ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 80 ราชรถสัมฤทธิ์
บทที่ 80 ราชรถสัมฤทธิ์
ดวงตะวันบนฟากฟ้าเปล่งแสงจ้าแยงตา สาดส่องมายังทะเลต้องห้ามที่ดื้อรั้น กระตุ้นมันให้โหมคลื่นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงคำรามต่ำเป็นระยะ
เสียงยังไม่ทันจางหาย คลื่นโถมกระแทก ก่อเกิดฟองคลื่นสีดำผืนใหญ่ กระเซ็นซ่านมาบนเกราะคุ้มกันเรือเวทของสวี่ชิง
สวี่ชิงยืนอยู่บนหัวเรือ มองไปทางมหาสมุทรอย่างระแวดระวัง ยกมือขึ้นประกบปาง น้ำทะเลที่แฝงไว้ด้วยไอพลังประหลาดเข้มข้นด้านบนก็ค่อยๆ สลายไปด้วยคลื่นพลังวิญญาณเกราะคุ้มกัน
เฉกเช่นเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้า ทะเลต้องห้ามที่ห้อมล้อมไปทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณแห่งนี้ เป็นเขตแดนที่ผู้คนล้วนสั่นเทาและกริ่งเกรงเสมอมา ไม่เพียงแต่เพราะมันกว้างใหญ่ ลึกเกินหยั่ง แต่ยังเป็นเพราะมันดูลึกลับไม่มีที่สิ้นสุดในใจของผู้คน
ความลึกลับนี้ สวี่ชิงเงยหน้าจ้องไปยังท้องฟ้ากับทะเลต้องห้ามที่ห่างไกล ปลายทางที่ยังไม่อาจทราบได้ของทั้งสองสิ่งนี้ เหมือนจะมาบรรจบอยู่ด้วยกันอย่างไรอย่างนั้นในสายตาเขา
และเมื่อเทียบกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ เรือที่ไปมาระหว่างเมืองเจ็ดเนตรโลหิต ก็เหมือนกับขนหลายเส้นที่กำลังล่องลอยแผ่วเบา ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
ส่วนเรื่องคนบนเรือเวท ก็เป็นเช่นเดียวกัน
สวี่ชิงนิ่งงัน เขามองไปยังความเวิ้งว้างที่ห่างไกล มองไปยังทะเลต้องห้ามที่ไร้จุดสิ้นสุด ความรู้สึกเล็กจ้อยผุดขึ้นในหัว
“บนโถงค้นคว้าท้องสมุทรกล่าวไว้ว่า ศิษย์ที่ออกทะเลครั้งแรกส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าตนเองเล็กจ้อย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาเป็นปกติ ขณะเดียวกันก็มักจะเกิดความคิดที่จะพิชิตมันขึ้นในสภาพเช่นนี้”
สวี่ชิงมองผืนทะเลสีดำที่ไร้ขอบเขต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกทะเล และเป็นครั้งแรกที่ได้มองมหาสมุทรบนมหาสมุทรอย่างแท้จริง
แต่เขาไม่เกิดความคิดที่จะเอาชนะเลย
เขาไม่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่อะไร และไม่มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ใดด้วย เพียงแค่อยากจะมีชีวิตรอดต่อไปในโลกาวินาศนี้เท่านั้น
ถ้าหากมีชีวิตที่สบายขึ้นสักหน่อยได้ก็จะดีขึ้นไปอีก
ดังนั้น ความระแวดระวังในใจสวี่ชิงเวลานี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น จึงนั่งลงขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญ แต่ก็ยังแบ่งความสนใจไประวังสิ่งรอบข้างอีกด้วย
เวลาก็ไหลผ่านไปท่ามกลางเสียงคลื่นดังก้องสะท้อนเช่นนี้ จนถึงช่วงกลางวัน ด้านหลังมีเสียงเอะอะดังแว่วเข้ามา ดึงความสนใจของสวี่ชิง
หันหน้ามองด้วยประกายแหลมคมในดวงตา
