ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 792 เสวนาเต๋าวังศึกษา
บทที่ 792 เสวนาเต๋าวังศึกษา
ภายในบ้าน ก็เงียบสงบอีกครั้งหลังจากคนชุดดำจากไป
สวี่ชิงหยิบแผ่นหยกบนโต๊ะขึ้นมา ผสานจิตเทพเข้าไปตรวจสอบช้าๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็ฉายแววเย็นยะเยือก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองนอกหน้าต่างยามค่ำคืน ความหนาวเย็นแทรกซึมผ่านราตรีกาล กลายเป็นพู่กัน
สายลมวิกาลต่างเกรียงผสมสี ความเงียบงันต่างจังหวะ จักรวาลอันไพศาลต่างกระดาษ แสงดาวและแสงจันทร์ต่างน้ำหมึก บรรจงวาดภาพก่อนรุ่งสาง
ร่างเงาของสวี่ชิงค่อยๆ เลือนหายไปจากภาพวาดนั้น จนกระทั่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อปรากฏตัว เขาเดินไปตามถนนในภาพวาด เตร็ดเตร่ไปไกล มุ่งหน้าสู่วังศึกษา
เขาได้ยินมาว่า การแข่งขันระหว่างสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพจะดำเนินไปตามปกติ ส่วนเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีถูกปลดผนึกแล้วคืนนี้
ขณะที่มุ่งหน้าไป แสงอรุณก็ค่อยๆ ชำแรกผ่านความดำมิดของรัตติกาล แสงสว่างนี้กำลังฉีกทึ้งความมืดมิดออกจากกันนำพาความหวังใหม่มาสู่สวรรค์และใต้หล้า
ทุกสิ่งคล้ายจะตื่นนอน ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่
เช่นเดียวกับเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีภายในวังศึกษา ณ เวลานี้
ภายในเจดีย์ขาว เจ้าสายเซียนต่างวิถีนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นคนเดียวมาตลอดคืน
เขามองความมืดที่ค่อยๆ จางหายไป มองแสงตะวันยามเช้าที่สาดส่องลงมา มอง…ร่างเงาที่ปรากฏอยู่ตรงนั้น
ร่างนั้นเหยียบย่ำแสงอาทิตย์ยามรุ่ง สาวเท้าเข้ามาในเจดีย์ขาวทีละก้าว
“ท่านเจ้าสาย”
สวี่ชิงโค้งคำนับ พูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
เจ้าสายเซียนต่างวิถีทอดสายตาบนร่างเงาที่มีแสงอาทิตย์เจิดจ้าอยู่ด้านหลัง เขาจำลูกศิษย์คนนี้ได้ และจำได้ว่าเมื่ออีกฝ่ายเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถี สายของเขายังอยู่ในช่วงเสื่อมถอย
ซ้ำเขายังจำได้ว่าเคยคิดว่าลูกศิษย์คนนี้มีพรสวรรค์มาก แต่สุดท้ายเมื่อสายเซียนต่างวิถีฟื้นฟูกลับมายิ่งใหญ่ ผู้มีพรสวรรค์ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ตนย่อมสูญเสียความสนใจในตัวอีกฝ่าย
แต่เขาไม่คิดว่าหลังจากสายเซียนต่างวิถีถูกปลดผนึกแล้ว คนผู้นี้…จะเป็นผู้มาเยือนคนแรกและอาจเป็นคนเดียว
ความรู้สึกเสียดายและโศกเศร้ากลานเป็นความซับซ้อน ขณะที่มันแผ่ปกคลุมในใจเขา สวี่ชิงก็เดินไปที่ชั้นวางแผ่นหยก
เขาอยากหาบันทึกเกี่ยวกับสายผสานเทพภายในสายเซียนต่างวิถี สำหรับเรื่องที่สายผสานเทพมีแนวคิดต่างกับสายเซียนต่างวิถีอย่างสิ้นเชิง ย่อมมีบันทึกของสายเซียนต่างวิถีเขียนไว้มากมาย
โดยเฉพาะจุลสารในยุคแรกเริ่ม แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแต่งหรืออ้างอิงจากข่าวลือ แต่พอมีมูลอยู่บ้าง
สวี่ชิงตั้งใจจะตรวจสอบให้ละเอียดและครอบคลุมสักหน่อย เพื่อยืนยันการตัดสินใจของตนเอง และวางแผนในใจ
