่ 785 เมล็ดพันธุ์วิญญาณสีม่วงเมล็ดที่สอง
เจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถี เงียบสงัดไปหมด
แต่ไม่นานนัก ชั้นบนของเจดีย์ขาวก็มีเสียงแค่นหัวเราะของเจ้าสายเซียนต่างวิถีดังมา
“เป็นถึงเจ้าสายผสานเทพ แต่กลับพูดจาไร้สาระ ช่างน่าขัน!”
ร่างเงาเจ้าสายเซียนต่างวิถีปรากฏขึ้นที่ชั้นบนหลังจากเสียงแค่นหัวเราะ เดินลงมาในโถงใหญ่ มองเจ้าสายผสานเทพอย่างเย็นชา กล่าวด้วยเสียงกระโชกโฮกฮาก
“เจ้าอ่านตำราโบราณ? ตรวจสอบด้วยประวัติศาสตร์? เจ้าก็ชี้ขาดว่าเมื่อก่อนสายเซียนต่างวิถีของข้าไม่เคยมีเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้นเจ้าก็มองดูเอาเถิด ว่าสิ่งนี้คืออะไร!”
กล่าวพลาง เจ้าสายเซียนต่างวิถีก็ยกมือขึ้น ชี้ไปที่ชั้นบน พลันมีคลื่นพลังไหมวิญญาณน่าครั่นคร้ามแผ่ออกมา ความแข็งแกร่งของคลื่นพลังนี้เหนือกว่าที่เคยได้สัมผัส ใกล้เคียงกับสามแสนเส้น
ยิ่งตอนที่คลื่นพลังนี้แผ่ระลอก ก็มีม่านแสงจำแลงออกมา เผยให้เห็นร่างเงามโหฬารตนหนึ่งด้านใน
นั่นคือร่างฐานของสิ่งมีชีวิตความเป็นเทพตนหนึ่ง
แต่แตกต่างกับที่เจ้าสายเซียนต่างวิถีถักทอก่อนหน้านี้ ร่างฐานที่ปรากฏในตอนนี้ เจือการผันผ่านเวลามาเนิ่นนาน กลิ่นอายเรียบง่ายแต่หนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง เหนือกว่าพลังที่แท้จริงของร่างฐาน ให้ความรู้สึกเหมือนหวนสู่อนัตตา แต่ไม่ใช่หวนสู่อนัตตาทั่วไป
คลื่นพลังของไหมวิญญาณร่างนั้นน่ากลัวมาก ยิ่งแฝงหิมะสีเขียวอีกชิ้นหนึ่งในร่างกาย แสงที่ส่องสว่างเจิดจ้าพร่างพรายเชื่อมกับไหมวิญญาณทุกเส้น
นั่นคือเมล็ดพันธุ์วิถี
เห็นเป็นเช่นนี้ เจ้าสายผสานเทพก็เงียบนิ่ง ผู้บำเพ็ญผสานเทพข้างกายรวมถึงองค์ชายเจ็ดต่างขมวดคิ้ว
ทุกคนในเจดีย์ขาว ก็พากันตกตะลึง
บางคนคาดเดาที่มาของร่างฐานนี้ ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดเดาก็ทำให้จิตใจของพวกเขาโหมซัด
“นี่คือเฉินเต้าเจ๋อบรรพจารย์สายเซียนต่างวิถีของข้า!”
เสียงของเจ้าสายเซียนต่างวิถีกึกก้องไปทั้งเจดีย์ขาว
“ที่ลือกันด้านนอกว่าตอนนั้นเขาสำเร็จขั้นใหญ่ หลังจากถักทอร่างฐานก็จากไปอย่างสงบ กลายเป็นศพแห้งที่ถูกเก็บไว้ในสายเซียนต่างวิถีของข้า แต่ความจริงแล้ว เขาจะตายง่ายๆ ได้อย่างไร!
