ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 787 ขัดต่อวิถีมนุษย์
บทที่ 787 ขัดต่อวิถีมนุษย์
สองเดือนมานี้ จากการที่เจ้าสายเซียนต่างวิถีแจกจ่ายเกล็ดหิมะสีเขียว สวี่ชิงก็รู้ตำแหน่งภายนอกของศิษย์มากมายในสายเซียนต่างวิถีด้วยการสัมผัสผ่านเมล็ดพันธุ์วิญญาณ
หากสวี่ชิงอยากรู้ฐานะของพวกเขาแต่ละคน ย่อมมีร่องรอยให้ติดตามได้
เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจจะไปสืบหาเท่านั้น ส่วนเจ้าสายเซียนต่างวิถี เขาอยู่ในวังศึกษาตลอด ไม่เคยออกมาข้างนอกเลยสักครั้ง สวี่ชิงจึงไม่รู้เรื่องภายนอกของคนผู้นี้เลย
ส่วนผู้ที่หลังจากผสานเมล็ดพันธุ์วิถีในสายเซียนต่างวิถีแล้วเลือกออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิก็ไม่ได้มีแค่สามคนที่เขาสัมผัสได้ตอนนี้ ก่อนหน้านี้มีอีกหลายคนที่ทำแบบเดียวกัน
อย่างไรฐานะผู้เล่าเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ข้อผูกมัด คนในวังศึกษายังมีฐานะอื่นด้านนอก ดังนั้นการออกไปทำภารกิจด้วยเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวมก็เป็นเรื่องปกติ
สวี่ชิงจึงเงยหน้าสัมผัสรับรู้เพียงเล็กน้อยแล้วก็ดึงสัมผัสกลับมา หลับตากำหนดลมหายใจต่อ กระทั่งขอบฟ้าเริ่มสว่าง แสงรุ่งอรุณสาดส่อง สวี่ชิงถึงได้ลืมตา
เขาจัดระเบียบเสื้อผ้า เปิดประตูห้องลับ ลมหิมะปะทะใบหน้า ค่อยๆ ละลายกลายเป็นน้ำเย็น
มองเกล็ดหิมะที่ล่องลอยบนท้องฟ้าสีคราม สัมผัสลมหนาวที่พัดมา ฟังเสียงกำหนดลมหายใจของผู้ครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรที่ดังจากในจวน สวี่ชิงเริ่มใจลอยเล็กน้อย
กลิ่นอายของฤดูหนาวรุนแรงเป็นพิเศษ
“สามเดือนแล้ว”
สวี่ชิงพึมพำ เขามาเมืองหลวงจักรพรรดิได้สามเดือนแล้ว
ตอนที่มายังเป็นฤดูใบไม้ร่วง ตอนนี้มาถึงกลางฤดูหนาวแล้ว
ในสามเดือนนี้ นอกจากที่เขาทำการค่อนข้างอวดเบ่งในตอนแรก จากการที่เข้าร่วมวังศึกษา เงาร่างของเขาก็ค่อยๆ หายลับไปจากสายตาผู้คน
สวี่ชิงตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
คนที่หายไปเหมือนเขายังมีจื่อเสวียนกับนายกอง
จื่อเสวียนจากไปเดือนครึ่งแล้ว
สวี่ชิงรู้ดี เทียบกับการพึ่งพาหลิงเอ๋อร์ จื่อเสวียนกลับอยู่เพียงลำพัง
นางมีเรื่องที่ต้องทำ ทั้งมีชีวิตเป็นของตนเอง ดังนั้นหลังจากคดีดวงตะวันแห่งแสงอรุณถูกขโมย บรรยากาศรอบเมืองหลวงจักรพรรดิมั่นคง นางจึงไปพื้นที่วงอื่นของแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ
สำหรับนาง ทุกสิ่งที่นี่คุ้นเคยทว่าแปลกหน้าในเวลาเดียวกัน นางจึงอยากไปตามหาร่องรอยแต่เก่าก่อน