องค์ชายเจ็ดเป็นคนที่ตายไปแล้วสำหรับเขา และเป้าหมายของเขาไม่ได้มีแค่องค์ชายเจ็ดเพียงผู้เดียว
‘ไป๋เซียวจัว…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เดินไปที่ชั้นวางแผ่นหยกแล้วเริ่มค้นหา
เจ้าสายเซียนต่างวิถีมองสวี่ชิง อ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า
“เสวียนเหลยจื่อ หลังจากวันนี้อาจไม่มีสายเซียนต่างวิถีแล้ว สถานะศิษย์หลักของเจ้า ยกเลิกเองได้เลย เมล็ดพันธุ์ก็ขุดออกได้ จะได้ไม่ส่งผลต่ออนาคต”
เขาพูดพลางหยิบแผ่นหยกออกมาวางไว้ข้างๆ
นี่คือหนังสือรับรองยกเลิกสถานะศิษย์หลัก
วางแผ่นหยกทิ้งไว้แล้ว เขาก็ลุกจากเก้าอี้ ค่อยๆ เดินไปออกไปนอกเจดีย์ขาวทีละก้าว
รุ่งสางมาถึงแล้ว เวลาแห่งการแข่งขันก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
ทอดสายตามองขอบฟ้า ในใจเจ้าสายเซียนต่างวิถีค่อนข้างอ้างว้าง
เขาไม่รู้ว่าผู้อาวุโสลึกลับผู้นั้นจะปรากฏตัวอีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าชะตากรรมของสายเซียนต่างวิถีจะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นเจ้าสายเซียนต่างวิถีคนปัจจุบัน
ดังนั้น แสงแห่งความมุ่งมั่นจึงค่อยๆ ทอประกายในดวงตาของเขา
‘ไม่ว่าอย่างไร แม้ว่าจะปิดฉาก…ก็ทำลายชื่อเสียงของเซียนต่างวิถีไม่ได้เด็ดขาด!’
เจ้าสายเซียนต่างวิถี ก้าวเดินอย่างมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมความคิดนี้ในหัว มุ่งหน้าสู่ลานพิธีเต๋าวังศึกษา
ภายในเจดีย์ขาว สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของเจ้าสายเซียนต่างวิถี แล้วกลับมาสนใจแผ่นหยกต่อ จนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังแว่วมาแต่ไกล ผู้ร่ำเรียนภายนอกหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ขณะที่เสียงพูดคุยก็ดังจอแจ สวี่ชิงจึงวางตำราลง
เขาพบคำตอบที่ต้องการแล้ว จึงเดินออกจากเจดีย์ขาว แทรกตัวเข้าไปในฝูงชนแออัด
การเสวนาเต๋าระหว่างสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพได้รับความสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งสายเซียนต่างวิถีกำลังประสบเคราะห์ เสวนาเต๋าครั้งนี้ก็ยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เมื่อจักรพรรดิมนุษย์อนุญาตให้การเสวนาเต๋าดำเนินต่อไป
ด้วยเหตุนี้ เสวนาเต๋าครั้งนี้จึงดึงดูดความสนใจทั้งจากผู้ร่ำเรียนของวังศึกษารวมไปถึงขั้วอำนาจต่างๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ซึ่งต่างสรรหาวิธีต่างๆ เพื่อเข้าชมเสวนาเต๋าที่วังศึกษาในวันนี้
ส่วนภายในวังศึกษา สถานที่จัดเสวนาเต๋ามีเพียงแห่งเดียว
นั่นคือลานพิธีเต๋ากลางวังศึกษา
สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่ รองรับผู้คนได้หลายแสนคน เมื่อหลายปีก่อน เคยมีการจัดเสวนาเต๋าขนาดใหญ่หลายครั้ง แต่ละครั้งต่างก็สร้างความสั่นสะเทือน
ในขณะนี้มีผู้ร่ำเรียนจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ร่ำเรียนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิที่แห่แหนมาที่นี่
เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ ผู้คนพลุกพล่าน สายตาของพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนจ้องมองไปที่กลางอากาศ
กลางอากาศ มีแท่นแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่สองแท่นลอยอยู่
สีดำและสีขาว เรียบง่าย สง่างาม มีความหมายถึงความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่ง โครงสร้างแปดเหลี่ยมกลายเป็นฐานแท่น เป็นสัญลักษณ์ของจุดบรรจบกันระหว่างแผ่นดินและท้องนภา
ในขณะนี้ มีพลังกดดันแผ่ซ่านออกมาระหว่างท้องนภาและแผ่นดิน ยิ่งมีท่วงทำนองเต๋าแผ่ออกมาจากแท่นเต๋าโบราณทั้งสอง ปกคลุมสี่ทิศกลายเป็นแสงเรืองรอง
บนแท่นเต๋าสีดำมีเจ้าสายผสานเทพนั่งอยู่ เบื้องหลังมีชั้นสูงของสายผสานเทพ รวมถึงพวกศิษย์ตัวแทนสายและองค์ชายเจ็ดนับร้อยคนนั่งขัดสมาธิต่างทรงพลังน่ายำเกรง ขณะที่พลังอำนาจประดุจสายรุ้ง ผู้ร่ำเรียนผสานเทพที่เหลืออีกจำนวนมากต่างนั่งอยู่เบื้องล่าง
และบนแท่นสีขาวฝั่งตรงข้าม มีเพียงเจ้าสายเซียนต่างวิถีนั่งขัดสมาธิอยู่ลำพัง
ความรู้สึกอ้างว้างเกิดขึ้นมาเอง
ขั้วอำนาจจากภายนอกต่างส่ายหน้า ในใจรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน อย่างไร…เมื่อหลายปีก่อน สายเซียนต่างวิถีเป็นสายอันดับหนึ่งของวังศึกษา
ทว่าบัดนี้…
เสียงถอนหายใจเกิดขึ้นในใจของใครหลายคน รวมถึงผู้ร่ำเรียนของสายเซียนต่างวิถีรอบลานพิธีเต๋าวังศึกษาด้วย
เหล่าผู้ร่ำเรียนที่เข้าร่วมสายเซียนต่างวิถีมาวันนี้ทำได้เพียงปิดปากเงียบ
สวี่ชิงก็ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน เขารู้สึกถึงบรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้ได้ แต่ตอนนี้จุดสนใจของเขาคือองค์ชายเจ็ดและ…เจ้าสายผสานเทพบนแท่นเต๋าของสายผสานเทพ
สวี่ชิงมองพวกเขาด้วยสายตาราบเรียบ
เขาไม่ได้รีบร้อนออกไปเปิดโปง แต่กำลังรอให้ละครฉากใหญ่นี้ดำเนินไปถึงช่วงเวลาสำคัญ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นเป็นครั้งที่เก้า จู่ๆ ม่านฟ้าเหนือวังศึกษาก็สั่นสะเทือน จากนั้นมีร่างสองร่างในเสื้อคลุมสีขาวย่างกรายเข้ามาจากปลายฟ้า
ชายชราและคนหนุ่มเดินตามกันมา
คนชราเป็นฝ่ายนำหน้า ดวงหน้าอ่อนโยน ริ้วรอยบนใบหน้าเป็นสักขีพยานแห่งกาลเวลา ราวกับเป็นร่องรอยแม่น้ำแห่งปัญญาไหลผ่าน
แม้ว่าร่างกายจะไม่ยืดตรงอีก แต่บุคลิกและสติปัญญาของเขาเด่นชัดยิ่งขึ้นตามอายุที่เพิ่มพูน
คนผู้นี้คือเจ้าวังศึกษา เบื้องหลังเขา…คือองค์ชายสามที่เป็นรองเจ้าวังศึกษา
พวกเขาไม่ได้สวมหน้ากากของวังศึกษา ใบหน้าของทั้งคู่ปรากฏชัดในครรลองสายตาธารกำนัล ทันทีที่ปรากฏตัว เจ้าสายเซียนต่างวิถีและเจ้าสายผสานเทพ รวมถึงผู้ร่ำเรียนทุกคนในที่แห่งนี้ต่างประสานมือคำนับ
“คารวะท่านเจ้าวัง”
ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิให้เป็นเจ้าวังศึกษาย่อมเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง จุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ สถานะ และผลงาน บุรุษชราผู้นี้ล้วนแต่มีครบถ้วน
เขาได้เข้าร่วมปรับปรุงวังศึกษา กระทั่งสายต่างๆ ล้วนได้รับความช่วยเหลือจากเขา จึงก่อตั้งสำเร็จได้ในช่วงแรก