เป็นเรือเวทเจ็ดแปดลำที่แล่นเข้ามาใกล้จากทางท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิต ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง
นอกจากเรือลำที่อยู่ด้านหน้าสุด ส่วนใหญ่อยู่ในระดับห้าถึงหก
พิจารณาเรือเวทที่อยู่หน้าสุดลำนั้นจากคลื่นพลังวิญญาณแล้ว ก็น่าจะอยู่ที่ระดับแปดถึงเก้า มองแล้วดูหรูหรา สีทองทั้งลำ แปะไว้ด้วยขนนกสีทอง เปล่งประกายเจิดจ้าใต้แสงตะวัน จึงดูโดดเด่นเป็นพิเศษในทะเลต้องห้ามสีดำ เหมือนกับไก่ป่าที่อยากจะเลียนแบบนกยูงอย่างไรอย่างนั้น เผยความโอ้อวด ไร้รสนิยม
หัวเรือวิหคหงส์ที่แต่เดิมควรจะล่องลอยสง่างาม แต่กลับสูญเสียจิตวิญญาณไปด้วยสีทองกับความหรูหรานี้ เผยความโอ้อวดกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นออกมา
สวี่ชิงมองทั้งหมดนี้ หรี่ตาลง ดึงกริชออกมา
เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตถึงแม้จะอันตรายโหดร้าย แต่อย่างน้อยก็ยังมีกฎเกณฑ์อยู่ ยกตัวอย่างเช่นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ลงมือกับระดับรวมปราณมีน้อยมาก แต่สวี่ชิงก็รู้ว่าในท้องทะเล…มีแต่เรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กเท่านั้น
ไม่ว่าจะต่างเผ่าหรือเผ่ามนุษย์ จะอันตรายจากสำนักรวมไปถึงในทะเลต้องห้ามก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ถ้าหากโชคไม่ดี เจอกับผู้บำเพ็ญต่างเผ่าระดับสร้างฐานขึ้นไปที่มีจิตใจชั่วร้ายเข้าล่ะก็ จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับความคิดของอีกฝ่ายเท่านั้น
ไม่ว่าใคร ก็ล้วนสามารถกลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา
โดยเฉพาะการมาถึงของเรือเวทเหล่านี้โอ้อวดจนเกินไป และบนเรือวิหคหงส์ลำนั้นก็มีเสียงของคนที่เขาชิงชังเช่นกัน
ลมทะเลค่อนข้างแรง เสียงที่พัดมาจึงดังชัดเจน
“ศิษย์พี่หญิง คนมากมายล้วนสงสัยว่าเรือวิหคหงส์ของข้าลำนี้ใช้หินวิญญาณไปทั้งหมดเท่าไร แต่ปัญหานี้ข้าก็ไม่อยากจะตอบนัก เพราะคำตอบของข้าจะทำให้พวกเขารู้สึกพ่ายแพ้ ถึงอย่างไรท่านเองก็น่าจะสัมผัสได้ ตั้งแต่เล็กจนโต หินวิญญาณสำหรับคนอย่างพวกเราแล้วก็เป็นแค่ความกลัดกลุ้มที่ใช้ไม่หมดก็เท่านั้น”
“อันที่จริงก็แค่ธรรมดาๆ นั่นล่ะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร การจัดอันดับเรือเวทในสำนัก ต้องมาขอความเห็นจากข้าหลายครั้งหลายครา จะเอาเรือลำนี้ของข้าขึ้นไปอยู่ลำดับสิบเจ็ดเสียให้ได้ แต่ข้าก็ไม่ใส่ใจนัก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
“สำหรับข้า ข้าไม่สนว่าเรือวิหคหงส์ลำนี้จะใช้หินวิญญาณไปเท่าไร ที่ข้าสนใจคือมันแบกรับความฝันของข้าอยู่ ท่านดูสิ ความฝันของข้าก็เฉกเช่นนกหงส์ วันหนึ่งจะโบยบินไปบนฟากฟ้า
“ศิษย์พี่หญิง ข้าหวังว่าข้างกายขณะที่โบยบิน จะมีร่างเงาที่งดงามติดตามไปด้วยกัน ชมทิวทัศน์ด้วยกันกับข้า ไล่ตามความฝัน คอยบอกเล่าความกลัดกลุ้มแก่กันและกัน”
เสียงลมทะเลพัดมา เป็นเจ้าจงเหิงคนไม่ได้เรื่องจากปากของหัวหน้านี่เอง
