ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 794 ถามระฆัง มิสู้ถามกระบี่
บทที่ 794 ถามระฆัง มิสู้ถามกระบี่
“แต่ฟ้าดินมีวิญญาณ สรรพสิ่งมีเทพ ในเมื่อเทพเจ้ามาเยือนเป็นเรื่องจริง หลอมรวมกับแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มาเป็นเวลาช้านาน กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มพลังของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เราควรปรับตัวตามสถานการณ์ มองฟ้าดินและสรรพสิ่งที่ถูกเทพเจ้าโจมตีเป็นวัตถุเทพ
“เช่นเดียวกับยาลูกกลอน ผสานวัตถุเทพนี้กับร่างกายตน แทนทุกตำแหน่งทั่วร่าง สร้างกายที่มีคุณสมบัติเทพ ร่างนี้ปรับไปตามยุคสมัย เหมาะกับสภาพแวดล้อม จากนี้ไอพลังประหลาดจะไม่ใช่พิษร้ายอีกต่อไป แต่เป็นตัวช่วยในการฝึกบำเพ็ญเหมือนไอวิญญาณ สายผสานเทพขอวข้าเรียกสิ่งนี้ว่าพลังงานเทพ
“ฝึกบำเพ็ญด้วยวิธีนี้ เผ่ามนุษย์เราจะต้องเกรียงไกรไร้ใดเปรียบแน่นอน ถึงตอนนั้นแม้วิถีเซียนจะถึงทางตัน เหตุใดยังต้องฝืนต่อไป เราได้เดินมาบนวิถีแห่งหลักมหามรรคาของเราแล้ว! แนวคิดและเป้าหมายของสายผสานเทพของข้าคือเผ่ามนุษย์ทุกคนเป็นเทพเจ้า”
เสียงเจ้าสายผสานเทพไม่ทรงพลัง แต่ความหมายแฝงกลับกลายเป็นพายุ ดังกึกก้องครั่นครืนในใจผู้ร่ำเรียนในวังศึกษา
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของเจ้าสายผสานเทพ ‘ทุกคนเป็นเทพเจ้า’ ทำให้ผู้ร่ำเรียนผสานเทพพากันฮึกเหิม เกิดการเห็นพ้องอย่างชัดเจน
นี่คือแก่นแท้ของสายผสานเทพ และก็เป็นสาเหตุที่สายผสานเทพยิ่งใหญ่เช่นนี้
ยามนี้เจ้าสายผสานเทพเป็นคนกล่าวออกมา น่าเชื่อถือเป็นที่สุด
“เหลวไหล!”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีหัวเราะเยาะ เสียงดังไปทั่วสารทิศ
“นับแต่โบราณ เผ่ามนุษย์เราเคยรุ่งโรจน์และเคยตกต่ำ เคยมีอารยธรรมงดงามและเคยประสบเคราะห์จนเกือบล่มสลาย แต่ไม่ว่าอย่างไร เรายืนหยัดเรื่อยมา เรายังคงเป็นเผ่ามนุษย์ คงไว้ซึ่งสายโลหิตสีแดงฉาน
“เจ้าพูดเองกับปากว่าทำเพื่อเผ่ามนุษย์ แต่เส้นทางที่เดินกลับละทิ้งร่างกายของเผ่ามนุษย์ ละทิ้งศักดิ์ศรีของเผ่ามนุษย์ สุดท้ายกลายเป็นตัวประหลาดหัวมังกุท้ายมังกร แทนที่จะบอกว่าทุกคนเป็นเทพ ไม่สู้บอกว่ากลายเป็นบริวารของเทพเจ้าเสียเลยเล่า
“วิธีนี้ของเจ้าคือวิธีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทุกคนเป็นเทพ ทุกคนไม่ใช่มนุษย์”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีไม่กลัวการโต้แย้งกับแนวคิดสายอื่นแม้แต่น้อย นี่เป็นความคิดของเขาอยู่แล้ว ยามนี้คำพูดยิ่งยกระดับสูงขึ้น เปี่ยมความน่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน ทำให้ผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาที่เป็นกลางเริ่มหวั่นไหว
กระทั่งสวี่ชิงยังมองเจ้าสายเซียนต่างวิถีหลายครั้ง เขานึกไม่ถึงว่าถ้อยคำของอีกฝ่ายจะเฉียบคมปานนี้
