ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 802 จักรพรรดิมนุษย์ จงถ่างตาดู
สวี่ชิงหดม่านตาลงทันที แต่สีหน้าไม่มีอาการใด ร่างกายเข้าสู่สภาวะเทพเจ้าขั้นสามในชั่วพริบตา และยังมีสภาวะเทพเจ้าขั้นสี่ที่เสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งกะลังปะทุอยู่ภายในด้วย
เงานาฬิกาแดดเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน
ดวงตะวันบรรพกาลที่ห้อยอยู่บนตัวก็เปล่งแสงจ้าขึ้นมา พลานุภาพที่น่ากลัวโหมขึ้นฉับพลันอย่างน่าตกตะลึง
เวลานี้กระบี่จักรพรรดิบนฟากฟ้า กำลังประหัตประหารไปทางก้อนเนื้อสีดำที่กำลังจะจุติลงมาจากในรอยแยกของแผ่นดินเทวะ
มือใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากพลังจักรพรรดิมนุษย์ ก็กำลังพังทลายลงจากพลังเทพเจ้าในร่างทรงกลมสีดำนี้เช่นกัน
และแรงกดดันที่มาจากแผ่นดินเทวะ ก็แผ่ซ่านในมิติวังศึกษาชั่วพริบตา ทำให้ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ในนี้ แต่ละคนกระอักเลือดสด จิตใจครืนครัน ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
โอกาสที่ไป๋เซียวจัวเลือก พูดได้ว่าแม่นยำอย่างมาก ความเร็วเองก็รวดเร็วถึงที่สุด ปรากฏตัวด้านหน้าสวี่ชิง ราวกับเขาเทียนซานสะกดลงมา หนวดสัมผัสถูกพลังต่อสู้มหาขั้นเตรียมสู่เทวะเข้าสนับสนุน ประกอบกับความเป็นเทพที่น่ากลัวทั้งตัว ก่อตัวเป็นไม้ตายปิดฉาก
แต่ถึงแม้โอกาสจะแม่นยำ ความเร็วจะมากเพียงไหน ไม้ตายปิดฉากจะยิ่งใหญ่เพียงใด หากคิดจะสังหารสวี่ชิงที่นี่ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
จุดนี้จริงๆ แล้วไป๋เซียวจัวเองก็เข้าใจ ดังนั้นฉากที่ดูเหมือนจะเป็นไม้ตายนี้ อันที่จริงมีสาเหตุอื่นอยู่
เขาจะลองดู ว่าใครจะมาช่วยสวี่ชิง
จักรพรรดิที่กำลังต้านทานกับเจ้าแผ่นดินเทวะ ขณะเดียวกันจะแบ่งกำลังมาหนุน
หรือจะเป็นอย่างที่นายท่านเคยบอกไว้ ขั้วอำนาจฝ่ายที่สามที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิ หรืออาจจะเป็นตัวตนอื่น
สรุปแล้ว การโจมตีนี้ ไป๋เซียวจัวคิดว่าอย่างน้อยต้องดึงดูดอะไรออกมาได้บ้าง ให้นายท่านของตนเองมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
การตัดสินใจของไป๋เซียวจัวถูกต้อง ความจริงก็เป็นเช่นนี้จริง พริบตาที่ไป๋เซียวจัวเข้าประชิดสวี่ชิง ด้านนอกวังศึกษา บนดาวจักรพรรดิโบราณปรากฏใบหน้าของจักรพรรดิ ดวงตาเผยความดุดันขึ้นฉับพลัน
หอเลือนโลกีย์ ในแท่นบูชาของศาลบรรพบุรุษ ร่างของจิ้งจอกดินเปล่งแสงปีศาจประหลาดออกมา
ขณะเดียวกัน ในกลุ่มผู้ศึกษารอบๆ แท่นเสวนาเต๋าของวังศึกษา ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่อาจขยับตัวได้ภายใต้พลังของแผ่นดินเทวะ มีผู้ศึกษาคนหนึ่ง ดวงตาเผยประกายเย็นชา กำลังก้าวเดิน
แต่มีขั้วอำนาจฝ่ายหนึ่ง ที่ตอนนี้ระดับความสนใจต่อความเป็นความตายของสวี่ชิงพุ่งขึ้นจุดสูงสุดมากเกินกว่าใคร พวกเขาไม่ว่าอย่างไร ก็จะไม่ยอมให้สวี่ชิงต้องถูกคนอื่นสังหารไปเช่นนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงลงมือ รวดเร็วกว่าใครทั้งหมด
พริบตาที่ไป๋เซียวจัวเข้าใกล้สวี่ชิง เสียงคำรามหนึ่งก็ดังก้องทั้งแปดทิศในวังศึกษา ราวกับเสียงอัสนีคำราม
“สะกด!”