“บรรพจารย์เฉินเต้าเจ๋อของสายข้าเลือกที่จะหลับใหล ใช้ร่างกายตนศึกษาค้นคว้าเมล็ดพันธุ์วิถี!
“ในร่างกายบรรพจารย์มีเมล็ดพันธุ์วิถีอยู่นานแล้ว จะไม่มีเรื่องเช่นนี้มาก่อนอย่างที่เจ้าพูดได้อย่างไร!
“อีกทั้ง ร่างของบรรพจารย์ก็ผสานเมล็ดพันธุ์เข้าไป แล้วจะมีความเป็นไปได้ที่ต้นสายเพียงนึกคิดที่เจ้าว่าได้อย่างไร ต้นสายรึ เจ้าบอกข้าหน่อยว่าใครเป็นต้นสายของบรรพจารย์ข้า!”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง เอ่ยอย่างหยิ่งผยอง จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางผู้ร่ำเรียนสายตน
“พวกเจ้าก็เบิกตาดูให้ดีว่าเป็นภาพมายาปลอมๆ หรือไม่ พวกเจ้าย่อมแยกแยะออกอยู่แล้ว ส่วนบรรพจารย์ตอนนี้ยังหลับใหลอยู่ พวกเจ้ามองให้ดีๆ ว่าเมล็ดพันธุ์ของบรรพจารย์แตกต่างกับของพวกเจ้าหรือไม่!”
ศิษย์สายเซียนต่างวิถี ในใจต่างโหมซัด ก่อนหน้านี้พวกเขาก็สังเกตเห็นหิมะสีเขียวที่ศีรษะบรรพจารย์แล้ว ผสานเหมือนกับพวกเขาไม่ผิดเพี้ยน
ความจริงสำคัญกว่าคำพูดสวยหรู และสยบคำพูดเหลวไหลทั้งหมดได้
ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายประหลาด รู้ที่มาซึ่งตนสัมผัสรับรู้ได้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินเต้าเจ๋อแห่งสายเซียนต่างวิถีจะแค่แกล้งตาย
‘วิญญาณของเฉินเต้าเจ๋อ…ระดับความหนักแน่นของเขาเหนือกว่าเจ้าสายหลายเท่า แต่น่าเสียดายที่หิมะสีเขียวสนับสนุนเขาได้ไม่มากเท่าที่ควร หากเป็นเมล็ดพันธุ์วิญญาณสีม่วง อาจจะทำให้ไหมวิญญาณทะลวงห้าแสนเส้นได้’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
และเมื่อเจ้าสายเซียนต่างวิถีกล่าวโต้กลับ ฝ่ายสายผสานเทพก็ไร้หนทางตอบโต้ เวลานี้สายตาคนในคณะสายผสานเทพฉายแววจริงจัง และเมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ เจ้าสายเซียนต่างวิถีก็แค่นหัวเราะอีกครั้ง
“คนที่ข้าบอกว่าปิดด่านก่อนหน้านี้ก็คือบรรพจารย์ของสายข้านี่ล่ะ หนึ่งเดือนให้หลัง เขาก็จะออกจากด่านแล้ว
“หากพวกเจ้ายังสงสัย หนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็กล้าจัดเสวนาเต๋าเช่นกัน!”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา ไม่ใช่แค่ทุกคนในเจดีย์ขาวที่สั่นสะท้าน แต่ผู้ร่ำเรียนสายต่างๆ ที่จับตามองทุกอย่างนี้อยู่ด้านนอกก็ฮือฮาเช่นกัน
เสวนาเต๋าวังศึกษา คือการแข่งขันระหว่างสายที่มีความสำคัญที่สุด และเป็นแก่นของวังศึกษา ส่งเสริมให้สายต่างๆ ใช้การเสวนาเต๋านี้เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของตน จากนั้นก็ดึงดูดผู้ร่ำเรียนเข้าสายได้
วังศึกษาในช่วงแรก การเสวนาเต๋าเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง กระทั่งเสวนาเต๋าของสายใหญ่บางสายดึงดูดสายตาของราชวงศ์ได้ จักรพรรดิมนุษย์ก็มาปรากฏตัวเพื่อชมพิธี
แต่ปัจจุบันเวลาผันเปลี่ยน ผสานเทพแข็งแกร่งไร้เทียมทาน การเสวนาเต๋าจึงน้อยลง
ทว่าตอนนี้ เจ้าสายเซียนต่างวิถีเสนอให้จัดเสวนาเต๋าขึ้นมา
คำนี้ก็ประหนึ่งแม่ทัพชักกระบี่ออกจากฝัก
ทันใดนั้น ศิษย์สายเซียนต่างวิถีในเจดีย์ขาวก็พากันฮึกเหิม ในทางกลับกันคณะสายผสานเทพต่างเงียบนิ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าสายผสานเทพก็ถอนสายตาที่มองม่านแสงกลับมา มองไปยังเจ้าสายเซียนต่างวิถี เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ก็ดี เช่นนั้นหลังจากนี้หนึ่งเดือน วันที่บรรพจารย์ของสายเจ้าออกจากด่าน จะจัดเสวนาเต๋าของวังศึกษา!”