อีกทั้งเขายังมีสายโลหิตราชวงศ์ หากนับจากลำดับอาวุโส เขาเป็นพระปิตุลาของจักรพรรดิมนุษย์องค์ปัจจุบัน
ดังนั้นองค์ชายสามที่อยู่เบื้องหลัง จึงเคารพนับถือเขาอย่างยิ่ง
เวลานี้ขณะที่เดินมาใกล้เรื่อยๆ เจ้าวังศึกษาหยุดเดินกลางเวหา เงยหน้ามองออกไปไกลๆ แล้วประสานมือคำนับ
“คารวะจักรพรรดิมนุษย์”
เมื่อเปล่งเสียงออกมา ผู้ร่ำเรียนเบื้องล่างต่างก็ใจสั่นสะท้าน ท้องฟ้าจุดที่เจ้าวังศึกษามองไปกำลังปั่นป่วน ก่อนจะฉายภาพออกมา
ภายในภาพคือวังหลวง จักรพรรดิมนุษย์ประทับบนบัลลังก์สูง กำลังทอดพระเนตรมาที่นี่ เห็นเจ้าวังศึกษาแสดงความเคารพ เขาก็ลุกขึ้น ประสานมือคำนับตอบ
เหตุผลที่ลุกขึ้นประสานมือคำนับตอบ ไม่ใช่เพราะมารยาทต่อผู้อาวุโส หากแต่ในฐานะจักรพรรดิมนุษย์ พระองค์เป็นตัวแทนของเผ่ามนุษย์ เป็นผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เหตุผลที่ลุกขึ้นประสานมือคำนับนั้นเป็นเพราะความเคารพทั้งสิ้น
เคารพเจ้าวังศึกษาที่อุทิศตนให้กับวังศึกษาหลายปีมานี้
ใต้ภาพจักรพรรดิมนุษย์ สามารถมองเห็นร่างสิบสามร่าง ทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นประสานมือคำนับตอบ
แต่ละร่างแผ่กลิ่นอายน่าตกตะลึง สวี่ชิงมองผาดเดียวก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน นั่นคือ…ระลอกคลื่นของเตรียมสู่เทวะ
สถานะของพวกเขาไม่ต้องพูดก็ทราบดี
อ๋องสวรรค์ที่อยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิ
หลังจากที่ประสานมือคำนับเสร็จ จักรพรรดิมนุษย์ก็ประทับ อ๋องสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน
ขณะนั้น เจ้าวังศึกษากลางอากาศ หลังจากประสานมือคำนับก็ถอนสายตากลับมามองแท่นเต๋าของสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพ แล้วมองไปที่ผู้ร่ำเรียนหลายแสนคนเบื้องล่าง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ข้าไม่ได้มาเป็นประธานและพยานในเสวนาเต๋าของวังศึกษามานานแล้ว
“รู้สึกยินดียิ่งที่ตอนนี้ยังมีเสวนาเต๋าเกิดขึ้นในวังศึกษาเผ่ามนุษย์ของเรา
“เสวนาเต๋าแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน ได้แก่อภิปรายความชอบธรรมแห่งวิถีสวรรค์ อภิปรายความเสแสร้งในกมลสันดานมนุษย์ และอภิปรายวันรุ่ง
“ชัยชนะในท้ายที่สุด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสาย แต่ขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง”
เจ้าวังศึกษามองไปที่ผู้ร่ำเรียนบนพื้นดินพร้อมเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“พวกเจ้าทุกคนต่างก็มีความฉลาดและทางเลือกของตนเอง นับแต่นี้เป็นต้นไป ความเห็นชอบในใจของพวกเจ้าจะเป็นตัวกำหนดชัยชนะของการเสวนาเต๋า”
เมื่อสิ้นเสียง พริบตาต่อมา แท่นเต๋าของสายผสานเทพก็มีแสงพรายรุ้งน่าครั่นคร้ามพวยพุ่งขึ้นมา จากนั้นก็แทงทะลุท้องฟ้า แสงนี้เจิดจ้า ทำให้ท้องฟ้าครืนครัน แผ่พลังอำนาจสั่นสะเทือนทุกสารทิศ
แสงรุ้งนี้ มาจากจิตผู้ร่ำเรียนเบื้องล่าง
ทั้งขนาดและความสูงเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าหัวใจของผู้ร่ำเรียนในวังศึกษา ยอมรับสายผสานเทพเพียงใด