ก่อนไป นางไม่ได้บอกลาสวี่ชิง เพียงทิ้งแผ่นหยกที่มีกลิ่นอายของนางไว้ให้ชิ้นหนึ่ง
สวี่ชิงเลือกที่จะเคารพสิ่งนี้
ส่วนนายกองตั้งแต่เรื่องคราวก่อนก็หายไปเลย นี่ทำให้สวี่ชิงเริ่มอยากรู้ว่าเขาขโมยอะไรจากสำนักยอดจักรพรรดิดารา
อีกอย่าง ตามที่เขาเข้าใจนายกอง นิสัยอยู่ไม่สุขของอีกฝ่ายยากจะซ่อนตัวอยู่ที่เดียวได้นานถึงเพียงนี้ ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากว่านายกองได้เปลี่ยนฐานะไปนานแล้ว
ส่วนเป็นฐานะอะไร…
สวี่ชิงครุ่นคิดแล้วมองไปทางสำนักย่อยยอดจักรพรรดิดาราที่ถูกขโมยของ
‘เป็นไปได้มากว่านายกองจะกลับไปที่นั่นอีก สำหรับเขาของที่ต้องขโมยอาจไม่ได้มีแค่อย่างเดียว’
ส่วนอู๋เจี้ยนอูกับข่งเสียงหลงล้วนมีวาสนาของตนในเมืองหลวงจักรพรรดิแห่งนี้
อู๋เจี้ยนอูไปสำนักบำเพ็ญพรต ที่นั่นคือสำนักศึกษาแห่งหนึ่งที่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวเคยก่อตั้ง ปัจจุบันเสื่อมโทรม กลายเป็นสถานที่บันทึกประวัติศาสตร์ไปแล้ว ไม่รู้ว่าดึงดูดความสนใจของอู๋เจี้ยนอูได้อย่างไร ใช้เวลาสองเดือนเขาก็กลายเป็นคนงานในสำนักบำเพ็ญพรตได้สำเร็จ
ข่งเสียงหลงกลับมุ่งหน้าไปฝึกบำเพ็ญในวังครองกระบี่ เดินไปบนเส้นทางตามบิดาของเขา
ชีวิตแต่ละคนแผ่ขยายออกไปในเมืองหลวงจักรพรรดิ แต่เทียบกับพวกเขา หนิงเหยียนสงบกว่ามาก
หลังจากเจอเรื่องดวงตะวันแห่งแสงอรุณ หนิงเหยียนก็เก็บตัวฝึกบำเพ็ญเงียบๆ อยู่หน้าภาพเสมือนมารดา ปกติไม่ค่อยออกมา ยิ่งด้วยสวี่ชิงออกเช้ากลับค่ำ ทั้งสองจึงไม่ค่อยได้เจอกัน
แต่สวี่ชิงรับรู้ได้ว่ากลิ่นอายจากร่างหนิงเหยียนที่อยู่ในโถงบรรพชนกำลังเปลี่ยนไป
‘ทุกคนกำลังเติบโต’
สวี่ชิงหายใจเข้าลึกๆ เดินฝ่าลมหิมะออกไป
เขาก็ต้องเติบโตเช่นกัน
ตลอดทางลมหิมะแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนสวี่ชิงมาถึงประตูวังศึกษา เกล็ดหิมะปกคลุมทั่วฟ้าดิน
ครั้งนี้ก็คือครึ่งเดือน
ผู้มีไหมวิญญาณห้าหมื่นเส้นในสายเซียนต่างวิถีปรากฏเพิ่มอีกสี่คน แต่ละคนล้วนได้รับความสำคัญจากเจ้าสาย เลื่อนขั้นจากศิษย์หลักเป็นศิษย์สายตรง ทั้งยังให้สิทธิ์ถ่ายทอดวิถีแก่พวกเขา
ในบรรดาลูกศิษย์ แบ่งเป็นศิษย์สายใน ศิษย์หลักและศิษย์สายตรง
ศิษย์สายตรงเหล่านี้สามารถรับศิษย์สายในเพื่อมอบเมล็ดพันธุ์วิถีเองได้
ขณะเดียวกัน เจ้าสายยังตั้งกฎว่าจะจัดการแข่งขันเป็นศิษย์ตัวแทนสำนักทุกสามเดือน ผู้เป็นศิษย์ตัวแทนสำนักมีสิทธิ์ฝึกบำเพ็ญเบื้องหน้าบรรพจารย์ รับคำชี้แนะ ถึงขั้นรับการถ่ายทอดวิชา