“ถดถอย!”
“ทลาย!”
“อ่อนแอ!”
“แข็งแกร่ง!”
“รวดเร็ว!”
“ไม่ดับสูญ!”
แปดอักษร แต่ละอักษรรุนแรงกว่าอัสนีสวรรค์ แฝงไว้ด้วยมหามรรคา เฉกเช่นเดียวกับเสียงแห่งวิถีสวรรค์ กฎเกณฑ์ภายใน ถูกขับเคลื่อนถึงขีดสุด กลายเป็นกฎเกณฑ์ลั่นตามวาจาในระดับชั้นสูงสุด
พออักษรสะกดออกไป ต่อให้ไป๋เซียวจัวที่มีพลังต่อสู้มหาขั้นเตรียมสู่เทวะ ก็ยังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ถูกฝืนสะกดไว้ และตอนที่อักษรถดถอยส่งเข้ามา ก็ทำให้ร่างกายเขาถอยออกไปก้าวหนึ่ง
จนถึงการสะท้อนก้องของอักษรทลาย ทั่วร่างไป๋เซียวจัวลั่นครืนครัน เกิดการพังทลายขึ้นมา
แต่ความเป็นเทพของเขา ก็ระเบิดขึ้นในตอนนี้ แม้ร่างของตนเองจะถูกผลกระทบ แต่พลังที่ก่อตัวขึ้นก็แปรเป็นนิ้วมายานิ้วหนึ่งตรงหน้าเขา ยังคงกดไปทางสวี่ชิง ทุกจุดที่แล่นผ่าน ความว่างเปล่าสิ้นสูญ สรรพสิ่งพังทลาย ปณิธานทำลายล้างแรงกล้า
แต่ก็แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ถูกอักษรอ่อนแอทำให้ลดลงอย่างรวดเร็ว พลานุภาพหายไปกว่าครึ่ง
จากนั้นจึงเป็นอักษรแข็งแกร่ง มีบทบาทบนร่างของสวี่ชิง แปรเป็นชุดเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ช่วยต้านทานพลังนิ้วนั้นของไป๋เซียวจัว
เสียงครืนครันสะท้อนก้อง ชุดเกราะพังทลาย ขณะที่รับบาดเจ็บแทนสวี่ชิง อักษรรวดเร็วก็เข้าสนับสนุน ทำให้ความเร็วการถอยหลังของสวี่ชิงระเบิดออกไปพันจั้งในชั่วอึดใจ
โดยเฉพาะอักษรไม่ดับสูญท้ายสุด พลังของมันแฝงไว้ด้วยความเป็นเทพ นำมาจากปณิธานไม่ดับสูญแห่งเทพเจ้า ปกคลุมทั่วร่างสวี่ชิง ก่อตัวเป็นประกายแสงสีทอง แปรเป็นใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นด้านหน้าเขา เข้ารับพลังที่เหลือท้ายสุดของนิ้วไป๋เซียวจัว
มองไกลๆ นิ้วที่แปรมาจากไป๋เซียวจัว หลังจากทำลายสรรพสิ่งจนสิ้นสูญ สุดท้ายก็ถูกใบหน้าเคร่งขรึมนั้นใช้หน้าผากอัดกระแทกอย่างแรงเข้าด้วยกัน