เขายืนอยู่บนเรือวิหคหงส์สีทองลำนั้น ข้างกายยังมีหญิงสาวโฉมสะคราญในชุดนักพรตสีม่วงอ่อนคนหนึ่ง
หญิงสาวคนนี้อายุยี่สิบปี ใบหน้างดงามน่าตกตะลึง เรือนร่างสูงโปร่งสง่างาม ชายอาภรณ์สีม่วงประดุจดอกบุปผา
เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคำพูดของเจ้าจงเหิง คิ้วงามของนางขมวดเล็กน้อย ใบหน้างามมีแววเหลืออด
เวลานี้ลมทะเลพัดมา กระโปรงสีม่วงปะทะลมพัดสะบัด นางเหมือนจะสังเกตเห็นสวี่ชิงบนเรือเวทที่ห่างออกไป
วาฬกรองกินตัวหนึ่งแหวกผืนน้ำโผขึ้นกลางอากาศระหว่างเรือทั้งสองลำภายใต้แสงตะวัน
เสียงร้องต่ำเสียงหนึ่งราวกับมาจากโบราณกาลลอดก้องสะท้อนราวเสียงขลุ่ยมาจากปากของมัน เหมือนจะทำให้ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ฟองคลื่นลอยฟ่องตามแรงปะทะของมันกับผิวน้ำ บดบังสายตาจากตัวมันเอาไว้
ในดวงตาหญิงสาว แสงตะวันราวกับถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดสี แสงแพรวพราวปรากฏความงดงามจับตาขึ้นชั่วขณะหนึ่ง สะท้อนไปบนชุดนักพรตของสวี่ชิง มองเห็นใบหน้าไม่ชัด
แต่ความงามน่าเคลิบเคลิ้มนั้น กลับทำให้หญิงสาวจดจำได้ขึ้นใจ
จนกระทั่งเรือเวทของพวกเขาลอยห่างออกไปช้าๆ
สวี่ชิงจ้องเพ่งอยู่นาน เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาแค่ผ่านทางมา จึงเก็บกริชลงไป และฝึกบำเพ็ญต่อ
เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ระหว่างที่ฝึกบำเพ็ญนี้เอง ความทะมึนทึบกับความแปลกประหลาดของทะเลต้องห้าม ก็ค่อยๆ สะท้อนเข้ามาในการรับรู้ของสวี่ชิงจากการที่เรือเวทแล่นไปอย่างต่อเนื่อง
เขามองเห็นปลาเน่ากองรวมเป็นกลุ่ม กลายเป็นสิ่งปนเปื้อนสีดำ แผ่กระจายไปใต้ท้องเรือเวทเหมือนยังมีเจตจำนงตอนมีชีวิตอยู่
และเขายังเห็นร่างที่น่ากลัวของฉลามเขี้ยวยักษ์ แฝงความโหดร้ายในการฉีกทึ้งผู้ถูกล่า
นอกเหนือจากนี้ ตอนที่สวี่ชิงแล่นผ่าน เขาสัมผัสได้ว่าพื้นที่บางส่วนใต้น้ำมีพลังคุกคามจากท้องทะเล ราวกับแผ่ซ่านอวลอยู่ในอาณาเขตผืนนั้นออกมาตลอดเวลา และแผ่ซ่านอยู่ในความคิดของสวี่ชิง ทำให้เขายิ่งระแวดระวังมากขึ้น
แม้เขาจะเคยอ่านสถานการณ์นี้จากโถงค้นคว้าท้องสมุทรแล้ว รู้ว่านี่คือสภาวะปกติในการออกทะเล แต่ความรู้สึกตื่นตัวก็ยังคงแรงกล้าอยู่ดี
ส่วนไอพลังประหลาดในท้องทะเลต้องห้ามก็เข้มข้นมาก ราวกับว่ามหาสมุทรทั้งผืนแปรมาจากไอพลังประหลาด สิ่งนี้ทำให้เงาของสวี่ชิงยิ่งดำมืดราวกับกลายเป็นน้ำหมึกกว่าเดิม มีความรู้สึกเหมือนไหลออกมาจากตัวมันเองได้
หลังจากสังเกตเห็น สวี่ชิงก็ไม่รีรอ โคจรพลังสะกดของผลึกวารีสีม่วงทันที สะกดอยู่หลายครั้ง หลังจากจัดการให้เงาเริ่มจางลง เขาถึงหยุดมือ เบาใจขึ้นมาเล็กน้อย
และตะวันยามเย็นใกล้เข้ามา ค่ำคืนแรกในการออกทะเลของสวี่ชิง กำลังจะมาถึงเช่นนี้
หรืออาจเพราะทะเลผืนนี้อยู่ไม่ห่างจากเจ็ดเนตรโลหิต ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่พบกับอันตรายมากนักระหว่างเดินทางช่วงกลางวัน