นอกจากนั้น ยังมีอภิสิทธิ์ได้รับทุกสิ่งในสำนักที่ช่วยบำรุงจิตวิญญาณ รวมถึงโอกาสได้รับเมล็ดพันธุ์วิถีขั้นสูงกว่าแทนที่ในอนาคต
การกระตุ้นและการมอบอำนาจในระดับหนึ่งเช่นนี้จะสร้างตัวแปรไร้ลำดับ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้จำนวนคนในสายเซียนต่างวิถีเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด
เมล็ดพันธุ์วิถีสีขาวจึงค่อยๆ กระจายในหมู่ผู้เล่าเรียนสายเซียนต่างวิถี ช่วงก่อนหน้านี้มีจำนวนกับข้อบังคับเป็นอุปสรรค ดังนั้นไม่ใช่ศิษย์หลักทุกคนจะผสานเมล็ดพันธุ์วิถีได้ จำต้องบรรลุเงื่อนไขเสียก่อน
แต่ตอนนี้ด้วยสายเซียนต่างวิถีขยายใหญ่ รวมถึงมีเมล็ดพันธุ์วิญญาณสีขาวปรากฏ ศิษย์ที่ไม่เคยมีโอกาสผสานเมล็ดพันธุ์วิถีสีเขียวเหล่านี้ ก็มีบางคนเลือกเข้าร่วม
และผู้เล่าเรียนภายนอกที่เข้าสายเซียนต่างวิถีก็มากขึ้นเรื่อยๆ จากการพยายามชักชวนของแต่ละฝ่าย
เรื่องดึงคนที่สวี่ชิงเห็นตอนเพิ่งมาวังศึกษาในช่วงแรก บัดนี้เกิดขึ้นนอกเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีบ่อยครั้ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาผู้เล่าเรียนสายเซียนต่างวิถีย่อมมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นธรรมดา
ตอนฝึกบำเพ็ญในวันปกติก็มีกลุ่มของตัว
ศิษย์เก่าอย่างพวกสวี่ชิงหมดรัศมีทีละนิด แม้ทุกคนยังคงหมั่นเพียร แต่ที่มีไม่ขาดที่สุดในวังศึกษาคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกบำเพ็ญ จะถูกนำหน้าก็ไม่แปลก
ศิษย์หลักคนอื่นที่ไหมวิญญาณไม่ถึงห้าหมื่นเส้น หลังจากเห็นศิษย์สายตรงเหล่านั้นได้หน้าก็ต่างร้อนใจ ฐานะกับตำแหน่งภายนอกจึงมีประโยชน์ในยามนี้
สวี่ชิงเห็นเหล่านี้ในสายตา แต่ไม่ได้เข้าไปสอดแทรก
จะเป็นไปอย่างไรล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของสายเซียนต่างวิถี และการที่สายเซียนต่างวิถีขยายตัวก็ทำให้เขามีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจน ในครึ่งเดือนนี้ ไหมวิญญาณพลังต้นกำเนิดเทพของเขามีมากกว่าหนึ่งล้านสามแสนเส้นแล้ว
‘ข้าในตอนนี้ ระเบิดพลังทั้งหมดจะสร้างสภาวะเทพเจ้าขั้นที่สามได้
‘เพียงต้องสร้างสมบัติลับอีกหนึ่งคลัง ข้าก็สามารถทะลวงสมบัติวิญญาณ ไปหวนสู่อนัตตา
‘ส่วนวิชาสายเซียนต่างวิถี มันปรับใช้กับการฝึกบำเพ็ญระดับใดก็ได้ ทำให้ข้าผสานพลังเทพเจ้ากับวิชาของผู้บำเพ็ญในการฝึกบำเพ็ญภายหน้าได้อย่างสมบูรณ์ ส่งเสริมกันและกัน เกิดเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น’
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววตั้งตารอ
