ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 793 อุแว้!
บทที่ 793 อุแว้!
ท้องฟ้าเหนือวังศึกษาปรากฏรอยแยกดวงตาน้อยใหญ่กว่าสามพันรอย
ดวงตาเหล่านี้คือวิถีสวรรค์ที่ประทานพรแก่วังศึกษาตามดวงชะตาของเผ่ามนุษย์ตั้งแต่ช่วงก่อตั้ง
บัดนี้ จากกลิ่นอายของเจ้าสายเซียนต่างวิถีที่แผ่ออกมา เมื่อเขาเอ่ยปาก ไหมวิญญาณจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากร่าง ก่อตัวเป็นร่างฐานขนาดมหึมาบนท้องฟ้า
ร่างฐานนี้ถักทอด้วยไหมวิญญาณล้วนๆ สำแดงทุกรายละเอียดต่อหน้าวิถีสวรรค์ เพื่อให้วิถีสวรรค์ตัดสินความชอบธรรม
แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจหรือแรงกดดันก็ห่างไกลจากร่างที่ผู้ร่ำเรียนนับไม่ถ้วนจากสายผสานเทพประกอบสร้างขึ้นมา เทียบกันแล้วเห็นความต่างชั้นอย่างชัดเจน
ดวงตาในรอยแยกบนท้องฟ้าต่างเปล่งแสงเย็นชา และผลลัพธ์ไม่ได้เกินความคาดหมายของทุกคน ดวงตาวิถีสวรรค์ส่วนใหญ่ปิดลง เหลือเพียงยี่สิบกว่าดวงเท่านั้นที่ยังลืมตาอยู่
สุรเสียงแห่งหลักมหามรรคาเองก็ไม่อาจเทียบได้กับเสียงอันกึกก้องของสายผสานเทพก่อนหน้านี้
ผู้ร่ำเรียนที่อยู่รอบลานพิธีเต๋าต่างเฝ้ามองเหตุการณ์นี้ ฝ่ายที่สนับสนุนสายผสานเทพกระหยิ่มใจยิ่งขึ้น ส่วนฝ่ายที่มีสายสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อนกับสายเซียนต่างวิถีก็นึกทอดถอนใจ
ฝ่ายหนึ่งได้รับการยอมรับจากวิถีสวรรค์กว่าสองพันองค์ อีกฝ่ายหนึ่งได้รับเพียงยี่สิบกว่าองค์…
ด้อยกว่าอย่างชัดเจน
ขั้วอำนาจต่างๆ นอกวังศึกษาเองก็รู้สึกเช่นนั้น เสวนาเต๋าขั้นแรก สายเซียนต่างวิถีพ่ายแพ้ราบคาบ
เหล่าผู้ร่ำเรียนจากสายผสานเทพบนแท่นเต๋าสีดำต่างแสดงสีหน้าเย่อหยิ่ง เจ้าสายผสานเทพส่ายหน้า คล้ายจะหมดความสนใจไปไม่น้อย
การกระทำนี้เป็นการเยาะเย้ยและหักหาญน้ำใจเจ้าสายเซียนต่างวิถีอย่างยิ่ง
เขามองม่านฟ้า ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น ผลลัพธ์เช่นนี้อยู่ในการคาดหมายของเขา แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง ยังยากนักที่จะทำใจรับได้
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สายเซียนต่างวิถีร่วมเสวนาเต๋า เมื่อครั้งยุครุ่งเรืองในอดีต เสวนาเต๋าของสายเซียนต่างวิถีก็ได้รับการยอมรับจากวิถีสวรรค์มากกว่าสองพันองค์เช่นกัน
แต่ตอนนี้…เหลือเพียงยี่สิบกว่าองค์เท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่ยอมรับเซียนต่างวิถีอีกต่อไป
‘วิถีสวรรค์…ละทิ้งเซียนต่างวิถีแล้วหรือ…’
เจ้าสายเซียนต่างวิถีก้มหน้าลง ดูแก่หง่อมลงมากในชั่วพริบตา สายตาก็เปลี่ยนเป็นพร่ามัว แต่เขายังคงรักษาศักดิ์ศรี โค้งคำนับวิถีสวรรค์บนท้องฟ้า
เจ้าวังศึกษากลางเวหาก็ถอนหายใจเบาๆ เริ่มประกาศขั้นที่สองของเสวนาเต๋า
“ต่อไปคือ…”
แต่ในขณะนั้น สวี่ชิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบลานพิธีเต๋า มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขมวดคิ้วใต้หน้ากากเล็กน้อย
พริบตาต่อมา จู่ๆ ท้องฟ้าก็ครืนครัน สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง
เมฆหมอกก่อตัวหนาและสลายไปอย่างรวดเร็ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลิ่นอายโบราณรวมตัวกันจากความว่างเปล่า ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในห้วงอากาศของวังศึกษา แผ่ซ่านไปทั่วทิศทาง ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ได้อย่างชัดเจน
เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าวังศึกษาที่กำลังเอ่ยถ้อยคำหยุดชะงัก และเงยมองขึ้นไปบนฟ้าทันที ความตกตะลึงและเหลือเชื่อฉายชัดบนใบหน้า
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น องค์ชายสามและผู้ร่ำเรียนทุกคนในที่แห่งนี้ รวมถึงเจ้าสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความระส่ำระสาย
กระทั่งขั้วอำนาจต่างๆ นอกวังศึกษายังรู้สึกปั่นป่วน แม้แต่จักรพรรดิมนุษย์และอ๋องสวรรค์ทั้งสิบสามองค์ยังหน้าเปลี่ยนสี จักรพรรดิมนุษย์ยิ่งโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
ขณะที่ทุกคนจับจ้องอยู่นั้น กลิ่นอายโบราณยิ่งแผ่ออกมาจากความว่างเปล่ารุนแรงขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นอสุนีบาตน่าสะพรึงกลัว ปะทุรุนแรงกลางท้องฟ้าเหนือวังศึกษา
ยิ่งในระหว่างการปะทุนั้น ท้องฟ้าแยกออกจากกัน รอยแยกขนาดมหึมาลากผ่านทั่วทั้งชั้นฟ้าเหนือวังศึกษา ขอบเขตของมันกินพื้นที่กว้างกว่ารอยแยกอื่นๆ หลายเท่า
เมื่อเทียบกับมันแล้ว รอยแยกอื่นๆ ดูเล็กจ้อยลงไปถนัดตา
ไม่ช้านัก รอยแยกก็ขยายออก เผยให้เห็น…ดวงตาใหญ่ยักษ์ เป็นดวงตาที่มีเอกลักษณ์
ดวงตาดวงนี้เข้ามาแทนที่ท้องฟ้าเหนือวังศึกษา กลายเป็นดวงตาสวรรค์เพียงดวงเดียว
สีของมันมีสองสี สีม่วงเป็นม่านตา ล้อมรอบด้วยสีน้ำเงิน!
เสี้ยวขณะที่มันปรากฏขึ้น อำนาจสวรรค์พลันแผ่ขยาย ท้องฟ้าเหนือวังศึกษาสั่นสะเทือน รอยแยกสามพันรอยที่ปรากฏบนท้องฟ้าก่อนหน้านี้ต่างส่งเสียงครืนครัน ทันใดนั้นพวกมันก็ลืมตาขึ้นโดยพร้อมเพรียง ดวงตาแห่งวิถีสวรรค์หาได้ฉายแววเย็นชา หากแต่เป็นความเคารพ
ราวกับกำลังคารวะ
กลิ่นอายโบราณแผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้าในชั่วพริบตา
ผืนฟ้าและแผ่นดินเปลี่ยนสี ลมโหมกระหน่ำ พร้อมกับฟ้าแลบฟ้าร้อง
นั่นคือเสียงคำรามของโลกในยุคแรกเริ่ม กำลังระเบิดพลังที่ไม่อาจต้านทาน ผสมผสานกันกลายเป็นเสียงอื้ออึงไม่ได้ศัพท์
“อุแว้!”
เสียงนี้เหนือกว่าเสียงหลักมหามรรคาทั้งปวงก่อนหน้านี้ แทนที่ทุกสิ่งกลายเป็นหนึ่งเดียว แม้จะไม่ชัดเจน แต่สะกดใจทุกคนด้วยเจตนารมณ์ที่ชัดเจน
นั่นคือการยอมรับ!
“วิถีสวรรค์บรรพกาล!!”
ในใจเจ้าวังศึกษาส่งเสียงครืนครัน พลันอุทานเสียงหลง
องค์ชายสามยิ่งใจสั่นสะท้าน ผู้ร่ำเรียนทุกคนในที่แห่งนี้ก็เช่นกัน บนแท่นเต๋าของสายผสานเทพ ระดับสูงต่างหายใจถี่รัว แม้แต่เจ้าสายผสานเทพเวลานี้ยังดวงตาเปล่งประกาย
ภายนอกก็ไม่ต่างกัน จักรพรรดิมนุษย์และอ๋องสวรรค์ต่างก็รู้สึกโหมซัด
ความจริงแล้วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มีวิถีสวรรค์บรรพกาลเก้าสิบเก้าองค์ ทั้งหมดต่างหลับใหล แม้แต่วันที่จักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นขึ้นครองราชย์ วิถีสวรรค์บรรพกาลก็ไม่เคยปรากฏตัว
วันก่อตั้งวังศึกษาก็เช่นกัน
แต่ตอนนี้…แค่เสวนาเต๋า วิถีสวรรค์บรรพกาลกลับปรากฏตัวขึ้นยอมรับสายเซียนต่างวิถี!