กล่าวจบ เจ้าสายผสานเทพก็หันหลังจากไป แววตาระดับสูงสายผสานเทพต่างมืดครึ้ม เดินออกจากเจดีย์ขาวเซียนต่างวิถี
ในเจดีย์ขาวเซียนต่างวิถี ทุกคนฮึกเหิม เจ้าสายเชิดหน้า โบกมือให้ทุกคนทำตัวตามปกติ ส่วนตนมือไพล่หลัง กลับขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง
ส่วนสวี่ชิง เขามองผู้บำเพ็ญสายผสานเทพที่จากไปไกล มองไปที่เจ้าสายกับองค์ชายเจ็ดหลายครั้ง จากนั้นก็หันหน้ากลับมามองชั้นบนของเจดีย์ขาวเซียนต่างวิถี
‘ต้องส่งเมล็ดพันธุ์วิญญาณมาให้อีกเมล็ดหรือไม่’
สวี่ชิงสัมผัสเกล็ดหิมะสีม่วงเก้าสิบเก้าชิ้นที่อยู่ในร่างกายครู่หนึ่ง ขณะที่ครุ่นคิด ก็ออกจากสายเซียนต่างวิถี
กลางดึกในวังศึกษา มีคนส่งถุงใบหนึ่งที่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยนมาที่เจดีย์ขาวเซียนต่างวิถี
เจ้าสายสัมผัสได้ทันที แต่ก็ไม่ได้รีบพุ่งออกไป แต่รออยู่สักพัก ถึงค่อยรีบร้อนออกมา เขาไม่สนใจว่าใครส่งมา เขาทราบดีว่าในเมื่อผู้อาวุโสลึกลับท่านนั้นไม่อยากเปิดเผยตัวตน เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบหาสร้างความไม่พอใจ
สิ่งที่เขาสนใจคือสิ่งที่อยู่ในถุงใบนี้ จะเป็นอย่างที่ตนคิดว่าจะมีเกล็ดหิมะสีม่วงอยู่หรือไม่
หลังจากรับมา เขาก็สะกดความตื่นเต้นพลางกลับไปยังห้องลับ เปิดมันออกมา
หลังจากเห็นเกล็ดหิมะสีม่วงด้านใน ในใจเจ้าสายเซียนต่างวิถีคนนี้ก็ฮึกเหิมถึงขีดสุด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาสูดลมหายใจลึกๆ หยิบขวดยาที่บรรจุเกล็ดหิมะสีม่วงไว้เดินเข้าไปในห้องต้องห้ามเซียนต่างวิถี มายังเบื้องหน้าเฉินเต้าเจ๋อที่หลับใหลอยู่ ยกสองมือขึ้น
ขณะเดียวกัน ในเจดีย์ขาวสายผสานเทพ ก็กำลังเกิดเหตุการณ์สำคัญอันเกิดจากแผนอันแยบยลที่วางแผนมาอย่างยาวนาน…
ชั้นบนของเจดีย์ขาวสายผสานเทพ ร่างเงาขององค์ชายเจ็ดปรากฏตัวอยู่ในหอเก็บวิชา กำลังอ่านแผ่นหยกในที่แห่งนี้
เนื่องจากลักษณะพิเศษจำเพาะของวังศึกษา หอเก็บวิชาของสายผสานเทพจึงเก็บรวบรวมความรู้ความเข้าใจของศิษย์ที่บำเพ็ญไว้มากมาย เพื่อให้คนรุ่นหลังเปิดอ่านและพัฒนาได้สะดวก อีกทั้งป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังเดินผิดทางด้วยประสบการณ์ของผู้อาวุโส