เขารู้สึกสายเซียนต่างวิถีเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับมามากที่สุดหลังจากมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิ ส่วนกระบี่จักรพรรดิ นั่นคือภารกิจ วิชาสายเซียนต่างวิถีเป็นการยกระดับตนเองอย่างแท้จริง
ก่อนได้สัมผัสสายเซียนต่างวิถี พลังต้นกำเนิดเทพในกายสวี่ชิงเป็นเอกเทศ พลังบำเพ็ญก็เป็นเอกเทศ แม้อาศัยการผสานสมบัติลับของกันและกันจนสำเร็จ แต่นี่เป็นเพียงขั้นแรก โดยรวมยังห่างกันราวฟ้ากับดิน
จนกระทั่งวิชาสายเซียนต่างวิถีปรากฏขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
“เช่นนั้น ก็รอเสวนาเต๋า จากจำนวนไหมวิญญาณของบรรพจารย์เฉินเต้าเจ๋อในตอนนี้ แม้เสวนาเต๋าไม่สู้สายผสานเทพ ทว่าสัมฤทธิ์ผลแล้ว สายเซียนต่างวิถีเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการฟื้นฟู”
สวี่ชิงอารมณ์ดียิ่ง เช้าตรู่วันนี้ครุ่นคิดไปพลางเดินเข้าเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถี เตรียมฝึกกำหนดลมหายใจของวันนี้ต่อ แต่เพิ่งก้าวเข้าเจดีย์ขาว เสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างใน
“พวกเจ้าทั้งหลายไปจัดเตรียมลานเต๋าสักหน่อย วันนี้สหายเล่าเรียนเสวียนหลินเชิญหลายสายมาต้อนรับที่ลานเต๋า พวกเจ้าอย่าลืมจุดธูป เตรียมน้ำชา และทั้งลานเต๋าห้ามมีเศษฝุ่นแม้แต่น้อย”
คนที่พูดคือศิษย์หลักคนหนึ่งที่มีไหมวิญญาณถึงสามหมื่นกว่าเส้น ยามนี้กำลังสั่งงานผู้เล่าเรียนสองสามคนในเจดีย์ที่ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มไหน
ส่วนสหายเล่าเรียนเสวียนหลินที่เขาเอ่ยถึง คือหนึ่งในสี่ศิษย์สายตรงที่ได้เลื่อนขั้นก่อนหน้านี้
ผู้เล่าเรียนที่ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มใดเหล่านั้นได้ยินก็มีใจจะปฏิเสธ แต่เรื่องเกี่ยวกับศิษย์สายตรง พวกเขาทำได้เพียงตอบรับโดยดี
สวี่ชิงกวาดสายตาผ่านไป ไม่ได้สนใจ เดินไปมุมที่ตนนั่งสมาธิในวันปกติ เพิ่งขัดสมาธิจะหลับตา แต่ในยามนี้เอง ศิษย์หลักที่สั่งงานคนอื่นมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง
กับศิษย์หลักกลุ่มแรกสุดที่รวมสวี่ชิง เขาย่อมคุ้นเคยดี ยามนี้เอ่ยคำราบเรียบ
“เจ้าก็ด้วย ไปกับพวกเขาสิ”
สวี่ชิงสีหน้าปกติ หลับตาเพ่งจิต
เห็นเขาเป็นเช่นนั้น ศิษย์หลักขมวดคิ้วใต้หน้ากาก เดินมาหาสวี่ชิง การกระทำของเขาดึงดูดความสนใจของศิษย์สายเซียนต่างวิถีคนอื่นในเจดีย์ขาว
สายตาพากันจับจ้องศิษย์หลักที่เดินมาตรงหน้าสวี่ชิง
“เสวียนเหลยจื่อ ข้าพูดกับเจ้าอยู่”