มีเพียงในช่วงยามเย็นนี้ ผืนทะเลปรากฏปลากระบี่ที่พร้อมโจมตีส่วนหนึ่ง พวกมันกระโจนขึ้นเป็นฝูงจนกลายเป็นเส้นโค้งหลายเส้น จากนั้นก็ดำดิ่งลงไปในทะเล
ร่างกายสีเขียวของพวกมันเปล่งแสงขาวออกมาในแสงยามเย็น งดงามน่าประหลาด
บางทีน่าจะเพราะวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามติดตามมา ปลาดาบเหล่านี้จึงไม่เข้าใกล้สวี่ชิงมากนัก แต่บางครั้งก็มีบางตัวที่กระแทกเกราะคุ้มกันเรือเวท ส่งเสียงปึงปังและต่างถูกดีดกลับไปในทะเล
เห็นปลากระบี่กระแทกชั้นเกราะคุ้มกัน ทำให้สวี่ชิงสังเกตได้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยระยะที่ใกล้กัน
ปลาดาบเหล่านี้มีเขี้ยวแหลมมากมาย ดูดุร้ายมาก ดวงตาเปล่งประกายสีแดงโหดเหี้ยม
สวี่ชิงโบกมือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หยดน้ำหลายหยดก่อตัวขึ้น แทรกตัวออกไปนอกเกราะคุ้มกันแล้วพุ่งออกไปอย่างนุ่มนวล ทำให้ปลาดาบที่พุ่งเข้ามาไม่ถูกกระแทกจนตาย
โถงค้นคว้าท้องสมุทรเตือนศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดที่จะออกทะเลทั้งหมดว่าขณะสัญจรในทะเลต้องห้าม หากไม่จำเป็น ทางที่ดีอย่าสังหารอสูรทะเลมากเกินไป เพราะยิ่งสังหารเยอะ ก็จะยิ่งดึงดูดสายตาของตัวตนสิ่งประหลาดบางอย่างในทะเลต้องห้ามเข้า
ส่วนเรื่องตัวตนสิ่งประหลาดแบบใดนั้น ในโถงค้นคว้าท้องสมุทรไม่ได้บอกไว้ แต่คืนแรกที่ออกทะเล สวี่ชิงไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตลอดคืน จิตใจทั้งหมดของเขาล้วนจดจ่อยู่ด้านนอกเรือเวท ไม่ว่าจะลมพัดใบหญ้าแบบใด ก็ล้วนทำให้เขาระแวดระวังทั้งสิ้น
มหาสมุทรยามค่ำคืน ระดับความอันตรายของมันจากที่โถงค้นคว้าท้องสมุทรบรรยายไว้ ยังอันตรายกว่าช่วงกลางวันมากนัก
ในมหาสมุทรล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
เพราะทะเลต้องห้ามกว้างใหญ่ไพศาลมาก ถึงแม้โถงค้นคว้าท้องสมุทรจะเอ่ยถึงไปแล้ว ถึงแม้อันตรายจะมีอยู่รอบด้าน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่กับดวง บางคนดวงไม่ดี ฝังร่างลงทะเลไปตั้งคืนแรกก็มี บางคนดวงดี ออกทะเลไปเป็นเดือนก็ยังอยู่รอดปลอดภัย
สวี่ชิงถือว่าโชคดีไม่หยอก ภายนอกในคืนแรกนอกจากเสียงคลื่นและเสียงหวีดหวิวของลมทะเลแล้ว ก็ไม่มีเรื่องประหลาดใดๆ เกิดขึ้นเลย
กระทั่งช่วงที่รุ่งสางกำลังมาถึง เขาหลับตาลงเล็กน้อย เตรียมตัวจะผ่อนคลายจิตใจลงเสียหน่อย แต่ตอนนี้เอง จิตพรั่นพรึงที่รุนแรงถึงขีดสุดก็ครืนครันขึ้นฉับพลันในจิตใจเขาราวกับภูเขาไฟระเบิด
ร่างของสวี่ชิงเกร็งตัวกะทันหัน สองตาเบิกกว้าง เปิดเกราะคุ้มกันเรือเวทระดับสูงสุดในพริบตา
ดวงตาที่เบิกขึ้นของเขา พร้อมกันนั้นยังมีวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามที่อยู่ใต้เรือด้วย
ดวงตาของวาฬบรรพกาลเป็นส่วนที่เพิ่มขอบเขตประสาทสัมผัสของสวี่ชิง พริบตาที่ดวงตาเปิดขึ้น ใต้ท้องทะเลที่ดำมืดไม่มีอะไรเลย แต่มีเสียงเหมือนฟันบดกันดังแว่วเข้ามาเป็นระยะ
เคร้งๆ เคร้งๆ!