ในทางกลับกัน สายเซียนต่างวิถี…ก็มีแสงรุ้งพวยพุ่งขึ้นมา แต่เพียงสามจั้งเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองชัดเจนราวฟ้ากับเหว
เมื่อเห็นภาพนี้ ขั้วอำนาจภายนอกต่างนิ่งเงียบ
ภายในวังศึกษายิ่งส่งเสียงฮือฮา
สวี่ชิงขมวดคิ้วใต้หน้ากากเช่นกัน
เจ้าวังศึกษากลางอากาศก็ส่ายหัวเบาๆ แต่เสวนาเต๋ายังต้องดำเนินต่อไป เขาจึงพูดด้วยเสียงแหบพร่า ก้องกังวาน
“บัดนี้ อภิปรายความชอบธรรมวิถีสวรรค์
“สายต่างๆ ในเผ่ามนุษย์ของเรา ก่อนเสวนาเต๋า วิชาและแนวคิดของสายจำต้องได้รับการยอมรับจากวิถีสวรรค์ จึงจะมีคุณสมบัติในการอภิปราย
“ในบรรดาวิถีสวรรค์บรรพกาลเก้าสิบเก้าองค์ที่หลับใหล เผ่ามนุษย์ของเราไม่อาจรับรู้ได้ แต่ในบรรดาวิถีสวรรค์น้อยใหญ่นับแสน มีวิถีสวรรค์สามพันองค์ที่อำนวยพรให้แก่เราชาวเผ่ามนุษย์ในยามก่อตั้งลานพิธีเต๋าวังศึกษา จึงถูกจัดแสดงไว้ในที่แห่งนี้ เพื่อให้ได้สัมผัสถึงวิถีสวรรค์ทั้งสามพันองค์
“หากวิถีสวรรค์ไม่ยอมรับ เสวนาเต๋าก็ไม่ต้องดำเนินต่อไป ซึ่งหมายความว่าสายของพวกเจ้ายังต้องปรับปรุง
“ดังนั้นพวกเจ้าสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพจงเลือกเองว่าจะดำเนินการต่อไปหรือไม่”
เจ้าสายผสานเทพบนแท่นเต๋าสีดำ ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากใต้หน้ากาก
“ผู้ร่ำเรียนผสานเทพ”
เมื่อเขากล่าวออกมา ผู้ร่ำเรียนสายผสานเทพต่างก็แผ่กลิ่นอาย หลอมรวมพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นร่างเงาขนาดมหึมา
ร่างเงาสูงใหญ่น่าครั่นคร้ามมีสามหัวหกแขน ทั่วทั้งร่างประกอบจากสิ่งมีชีวิตประเภทเทพนับไม่ถ้วน ทว่าเป็นร่างเดียวกัน กลายเป็นกลิ่นอายไร้เทียมทาน
ทั่วสารทิศบิดเบี้ยว ฟ้าดินพร่าเลือน ราวกับเป็นเทพเจ้าตัวจริง
ยิ่งเมื่อเจ้าสายผสานเทพเงยหน้าขึ้น เงาขนาดใหญ่ก็กำมือขวาชกขึ้นไปบนฟ้าอย่างรุนแรง
ความว่างเปล่าแตกสลาย เสียงคำรามสะท้านสะเทือนทั้งชั้นฟ้าและผืนดิน เจ้าสายผสานเทพลุกขึ้น โค้งคำนับท้องฟ้า
“ขอวิถีสวรรค์โปรดตัดสิน”
ท้องฟ้าฉีกขาด ปรากฏรอยแยกเล็กใหญ่มากมาย รอยแยกเหล่านี้ค่อยๆ เปิดออก กลายเป็นดวงตาแผ่รังสีเย็นชา มองลงมายังร่างจำแลงของสายผสานเทพ
“ยอมรับ”
“ยอมรับ”
“ยอมรับ”
สุรเสียงแห่งสวรรค์ดังกึกก้องมาจากทุกทิศทาง
เพียงชั่วพริบตา ผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาส่วนใหญ่ต่างตื่นตะลึก ขั้วอำนาจต่างๆ ล้วนจดจ่อ แม้แต่เจ้าวังศึกษาเองยังพยักหน้าน้อยๆ ด้วยแววตาลุ่มลึก
“ในบรรดาวิถีสวรรค์สามพันองค์ มีวิถีสวรรค์สองพันหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดองค์ยอมรับ ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง!”
ขณะเดียวกัน แสงรุ้งบนแท่นเต๋าของสายผสานเทพก็พุ่งขึ้นอีกครั้งอย่างน่าตกใจ
เจ้าสายผสานเทพโค้งคำนับเจ้าวังศึกษา แล้วนั่งลง มองไปที่เจ้าสายเซียนต่างวิถี
เจ้าสายเซียนต่างวิถีเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เขาทำได้เพียงแข็งใจลุกขึ้น แผ่กลิ่นอายของตน คำนับไปทางท้องฟ้า
“ขอวิถีสวรรค์โปรดตัดสิน”
เขาเอ่ยถ้อยคำดังกล่าวอย่างไม่มั่นใจ
สวี่ชิงมองดูฉากนี้ท่ามกลางฝูงชนด้วยสายตาราบเรียบ เงยหน้ามองผืนฟ้า