สวี่ชิงค่อยๆ ลืมตา มองผู้เล่าเรียนตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง เพียงผาดเดียวเขาพลันสะท้านทั่วร่าง ยามนี้ไหมวิญญาณในร่างกายเกิดความปั่นป่วน ประหนึ่งตื่นตกใจจนอยากระเบิดร่าง ทำให้อวัยวะภายในเขาถูกกระตุ้นจนเจ็บปวด
ความรู้สึกกลัวผุดขึ้นในใจศิษย์ผู้นี้ฉับพลัน เขาถอยหลังไปหลายก้าวอย่างห้ามไม่อยู่ สงสัยระคนหวาดหวั่นไม่อาจสงบใจ
ส่วนคนอื่น ยามนี้พากันประหลาดใจ พวกเขาไม่รู้สึกถึงคลื่นใดเลย เพียงเห็นสวี่ชิงกวาดมองศิษย์หลักตรงหน้าเขา แล้วคนผู้นั้นก็ถอยหลังไปเอง นัยน์ตามีความพรั่นพรึง
ภาพนี้ทำให้กลุ่มคนต่างเดากันไป
สวี่ชิงหลับตาอีกครั้ง นั่งสมาธิต่อ
ศิษย์ผู้นั้นใจสั่นสะท้าน พริบตาเมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนเฉียดใกล้ความตาย ยามนี้ยังหวาดผวา ไม่กล้าทำอะไรต่อ แต่สายตาคนรอบด้านทำให้เขารู้สึกขี่เสือลงยากเล็กน้อย
เขาจึงหันกายจากไป เมื่อมาถึงจุดที่พรรคพวกตนนั่งสมาธิในวันปกติ ก็หยิบแผ่นหยกสื่อสารของวังศึกษามาสื่อเสียง
เวลาไม่นาน นอกเจดีย์ขาวมีคนผู้หนึ่งเดินมา
คนผู้นี้ก็คือเสวียนหลินหนึ่งในศิษย์สายตรงเซียนต่างวิถี การมาเยือนของเขาทำให้ศิษย์มากมายลุกขึ้นคารวะ ศิษย์หลักที่ตำหนิสวี่ชิงก็เข้าประชิดรวดเร็วปานโบยบินมา ค้อมตัวแล้วกระซิบข้างหูเขาพร้อมกับยกมือชี้สวี่ชิง
เสวียนหลินเงยหน้า มองสวี่ชิงด้วยสายตาเย็นชา
“น่าสนใจ”
ระหว่างพูด เขาเดินมาหาสวี่ชิง คลื่นไหมวิญญาณเจ็ดหมื่นเส้นหลายเป็นแรงกดดันขจายทั่วทิศ
แต่หลังจากเขาเดินมาเจ็ดแปดก้าว ฉับพลันนอกเจดีย์ขาวมีเสียงเอ็ดอึงทอดมา เสียงดังขึ้นต่อเนื่อง พริบตานั้นพลันระเบิดคล้ายน้ำเย็นลงน้ำมันเดือด
“เกิดเรื่องใหญ่ ในเขตปกครองประจักษ์ฟ้าเกิดเหตุชาวบ้านล้านคนถูกสังเวย!
“เจ้าเขตปกครองประจักษ์ฟ้าตรวจสอบและสังหารคนร้ายด้วยตัวเอง ก่อนตายคนร้ายคิดจะทำลายร่างของตน แต่ถูกเจ้าเขตปกครองหยุดยั้ง พบว่าในร่างกายคนร้ายมีเมล็ดพันธุ์ประหลาด!
“ว่ากันว่าเจ้าเขตปกครองประจักษ์ฟ้าตรวจสอบพบว่าของต้องสงสัยนี้คล้ายเมล็ดพันธุ์วิถีสายเซียนต่างวิถี กราบทูลจักรพรรดิมนุษย์แล้ว บัดนี้เมล็ดพันธุ์วิถีที่เขาได้รับกำลังอยู่ระหว่างทางส่งมาเมืองหลวงจักรพรรดิ!
“ตอนนี้ในวังหลวง จักรพรรดิมนุษย์ทรงกริ้วยิ่งนัก!”
เสียงอึกทึกภายนอก ดังเข้ามาในเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถี
กลุ่มคนเซียนต่างวิถีพากันใจสะท้านเฮือก เสวียนหลินที่จะเดินไปหาสวี่ชิงก็ชะงักฝีเท้า หันมองภายนอกทันที
สวี่ชิงก็ลืมตา นัยน์ตาฉายประกายอึมครึม
………………………………………