เจ้าสายผสานเทพไม่ได้เอ่ยปาก แต่มองไปทางองค์ชายเจ็ดที่ด้านข้าง
องค์ชายเจ็ดเลิกคิ้ว กล่าวออกมาราบเรียบ
“วิธีของสายเซียนต่างวิถีเจ้าโบราณเกินไป ยึดติดคร่ำครึ ทึ่มทื่อดื้อดึง กอดความรุ่งโรจน์ในอดีตไม่ยอมปล่อย ต่อต้านวิถีใหม่ๆ ทุกอย่าง มีอคติโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสายผสานเทพข้า แต่ความเป็นจริงผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาต่างรู้แจ้งแก่ใจ พวกเขาตัดสินได้ด้วยตัวเอง
“นี่คือเหตุผลที่ข้าเลือกสายผสานเทพ และก็เป็นเหตุผลที่ผู้ร่ำเรียนผสานเทพทุกคนเลือกสายผสานเทพ”
เมื่อเข้ากล่าวออกมา ผู้ร่ำเรียนสายผสานเทพในวังศึกษาต่างเห็นด้วย พวกเขาคือคนรุ่นใหม่ แม้จะให้ความเคารพวิถีโบราณกับขนบดั้งเดิม แต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงมากกว่า
ยามนี้กระทั่งผู้ร่ำเรียนคนอื่นที่เป็นกลางยังหดหู่ใจเล็กน้อย แต่ฐานะขององค์ชายเจ็ดทำให้คำพูดเขาเปี่ยมด้วยพลังอำนาจ เพียงชั่วขณะแสงสว่างของสายผสานเทพจึงเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง
เจ้าสายผสานเทพมองเจ้าสายเซียนต่างวิถี เอ่ยออกมาเรียบๆ
“เจ้าเห็นหรือไม่ นี่ก็คือสาเหตุที่สายเซียนต่างวิถีเจ้าตกต่ำ ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีถอนใจหายแผ่วเบา ได้แต่นิ่งเงียบ
หัวข้อแรกของการอภิปราย สายเซียนต่างวิถีไร้ซึ่งขอได้เปรียบใด
เนิ่นนาน เจ้าวังศึกษาที่อยู่กลางอากาศกล่าวหัวข้อที่สอง
“สิ่งใดคือวิถีแห่งเผ่า”
ครั้งนี้คนที่กล่าวก่อนคือฝั่งสายผสานเทพ คนพูดคือศิษย์ตัวแทนสาย
“แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ หมื่นเผ่าเรียงราย มีมากกว่าล้านล้านชีวิต เผ่ามนุษย์เราต้องมองภาพรวม มองทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ผสานวิถีหมื่นเผ่าเป็นวิถีของทั้งเผ่ามนุษย์เรา เอาจุดแข็งแต่ละเผ่ามาขัดเกลาตนเอง รับจุดแข็งทดจุดด้อย จะประสบผลสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา
“ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ไม่อาจจมอยู่แต่กับอดีต ในเมื่อต้องเปลี่ยน เช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนให้ถึงที่สุด เช่นนี้จึงจะสามารถรับช่วงบุกเบิกเส้นทางและสร้างสิ่งใหม่บนรากฐานเดิมได้อย่างแท้จริง
“แล้วทุกคนเป็นเทพเจ้าไม่ดีตรงไหน เราจะเป็นเผ่าอันดับหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เราโอบรับทุกสิ่ง เราหลอมรวมทุกอย่าง เมื่อถึงตอนนั้น เราเรียกตัวเองว่าเผ่าเทพได้ด้วยซ้ำ การรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เป็นปึกแผ่นอีกครั้งก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ และสิ่งที่เสี้ยวหน้าบนฟ้านำมาก็จะไม่ใช่ภัยพิบัติอีกต่อไป หากเป็นวาสนากรุณาธิคุณ!