ความพรั่นพรึงที่รุนแรงระหว่างที่เสียงนี้สะท้อนก้องทำให้สวี่ชิงหายใจหอบถี่ ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนกับตอนที่ได้ยินเสียงเพลงในป่าพื้นที่ต้องห้ามเมื่อครั้งนั้น ราวกับว่าส่วนลึกใต้ท้องทะเลแผ่ซ่านมันขึ้นมาถึงผิวทะเล
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด ร่างทั้งร่างขึงเกร็ง โคจรพลังบำเพ็ญ เรือเวทอยู่ในสภาวะตั้งรับในพริบตา
จากนั้นสีหน้าที่ระแวดระวังของสวี่ชิง หยิบยืมสายตาของวาฬบรรพกาล และเขาก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ขนาดยักษ์ร่างหนึ่งในส่วนลึกของท้องทะเลดำมืด
สิ่งมีชีวิตนี้มีหนวดอยู่ทั่วร่าง โบกสะบัดอยู่ตลอดเวลา บนบ่าของเขาแบกโซ่เหล็กเส้นเขื่องเอาไว้เส้นหนึ่ง โซ่เหล็กทอดยาวไปยังส่วนลึกไกลๆ และปลายอีกข้างมองเห็นราชรถสัมฤทธิ์คันหนึ่ง
ราชรถสัมฤทธิ์ที่ผุพังนี้ ด้านบนมีสนิมเกาะอยู่เต็มไปหมด เปี่ยมไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา รูปแกะสลักประณีตงดงาม ทำให้มันยิ่งแผ่ซ่านความเป็นราชันย์ออกมา
คนยักษ์สาวเท้าก้าวใหญ่ลากราชรถสัมฤทธิ์ไปทีละก้าวใต้ท้องทะเล ราวกับว่ามันแค่เดินผ่านเขตทะเลผืนนี้ ทุกก้าวที่เหยียบย่าง มหาสมุทรก็พัดดินเลน จนเกิดคลื่นทะเลแผ่ซ่านออกไป
แต่เพราะอยู่ห่างกันมาก ดังนั้นสิ่งที่สวี่ชิงเห็นจึงเลือนรางริบหรี่ แต่ความรู้สึกพรั่นพรึงกับเสียงขบฟัน ต่อให้อยู่ห่างกันเพียงนี้ กลับยังสะท้อนก้องในจิตใจของสวี่ชิงอย่างแจ่มชัด ทำให้เขาสั่นสะท้านตามสัญชาตญาณ ม่านตาหรี่ลง ความระแวดระวังพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
จนกระทั่งสิ่งมีชีวิตรูปร่างคนยักษ์นี้ค่อยๆ ห่างไป อาการสั่นสะท้านจึงค่อยๆ ลดลง ความพรั่นพรึงเองก็ค่อยๆ สลายไป
“นั่นมันอะไร” สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นฉับพลัน สูดลมหายใจลึกด้วยสีหน้าซีดขาว เดินออกจากห้องเรือไปยืนที่หัวเรือ เขามองออกไปยังมหาสมุทรท่ามกลางแสงยามเช้า
ร่างยักษ์ใต้ทะเลนั้นห่างออกไปจากสายตาของวาฬบรรพกาลใต้ทะเลแล้ว เหลือไว้แต่โครงร่างที่เลือนราง
ตอนนี้เอง ความมืดก่อนรุ่งสางก็ค่อยๆ มลายหายไปจากฟ้าดิน ระหว่างฟ้าดินค่อยๆ มีแสงส่องสว่าง
เหมือนจุดคบเพลิง แผดเผาน้ำทะเลสีดำสนิท ยิ่งแผดเผาก็ยิ่งร้อนแรง แผ่ซ่านออกไปอย่างต่อเนื่อง จนก่อตัวเป็นชั้นเมฆบางเบาเนียนละเอียด
สุดท้ายท้องฟ้าทั้งผืนก็ถูกแผดเผา กลายเป็นแสงแดงไปทั้งผืน
นี่คือแสงแห่งรุ่งอรุณ