ชั่วพริบตา ใบหน้าพังทลาย ในนั้นมีเสียงโอดครวญนับพันส่งลอดออกมา แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่านิ้วของไป๋เซียวจัวก็พุ่งต่อไปไม่ได้แล้ว สลายหายไปเช่นกัน
กลางอากาศ สวี่ชิงยืนอยู่ที่นั่น ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย…
ฉากนี้ ทำให้ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนเกิดความรู้สึกเกินคาดที่รุนแรงขึ้นมา ที่เกินคาดไม่ใช่เรื่องที่สวี่ชิงไม่เป็นอะไร แต่เป็นฝ่ายที่ลงมือนั้น…
“สวี่ชิง เป็นบุตรเทวะของลัทธิข้า”
เสียงที่อ่อนโยนนุ่มนวล ดังลอดเข้ามาจากความว่างเปล่าตรงหน้าสวี่ชิง พริบตาต่อมาความว่างเปล่าผืนนั้นก็ถูกฉีกออกเป็นรอยแยกหนึ่ง มองลอดผ่านรอยแยกเข้าไปจะเห็นว่าที่นั่นเป็นแท่นบูชาแห่งหนึ่ง
แท่นบูชานี้ เหมือนอยู่ในถ้ำสวรรค์ ด้านบนของถ้ำมองเห็นท้องฟ้ารวมถึงเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนม่านฟ้าสูง และแท่นบูชาก็ใหญ่โต มีทั้งหมดเก้าสิบเก้าขั้น บนจุดสูงสุดมีผู้บำเพ็ญชุดคลุมสีดำคนหนึ่งยืนอยู่
บันไดด้านล่างตัวเขา ทุกชั้นล้วนมีคนชุดดำยืนอยู่จำนวนมาก กระทั่งในถ้ำชั้นล่างสุด ยังมองเห็นคนชุดดำที่มากกว่านั่งขัดสมาธิอยู่ด้วย
ด้านในมีคนนับพัน บนพื้นตรงหน้ามีเลือดสด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้ารับพลังนิ้วนั้นของไปเซียวจัวแทนสวี่ชิง
แล้วตอนที่ประโยคนั้นดังก้องขึ้นมา คนชุดดำที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแท่นบูชา ก็ก้าวไปด้านหน้า ข้ามรอยแยกความว่างเปล่าที่ปรากฏขึ้นในวังศึกษา เดินมาถึงในวังศึกษา ยืนอยู่ด้านหน้าสวี่ชิง
จังหวะที่ปรากฏตัว พลังมหาขั้นเตรียมสู่เทวะระเบิดออกมาบนตัวเขาประดุจสายรุ้ง สามารถกลืนกินภูเขาแม่น้ำได้ ขณะเดียวกันกลิ่นอายเสี้ยวหน้าเทพเจ้าวูบหนึ่ง ก็แผ่ออกมาบนตัวของเขา
และการมาถึงของคนผู้นี้ ก็ทำให้ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ สีหน้าออกอาการ
“ปุโรหิตใหญ่แห่งสัจจะวาจา”
คนที่ลงมือช่วยสวี่ชิง คือสัจจะวาจา!