“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ การมาเยือนของเสี้ยวหน้าเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง แต่เหตุใดจนบัดนี้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วนี่คือโอกาส หากเราคว้าไว้ เสี้ยวหน้าก็คืออาวุธของเรา”
คำพูดนี้ถ่ายทอดออกมา สั่นสะเทือนจิตใจเหล่าผู้ร่ำเรียนประหนึ่งสายฟ้าตัดผ่านฟ้าดิน
แต่ต้องบอกว่าแม้ผิดไปจากบรรทัดฐานเล็กน้อย แต่ถ้อยคำที่กล่าวนี้ก็ดูสมเหตุสมผลและเปี่ยมด้วยหลักการ ชั่วขณะหนึ่ง ผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาต่างตรึกตรอง
ขั้วอำนาจต่างๆ บ้างก็เหยียดหยาม บ้างก็ขบคิด
ด้านจักรพรรดิมนุษย์ จ้องมองสายผสานเทพ นัยน์ตาฉายแววลึกล้ำ
เจ้าสายผสานเทพเงยหน้าขึ้น สบตากับจักรพรรดิมนุษย์ที่ขอบฟ้า คล้ายคำพูดที่ออกจากปากศิษย์ตัวแทนสายผสานเทพโดยอาศัยเสวนาเต๋าครั้งนี้ สำหรับเจ้าสายผสานเทพ ผู้ฟังที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ร่ำเรียน ทั้งไม่ใช่สายเซียนต่างวิถี แต่เป็นคนที่สายตาจับจ้องอยู่ตอนนี้
สวี่ชิงเห็นดังนั้น คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
ส่วนเจ้าสายเซียนต่างวิถี ได้ยินแล้วหัวเราะด้วยโมโห
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าคิดว่าวิถีแห่งเผ่าเป็นแค่วิถีของเผ่าเดียวง่ายๆ เช่นนั้นรึ
“ไม่ใช่เลย!”
“วิถีแห่งเผ่าที่ว่าเกิดจากจิตวิญญาณของเผ่าหนึ่ง การสืบสานของเผ่าหนึ่ง แนวคิดของเผ่าหนึ่ง อารยธรรมและเจตจำนงของเผ่าหนึ่งหลอมรวมเข้าด้วยกัน”
พูดถึงตรงนี้ เจ้าสายเซียนต่างวิถีก็ยอมเสี่ยง เขาลุกขึ้นยกมือชี้จักรพรรดิมนุษย์ที่ขอบฟ้า สายตาอยู่ที่ตัวผู้ร่ำเรียนด้านล่าง ตะโกนลั่นด้วยโทสะ
“พวกเจ้าบอกข้าสิ เหตุใดเรียกจักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นว่าจักรพรรดิมนุษย์
“จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวในตอนนั้นเป็นจักรพรรดิของหมื่นเผ่า แต่แล้วเหตุใดสมัญญาของพระองค์ก็มีคำว่าจักรพรรดิมนุษย์เหมือนกัน
“เพราะเราคือเผ่ามนุษย์!
“ไม่ว่าในอดีตหรืออนาคต เราล้วนเป็นเผ่ามนุษย์ นี่คือจิตวิญญาณ นี่คือการสืบสาน นี่คือแนวคิด นี่คืออารยธรรม นี่คือเจตจำนง นี่คือการสืบทอดแต่เก่าก่อน
“แต่เสี้ยวหน้าบนฟ้านำความทุกข์ยากไร้ที่สิ้นสุดมาให้เราเผ่ามนุษย์ เป็นศัตรูชั่วชีวิตของเรา หากไปออมชอม จะไม่ผิดต่อชาวเผ่ามากมายที่ตายเพราะกลายพันธุ์ตลอดหลายปีเหล่านั้นได้อย่างไร
“นี่ไม่ใช่วิถีที่ถูกต้อง นี่มันผิดครรลองคลองธรรม!”