บรรทัดฐานเช่นนี้ การปฏิบัติที่เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนสวรรค์เช่นนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกเหนือความคาดหมาย สั่นสะท้านอย่างยิ่ง
แม้แต่เจ้าสายเซียนต่างวิถีในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความงุนงง ตกตะลึงในยามแรกและมองดวงตาบรรพกาลบนฟากฟ้าอย่างเหม่อลอย เขาไม่คิดฝันเลยว่าวิถีสวรรค์บรรพกาลจะปรากฏตัวขึ้นในเสวนาเต๋าของสายเซียนต่างวิถี
มีเพียงสวี่ชิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนเท่านั้นที่มองไปยังดวงตาบนท้องฟ้า แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมองเห็นความพึงพอใจจากบิดาของตนหรือไม่ ดวงตาขนาดมหึมาบนท้องฟ้าจึงฉายแววสนิทสนมออกมา จากนั้นดวงตานั้นก็กวาดมองภายนอกโดยไม่รู้ว่ามองอะไร และสุดท้ายก็ค่อยๆ ปิดตาลงและหายไปจากท้องฟ้า
ไม่มีใครรู้ว่ามันกำลังมองสิ่งใด แต่สวี่ชิงเดาได้โอรสวิถีสวรรค์ กำลังมองหาบิดาอีกคน
ในเมืองหลวงจักรพรรดิขณะนี้ ณ สำนักย่อยยอดจักรพรรดิดาราที่เพิ่งถูกยกเค้าเมื่อไม่นานนี้ ลูกศิษย์รูปร่างหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกำลังกวาดพื้น คล้ายจะรู้สึกตัวจึงเงยหน้ามองไปทางวังศึกษา ใบหน้าฉายแววความภาคภูมิใจ
“เด็กดี เจ้ายังไม่ลืมว่ามีพ่ออีกคน”
วังศึกษาในเวลานี้พลันเงียบสงัด กระทั่งวิถีสวรรค์บรรพกาลจากไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงโกลาหลดังสนั่นหวั่นไหว เหล่าผู้ร่ำเรียนแตกตื่น แสดงความตกตะลึงและเหลือเชื่อในใจของตนผ่านคำพูด
“วิถีสวรรค์บรรพกาล…”
“สายเซียนต่างวิถีได้รับการยอมรับจากวิถีสวรรค์บรรพกาล!!”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าสัมผัสถึงวิถีสวรรค์บรรพกาล พลังกดดันนี้ อำนาจสวรรค์อันน่าสะพรึงนี้…”
เมื่อเทียบกับความโกลาหลของเหล่าผู้ร่ำเรียน เจ้าวังศึกษาและเหล่าผู้แข็งแกร่งของขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดินอกจากใจสั่นสะท้านแล้วยังเกิดคำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจพร้อมๆ กัน
‘ในวิถีสวรรค์บรรพกาลเก้าสิบเก้าองค์ ดูเหมือนจะไม่มีองค์ใดที่มีดวงตาสีน้ำเงินและม่านตาสีม่วงเลย…โดยเฉพาะเสียงนั่น เหตุใดจึงฟังดูเหมือนเด็กเช่นนั้น’
อย่างไรก็ดีกลิ่นอายวิถีสวรรค์บรรพกาลนั้นบริสุทธิ์มาก ไม่อาจปลอมแปลงได้ ดังนั้นคำถามนี้จึงถูกฝังกลบอยู่ในใจ
ฝั่งจักรพรรดิมนุษย์หรี่ตาลง ทอดพระเนตรไปยังวังศึกษา สายตากวาดผ่านผู้ร่ำเรียนทีละคน จนสุดท้ายไปหยุดอยู่ที่สวี่ชิง
ในขณะเดียวกัน ก็มีสายตาหนึ่งจ้องมองลงมาจากยอดหอเด็ดดารามาทางวังศึกษา ทอดสายตามองผืนฟ้า
สายตานี้มาจากราชครู
เขายืนอยู่บนยอดหอเด็ดดารา ปล่อยให้ลมพัดผ่านผมยาวสยาย พลางเอ่ยเสียงแผ่ว
“น้องชาย นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ”
ในวังศึกษา สวี่ชิงรู้สึกสงบใจ เขารู้ว่าตัวเองต้องถูกเปิดโปงแน่ แต่ไม่เป็นไร วันนี้เขาไม่อาจซ่อนตัวได้อีกต่อไป จึงเชิดหน้ามองไปยังองค์ชายเจ็ดบนแท่นเต๋าสีดำซึ่งมีสีหน้าสงสัยตรงนั้น
และในตอนนี้เอง แสงรุ้งบนแท่นเต๋าสายผสานเทพก็จางลงไปเล็กน้อย แม้จะยังคงเห็นเป็นสายรุ้ง แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ สีสันอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