ฉากนี้ ทำเอาไป๋เซียวจัวทางนั้นขมวดคิ้ว ที่เขาอยากจะตกขึ้นมาไม่ใช่กลุ่มที่เหมือนเดินเส้นทางเดียวกับเขา แต่ความเป็นจริงคือคนบ้าที่ค่านิยมและหลักการแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกลุ่มนี้
จักรพรรดิมนุษย์ในภาพสะท้อนวังจักรพรรดิที่เส้นขอบฟ้า สายตาเองก็เกร็งเขม็งขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาสามารถลงมือได้ แต่กลับเลือกที่จะมองดู เพราะเขาเองก็อยากจะเห็น ว่าจะมีใครที่เข้ามาช่วย
ดังนั้นตอนนี้ ในใจเขาจึงคล้ายคลึงกับไป๋เซียวจัว รู้สึกเกินคาด
ขณะที่ต่างฝ่ายกำลังตกตะลึง ปุโรหิตใหญ่สัจจะวาจาคนนี้ที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าสวี่ชิงก็เงยหน้าขึ้น ในชุดคลุมสีดำ มองไม่เห็นใบหน้า มองเห็นเพียงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง จ้องเขม็งยังไป๋เซียวจัว
“บุตรเทวะ จะแตะต้องมิได้!”
พูดจบ คนชุดคลุมดำนี้ก็หันหน้ามามองสวี่ชิง ประกายแดงในดวงตาแผ่ซ่านความละโมบออกมา มีเสียงกลืนน้ำลายลอดออกมาจากในปากคนผู้นี้
“บุตรเทวะ ข้าน้อยมาช้าเกินไป ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”
“ถ้าหากบาดเจ็บล่ะก็ จะส่งผลกระทบกับรสชาติ คงได้มีกลิ่นอายอื่นติดเข้ามาด้วย จะไม่อร่อยเอา”
พูดจบ เสียงกลืนน้ำลายเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น และเสียงทำนองเดียวกัน ก็ดังลอดออกมาจากปากของคนชุดดำนับไม่ถ้วนที่แท่นบูชาในรอยแยกในตอนนี้ด้วย
แต่ละคนล้วนเงยหน้าขึ้น จ้องมองสวี่ชิงผ่านรอยแยกอย่างละโมบ
คำสอนของสัจจะวาจา คือตามหาคนที่ไม่ตายภายใต้เสี้ยวหน้าเทพเจ้า พวกเขาคิดว่านี่คือผู้ได้รับความเมตตาจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้า คนเช่นนี้คือบุตรเทวะแห่งสัจจะวาจา
ถ้ากินบุตรเทวะลงไป พวกเขาก็จะเข้าใกล้เทพเจ้าขึ้นไปอีก
นับตั้งแต่โบราณ พวกเขาล้วนทำเช่นนี้มาตลอด ที่กินลงไปมากที่สุดคือผู้ที่ไม่ตายภายใต้การลืมตาหนึ่งครั้งของเสี้ยวหน้าเทพเจ้า ส่วนผู้บำเพ็ญที่ไม่ตายในการลืมตาสองครั้ง สัจจะวาจาของที่อื่นเคยลือกันว่ามีคนกินไปแล้ว แต่เหล่าสาวกเผ่ามนุษย์ทางนี้พวกเขายังไม่เคยได้กิน
สวี่ชิงสีหน้าปั้นยาก เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าที่ปรากฏตัวออกมาจะเป็นสัจจะวาจา และคำพูดของอีกฝ่าย ก็ทำให้เขาตระหนักขึ้นได้ทันที ว่าที่ตนเองสืบย้อนด้วยวิชาเทพเจ้าในวันนั้น แม้จะตรวจสอบพบสัจจะวาจา แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายสืบค้นตนเองเจอเช่นกัน
ดังนั้นจึงมีคนบ้ากลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้น
และตอนนี้ ในแผ่นดินเทวะบนฟากฟ้า ก้อนเนื้อสีดำส่งเสียงคำรามต่ำออกมา ภายใต้การคุกคามของกระบี่จักรพรรดิ องค์ท่านไม่ได้ฝืนบุกเข้ามา เหมือนการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ทั้งหมด เป็นเพียงแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น