น้ำเสียงเขาเจือแววเจ็บแค้นสุดขีด เสียงดังลั่นในวังศึกษา ทำให้เกิดคลื่นในใจผู้ร่ำเรียน โดยเฉพาะสองคำถามเรื่องจักรพรรดิมนุษย์ยิ่งทำให้คนต้องตรึกตรองอย่างตั้งใจ
ทั้งวังศึกษาเงียบสงัดลงมาก
จักรพรรดิมนุษย์หลับตา
เจ้าสายผสานเทพขมวดคิ้วใต้หน้ากาก สายตาหยุดอยู่ที่เจ้าสายเซียนต่างวิถี เขารู้สึกถึงจุดที่รับมือยากของคนต่ำต้อยซึ่งเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาผู้นี้อีกครั้ง
เนิ่นนาน เจ้าวังศึกษาที่อยู่กลางอากาศกล่าวถึงหัวข้อที่สาม
“สิ่งใดคือครรลองคลองธรรม”
ครั้งนี้ฝั่งผสานเทพกำลังจะมีคนเอ่ยปาก แต่เจ้าสายผสานเทพยกมือขึ้น เขามองเจ้าสายเซียนต่างวิถีแล้วเอ่ยเสียงสงบนิ่ง
“ครรลองคลองธรรม คือวิถีดั้งเดิม และเป็นวิถีแห่งความเป็นธรรม
“สายผสานเทพข้าไม่ผิดต่อฟ้าดิน ไม่ผิดต่อเผ่ามนุษย์ แม้ผสานวัตถุเทพ แต่ปฏิบัติตามครรลองคลองธรรมอย่างเคร่งครัด แต่สายเซียนต่างวิถีเจ้าโหดเหี้ยมอำมหิต ทำร้ายเผ่าเดียวกัน ดูดวิญญาณฝึกบำเพ็ญ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน เผ่ามนุษย์ทุกประโยค จิตวิญญาณมนุษย์ทุกคำ ยามนี้ดูแล้วแสร้งจิตใจดีงามถึงที่สุด
“ครรลองคลองธรรม สายเซียนต่างวิถีไม่คู่ควร”
คำพูดเหล่านี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ยิ่งรวมกับเรื่องสายเซียนต่างวิถีก่อนหน้านี้ยิ่งกลายเป็นพลังทำลายล้างใหญ่หลวง ส่งผลให้คำที่เจ้าสายเซียนต่างวิถีชวนคนขบคิดก่อนหน้านี้อ่อนกำลังลงฉับพลัน
“คนไม่เที่ยงธรรม ถ้อยคำจะเป็นธรรมหรือ”
สุดท้าย เจ้าสายผสานเทพกล่าวราบเรียบ คำพูดนี้ทิ่มแทงใจ
ผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาพากันเงยหน้ามองไปทางเจ้าสายเซียนต่างวิถี ขั้วอำนาจภายนอกก็ต่างถอนหายใจไปตามๆ กัน
เรื่องเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีเลวร้ายเกินไป นี่ทำให้คำพูดของเจ้าสายผสานเทพกลายเป็นใบมีดคมกริบ
เจ้าสายเซียนต่างวิถีอ้าปาก แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เขาอยากโต้แย้ง แต่สุดท้ายทำได้แค่เงียบ เพราะต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจแก้ต่างให้เรื่องสังหารหมู่ที่เกิดจากเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีได้ ช่วงเวลาที่ถูกปิดผนึก ใจเขาก็สั่นคลอนเช่นกัน
และแม้เสวนาเต๋าครั้งนี้จะดำเนินมาเพียงสองหัวข้อ แต่มาถึงตอนนี้ ต่อให้สายเซียนต่างวิถีพูดอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรแล้ว
เจ้าวังศึกษาก็ทอดถอนใจ ยามนี้กวาดสายตาทั่วทิศ กำลังจะเอ่ยคำ แต่เสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากฝูงชนในยามนี้
“คนไม่เที่ยงธรรม ถ้อยคำย่อมไม่เป็นธรรม เหมือนวิธีผิดครรลองคลองธรรม สายนั้นย่อมไม่ชอบธรรม”
เสียงสวี่ชิงก้องสะท้อนทั่วทิศ เขาก้าวขึ้นไปกลางอากาศขณะที่ผู้ร่ำเรียนรอบด้านพากันให้ความสนใจและประหลาดใจ