ในทางกลับกัน แสงรุ้งฝั่งแท่นเต๋าของสายเซียนต่างวิถีพุ่งสูงจากสามจั้งเป็นร้อยจั้ง เนื่องจากได้รับการยอมรับจากวิถีสวรรค์บรรพกาล นี่คือการกลับมาของผู้ร่ำเรียนสายเซียนต่างวิถี และเป็นการตัดสินใจของผู้ร่ำเรียนใหม่อีกบางส่วน
เหตุการณ์นี้ ทำให้เสวนาเต๋าครั้งนี้ พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง
เจ้าสายเซียนต่างวิถียิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาฉายความมั่นใจที่ไม่เคยมีมาก่อน มองไปที่สายผสานเทพ
เจ้าสายผสานเทพเงียบขรึม ทว่าไม่นานก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่านเจ้าวังโปรดดำเนินการต่อ”
บนท้องฟ้า เจ้าวังศึกษาหลับตาอยู่นานก่อนจะลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววหนักแน่น ความสนใจในเสวนาเต๋าครั้งนี้เพิ่มขึ้นจากตอนแรกมาก
เขาก็อยากเห็นว่าเสวนาเต๋าครั้งนี้ สุดท้ายแล้ว…สายเซียนต่างวิถีกับสายผสานเทพ ใครจะเป็นฝ่ายชนะ
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ ทุกสายและผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาทุกคน ตลอดจนขั้วอำนาจภายนอกต่างก็มีความคิดเดียวกันในตอนนี้
เดิมทีแพ้ชนะเห็นกันอยู่ทนโท่ ทว่าตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
ดังนั้นเจ้าวังศึกษาจึงเปล่งเสียงต่ำทุ้มออกมา
“ขั้นตอนที่สองของเสวนาเต๋า คืออภิปรายความเสแสร้ง วิถีมีทั้งจริงและเท็จ มโนจิตของมนุษย์ย่อมแยกแยะได้
“ข้าจะเสนอหัวข้อสามหัวข้อ สายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพสามารถเลือกหัวข้อเหล่านี้มาอภิปรายวิถีของตนได้
“หัวข้อแรกคือ…เมื่อหนทางสู่เซียนขาดสะบั้น จะไปต่ออย่างไร”
เมื่อพูดจบ วังศึกษาก็เงียบลงอีกครั้ง สายตาต่างจับจ้องไปทางแท่นเต๋าของสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพ
เจ้าสายที่นั่งอยู่บนแท่นเต๋าของสายเซียนต่างวิถี บัดนี้ดวงตาสว่างวาบ เมื่อฟังจบก็เอ่ยปากดังลั่น
“สายเซียนต่างวิถีของข้าใช้ไหมวิญญาณถักทอร่างสิ่งที่มีชีวิตความเป็นเทพ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นวิญญาณเทพเจ้าในที่สุด ใช้วิญญาณนี้เป็นของบำรุง ใช้วิถีที่แตกต่างจุดไฟเทวะ แผดเผาวิญญาณเทพเจ้า เดินหน้าต่อไปยังหนทางเบื้องหน้า เส้นทางนี้เป็นเทพเจ้าได้เพียงชั่วนึกคิด เป็นเซียนได้เพียงชั่วคำนึง จึงได้ชื่อว่าเซียนต่างวิถี”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ก้องกังวานไปทั่ว เข้าไปในโสตประสาทของผู้ร่ำเรียนจำนวนมาก และผู้คนภายนอก
นี่คือแก่นแท้ของสายเซียนต่างวิถี และเป็นแนวคิดของสายเซียนต่างวิถี เคยได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมาย แต่เนื่องจากความเร็วในการฝึกฝนเชื่องช้า สุดท้ายจึงไม่มีทางเป็นจริง
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การปรากฏตัวของเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถี เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
แต่ก็เป็นเพราะเมล็ดพันธุ์วิถีเช่นกัน ที่ทำให้สายเซียนต่างวิถีตกอยู่ในอันตราย
ดังนั้นเจ้าสายผสานเทพบนแท่นเต๋าของสายผสานเทพจึงส่ายหน้าแล้วพูดอย่างสุขุม
“ศาสตร์ชั่วร้ายน้อยแสงดุจดั่งดวงดารา จะมาเทียบกับแสงจันทร์อันสว่างไสวได้อย่างไร”