ตอนนี้คำตอบการหยั่งเชิงออกมาแล้ว องค์ท่านจึงเลือกถอยกลับ
รอยแยกของแผ่นดินเทวะไม่กว้างขึ้นอีก ค่อยๆ หดเล็กลง ค่อยๆ เลือนรางจางหาย
ส่วนไป๋เซียวจัว พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่อยู่ในความคิดของตนเอง เขาจึงเงยหน้าขึ้น มองตรงไปทางจักรพรรดิมนุษย์ที่เส้นขอบฟ้า
จักรพรรดิมนุษย์เองก็กำลังมองเขา สายตาเรียบสงบ ราวกับกำลังบอกอีกฝ่ายว่า เขายังคงดูการแสดงอยู่
จังหวะที่สายตาของทั้งสองฝ่ายประสานกัน สมองของไป๋เซียวจัวก็ไม่รู้ทำไม จึงปรากฏคำพูดที่สวี่ชิงพูดกับเขาที่เขตปกครองผนึกสมุทรเมื่อครั้งนั้นขึ้นมา
“เจ้าไม่คู่ควรติดตามองค์รัชทายาทม่วงคราม”
ไป๋เซียวจัวหลับตาลง
“ที่เขาพูดออกมาอันที่จริงก็ถูกต้อง เพราะว่าข้า…ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง”
ตอนที่ลืมขึ้นอีกครั้ง กลิ่นอายทั้งตัวของไป๋เซียวจัว ความกร้านโลกลดลงไปบางส่วน แต่มีความมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาบางส่วน สองตาของเขาเองก็เปลี่ยนเป็นสุกใส ยกมือไปยังหัวใจที่หน้าอกตนเอง ฟาดลงไปอย่างรุนแรง
ภายใต้การฟาดนี้ หัวใจที่มาจากแผ่นดินเทวะของเขาด้วยนั้น ระเบิดไปในชั่วพริบตา ขณะที่เสียงครืนครันอย่างรุนแรง พลังต้นกำเนิดเทพที่แฝงอยู่ภายในทั้งหมด ก็ระเบิดออกพร้อมกัน
ไม่เหลือไว้เลยแม้แต่น้อย
ร่างกายของเขา เวลานี้เริ่มเผาไหม้ขึ้นอย่างรุนแรง
ราวกับเป็นแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ นำความเจิดจ้าสุดท้ายของชีวิต สำแดงออกมาระหว่างฟ้าดิน
การระเบิดนี้ การเผาไหม้นี้ สิ่งที่นำมาให้เขาคือจุดสุดยอดชั่วพริบตา กลิ่นอายบนตัวเขาทั้งหมดระเบิดออกฉับพลัน พลังไอพลังประหลาดแผ่ซ่านออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด สัมผัสแห่งเทพเจ้ายิ่งรุนแรงมากขึ้น
ท้องฟ้าเหนือหัวภายใต้ผลกระทบจากไอพลังประหลาด เลือนรางไปในพริบตา ขมุกขมัวไปทั้งผืน ปรากฏดอกไม้เปลวเพลิงขึ้นมา
และดอกไม้ที่เกิดขึ้นจากเปลวเพลิงนั่นก็คือ…ดอกลิขิตฟ้า!
แรกสุดเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง เพียงไม่นานก็กลายเป็นสองดอก สามดอก…ในชั่วพริบตา ท้องฟ้าทั้งวังศึกษา ก็เบ่งบานไปด้วยดอกลิขิตฟ้า มองแล้วราวกับเป็นภาพวาดขนาดยักษ์ภาพหนึ่ง กางแผ่ออกมาระหว่างฟ้าดิน
ไร้ที่สิ้นสุด มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนก่อตัวขึ้นจากเปลวเพลิงสีทอง ราวกับผ้าไหมถักทออย่างงดงาม
และไฟบนดอกไม้พอสาดลงมาบนพื้นดิน ก็มีดอกไม้เปลวเพลิงแบบเดียวกันเบ่งบาน แต่ไม่ใช่ดอกลิขิตฟ้า ทว่ากลายเป็นดอกพลับพลึงแดง[1]
เป็นสีแดง
ไร้ขอบเขตที่สิ้นสุด…สายลมอ่อนพัดผ่าน ทะเลดอกพลับพลึงแดงไหวเป็นระลอกชั้น ราวกับมีดีดบรรเลงพิณโบราณ
ด้านบนคืออายุขัยสวรรค์ ด้านล่างชีวิตและความตาย ก่อตัวขึ้นเป็นทะเลดอกไม้เพลิงสีแดงทอง เบ่งบานออกไปไม่หยุด ระเบิดออกไปต่อเนื่อง สิ่งนี้คือดอกไม้ไฟ!