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขาดึงดูดสายตาผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาทุกคนที่อยู่ที่นี่ แต่ละขั้วอำนาจภายนอกก็เช่นกัน จักรพรรดิมนุษย์ที่หลับตาพลันลืมตาขึ้น
จากการที่จิตเทพพุ่งเป้ามาและสายตาที่จับจ้อง สวี่ชิงเดินทีละก้าวท่ามกลางสายตาผู้คน ขึ้นมาบนแท่นเต๋าสายเซียนต่างวิถี กลายเป็นผู้บำเพ็ญสายเซียนต่างวิถีคนที่สองบนแท่นเต๋านี้
เจ้าสายเซียนต่างวิถีหายใจถี่รัว มองไปทางสวี่ชิงทันที ค่อนข้างงุนงงและไม่เข้าใจ เขาย่อมรู้จักศิษย์ตรงหน้าผู้นี้ แต่ก็เพราะรู้จัก ยามนี้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยจากร่างอีกฝ่ายจึงยิ่งรุนแรง
อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าศิษย์ที่ชื่อเสวียนเหลยจื่อจะเดินออกมากล่าวคำเช่นนั้นตอนนี้ ทั้งหมดทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
แต่สุดท้าย ความสับสนนี้กลายเป็นการคาดเดาและการคาดหวังอันเข้มข้น
ส่วนสวี่ชิงที่ยืนอยู่บนแท่นเต๋าสายเซียนต่างวิถี สายตาเรียบนิ่งของเขามองไปยังแท่นเต๋าสีดำของสายผสานเทพ กวาดสายตามองทุกคน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ร่างขององค์ชายเจ็ด
เจ้าสายผสานเทพนัยน์ตาพลันหดลงเล็กน้อย จ้องมองสวี่ชิง ความรู้สึกคุ้นเคยผุดขึ้นในใจ
ส่วนองค์ชายเจ็ดที่อยู่ไม่ไกล แม้ยามนี้จะไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยเช่นนั้น แต่วิกฤตอันตรายรุนแรงยากอธิบายปะทุขึ้น สะเทือนไปถึงจิตใจหลังจากสวี่ชิงกวาดสายตามอง
จนกระทั่งเสียงเย็นชาก้องสะท้อนจากปากสวี่ชิง
“เรื่องเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถี วันนี้ขอใช้สถานที่นี้ให้ผู้ร่ำเรียนทุกท่านรวมถึงฝ่าบาทโปรดเป็นพยาน”
สวี่ชิงกล่าวคำแช่มช้า ยกมือขวาบีบแผ่นหยกในมือเบาๆ
ทันใดนั้นแสงสว่างในแผ่นหยกสาดส่องออกมาเป็นทางๆ แสงสว่างเหล่านี้ตัดกันกลางอากาศ วาววามไปพร้อมร่างภาพฉากหนึ่งออกมา
ในภาพนี้เป็นห้องลับสำหรับฝึกบำเพ็ญแห่งหนึ่ง ในนั้นมีคนหนึ่งกำลังฝึกบำเพ็ญ
คนผู้นี้คือองค์ชายเจ็ด
รอบกายเขามีวิญญาณเผ่ามนุษย์จำนวนมากลอยขึ้นมา จำนวนไม่น้อยกว่าหลายล้านดวง
ในนั้นมีเด็กมีคนแก่ มีหญิงมีชาย ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา พวกเขากำลังร้องโหยหวน ร่ำไห้เจ็บปวด ขอให้ไว้ชีวิต แต่สีหน้าองค์ชายเจ็ดเฉยชา ไร้ซึ่งความสงสาร ขณะหายใจ ก็ดูดวิญญาณพี่น้องเผ่ามนุษย์เหล่านี้เข้าในปาก
ขณะเคี้ยวช้าๆ วิชาเวทสายผสานเทพก็แผ่ออกมาจากร่างกาย ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ทะลวงคอขวดในการผสานเทพ ให้กายตนผสานวัตถุเทพได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลง
เห็นได้ชัดว่าขั้นตอนนี้มีประโยชน์ต่อเขาอย่างยิ่ง สีหน้าเขาจึงมีความเบิกบานฉายออกมาด้วย
เทียบกับวิญญาณเผ่ามนุษย์ที่ร่ำไห้สิ้นหวังอยู่รอบด้าน ฉากนี้…น่าตกตะลึง ชวนให้คนเดือดดาล!