องค์ชายเจ็ดเวลานี้กำลังอ่านแผ่นหยก
คืนนี้ แต่เดิมเขาจากไปได้ แต่หลังจากกลับมาจากสายเซียนต่างวิถี เขานึกถึงสิ่งที่เจ้าสายชื่นชมเขาอีกหกสิบปีหลังจากนี้
‘อีกหกสิบปีจะประสบความสัมเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน…แต่ธูปรัชทายาทจะมอดดับอยู่รอมร่อ มีเวลาแค่ปีเดียว ดังนั้นข้ารอถึงหกสิบปีไม่ไหวหรอก’
ดวงตาองค์ชายเจ็ดฉายแววไม่ยินยอม แม้พลังบำเพ็ญจะทะลวงขั้น แต่เขายังรู้สึกว่าช้า เขาเกลียดสวี่ อยากล้างแค้น เขาอยากเป็นรัชทายาท ปกครองเผ่ามนุษย์
เดิมทุกอย่างนี้มีอ๋องเทียนหลันผู้เป็นลุงคอยหนุนหลัง อนาคตก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ทว่าตอนนี้…
‘หากพลังบำเพ็ญข้าน่าตื่นตะลึง…ทุกอย่างนี้คงราบรื่นดั่งผ่าไม้ไผ่!’
องค์ชายเจ็ดรู้สึกหงุดหงิด ครุ่นคิดไปพลางเปิดอ่าน อยากรู้ว่ามีทางลัดหรือไม่ เขาก็เคยถามเจ้าสายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่อีกฝ่ายไม่ได้บอก
เวลาจึงไหลผ่านไปเช่นนี้ หนึ่งชั่วยามต่อมา องค์ชายเจ็ดที่อ่านบันทึกการบำเพ็ญไปมากมาย จู่ๆ ดวงตาก็เปล่งประกายลึกลับ ก้มหน้ามองแผ่นหยกในมือ
แผ่นหยกนี้เป็นประสบการณ์บำเพ็ญของผู้อาวุโสสายผสานเทพผู้หนึ่ง ด้านในกล่าวถึงแนวคิดหนึ่ง นั่นก็คือการสูดรับวิญญาณเผ่าเดียวกันมากพอ ดูเหมือนจะเพิ่มความเร็วในการผสานสิ่งมีชีวิตความเป็นเทพรวมถึงขีดจำกัดได้
แต่เรื่องนี้โหดเหี้ยมอำมหิต ผิดศีลธรรมเกินไป คนผู้นี้จึงล้มเลิก เพียงสังหารศัตรูคู่แค้นและทดลองเล็กน้อยเท่านั้น
องค์ชายเจ็ดเงียบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ออกจากหอเก็บวิชา
ส่วนแผ่นหยกแผ่นนั้น เขาก็วางไว้ที่เดิม
เนิ่นนานหลังจากนั้น ในหอเก็บวิชาที่เงียบสงบ เจ้าสายผสานเทพก็ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ ยืนตรงตำแหน่งที่องค์ชายเจ็ดยืนก่อนหน้านี้ เขาก้มลงมองแผ่นหยกแผ่นนั้น ยิ้มออกมาเล็กน้อย