การกลายเป็นเทพ มีพิธีกรรมที่แตกต่างกัน เวลานี้สิ่งที่ปรากฏในวังศึกษาคือหนึ่งในนั้น
เมื่อเปลวไฟเหล่านี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ก็เท่ากับจุดไฟเทวะขึ้นมาแล้ว!
และไป๋เซียวจัวที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน เวลานี้ร่างกายก็เลือนราง ในสายตาของคนทั่วไป ทุกครั้งที่กระพริบตา สภาวะก็แตกต่างกันออกไป
พลังต่อสู้ของเขา ก็ยิ่งน่าตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ในทะเลดอกไม้ฟ้าดินนี้ ทว่าน่าเสียดาย การจุดไฟเทวะไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จได้ง่ายๆ มันมีความยากมหาศาล
บุตรเทวะพระจันทร์สีชาดล้มเหลว ไปเซียวจัวทางนี้…สำแดงขึ้นมาอย่างฉุกละหุก หากคิดจะทำให้สำเร็จ ความเป็นไปได้แทบไม่มีเลย
จุดนี้ ชายขอบทะเลดอกไม้ฟ้าดิน เริ่มปรากฏการมอดดับของดอกไม้เพลิงขึ้นแล้ว มองออกอย่างชัดเจน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ไปเซียวจัวในตอนนี้ พลังต่อสู้ของเขาไปถึงจุดสูงสุดในชีวิตเขาแล้ว
และฉากนี้ ก็ทำให้คนที่จับจ้องทั้งหมด จิตใจปั่นป่วน
สองตาของจักรพรรดิมนุษย์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการสะท้อนของดอกไม้เพลิงหรือไม่ จึงปรากฏประกายเจิดจ้าออกมา
และในประกายเจิดจ้านี้ เสียงของไป๋เซียวจัวก็ราวกับเป็นเสียงพึมพำแห่งเทพเจ้า ดังก้องไปทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ
“ฟ้าดินเป็นเตา สรรพชีวิตเป็นถ่าน เปลวเพลิงแดงทอง เผาไหม้การกำเนิดเทพ จักรพรรดิมนุษย์ จงถ่างตาดู”
พริบตาที่เสียงลอดออกมา ไป๋เซียวจัวก็เคลื่อนไหวแล้ว ม้วนเอาดอกลิขิตฟ้าบนท้องฟ้า ม้วนเอาดอกพลับพลึงแดงบนพื้นดิน ม้วนเอาเปลวไฟสีทองและสีแดง ก่อตัวขึ้นเองดาวหางเผาไหม้สายหนึ่ง พุ่งหวีดหวิวไปทางจักรพรรดิมนุษย์!
เมฆดำเก้าชั้นฟ้ารอบๆ หลั่งทะลัก ลิขิตฟ้าพลับพลึงแดงเบ่งบานพร้อมกับ เปลวเพลิงสีทองและแดงระอุไปทั้งแปดทิศ แสงเรืองรองหมื่นลี้ส่องสะท้อน
[1] 彼岸花 ดอกพลับพลึงแดง ชื่อญี่ปุ่นคือฮิกันบานะ เชื่อกันว่าเป็นดอกไม้ที่ยมบาลปลูกไว้ตามทางเพื่อนำทางวิญญาณ เป็นสิ่งที่เชื่อมระหว่างชีวิตและความตาย (彼岸)