และของวิเศษอย่างแผ่นหยกนี้ไม่เพียงประทับเงาเอาไว้ กระทั่งลมปราณก็เก็บรักษาไว้ได้ รับการพิสูจน์ได้ทุกวิธี ด้วยเหตุนี้ความโหดร้ายของฉากนั้นจึงชัดเจนไร้ใดเปรียบ
ผู้ร่ำเรียนทั้งวังศึกษาต่างใจสะท้านสะเทือน แต่ละคนเส้นเลือดปรากฏในดวงตาฉับพลัน ความเดือดดาลพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆแผ่คลุม
ขั้วอำนาจภายนอกต่างฮือฮาทันใด แท้จริงแล้วเรื่องนี้…เป็นฝีมือขององค์ชาย
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายหนักกว่าเดิม
สีหน้าจักรพรรดิมนุษย์มืดครึ้มลงเช่นกัน ความเยียบเย็นแผ่จากร่างเขา ปกคลุมทั่วทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ ท้องฟ้าภายนอกพลันมืดหม่น สายฟ้าแต่ละทางครืนครัน
ด้านองค์ชายเจ็ดร่างกายสั่นสะท้าน แต่พยายามประคองสีหน้าให้เป็นดังเดิม ลุกขึ้นกล่าวเรียบๆ
“เสด็จพ่อ ภาพนี้เป็นของปลอม มีคนใส่ร้ายลูก!”
“ให้ลูกไปถามระฆังเซียนพิสูจน์ตนได้ ในภาพนี้ไม่ใช่ข้า!”
องค์ชายเจ็ดภายนอกสุขุม แต่ใจกำลังสั่นไหว แม้อยู่เขตปกครองผนึกสมุทรเขาเป็นอิสระอย่างไร แต่หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงจักรพรรดิอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิมนุษย์ ความกลัวและความตระหนกยังครอบครองทุกอณู
แต่ในเมื่อสวี่ชิงปรากฏตัวตอนนี้ ย่อมไม่มีทางให้เขามีโอกาสพลิกสถานการณ์ ดังนั้นขณะโบกมือ เงาร่างของผู้ร่ำเรียนที่ถูกเจ้าเงาอาศัยร่างพลันปรากฏออกมา
ชั่วขณะที่ปรากฏตัว ไม่รอเขาเอ่ยปาก สวี่ชิงยกมือตบหน้าผากเขา ฉับพลันภาพในความทรงจำคนผู้นี้ก่อรูปร่างกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งที่เกิดในบ้านวันนั้นปรากฏแก่สายตาทุกคนแล้ว
พายุโหมขึ้นอีกครั้ง
แววตาสวี่ชิงฉายประกายเยียบเย็น มองไปทางเจ้าสายผสานเทพที่จับจ้องตนท่ามกลางเสียงเลื่อนลั่นของพายุ
“ใครกันที่ทำร้ายเผ่าเดียวกัน
“ใครกันที่กลืนกินวิญญาณผู้คน
“ใครกันที่พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน”
เสียงสวี่ชิงทุ้มต่ำ สามประโยคสะเทือนฟ้าดิน
เจ้าสายเซียนต่างวิถีข้างหลังเขายามนี้ตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่เจ้าสายผสานเทพมองสวี่ชิงอย่างลึกล้ำผาดหนึ่งและนิ่งเงียบไป
ส่วนองค์ชายเจ็ด เขาจ้องสวี่ชิงเขม็ง ร่างพลันลอยขึ้นกลางอากาศ คุกเข่าไปทางจักรพรรดิมนุษย์ที่ขอบฟ้าแล้วกล่าวเสียงดัง
“เสด็จพ่อ ภาพนี้มีคนใส่ร้ายลูก เสด็จพ่อโปรดให้โอกาสลูกพิสูจน์ตัวเองด้วยการถามระฆังเซียน ลูกพิสูจน์ได้ทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ!”
ในภาพฉายเงาวังหลวงที่ขอบฟ้า จักรพรรดิมนุษย์มององค์ชายเจ็ดอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงต่ำ
“ได้”
เสียงของเขาคือพระราชโองการ คำของเขาล้วนเป็นตัวกำหนดเสมอมา แต่วันนี้…ไม่เหมือนที่ผ่านมา!
สวี่ชิงก้าวออกไปก้าวหนึ่ง เสียงก้องสะท้อน
“ไม่จำเป็น
“ถามระฆัง มิสู้ถามกระบี่!”
ขณะพูด สวี่ชิงยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า
“กระบี่จักรพรรดิ!”