ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 81 ราคายุติธรรม
บทที่ 81 ราคายุติธรรม
แสงอรุณส่องมหาสมุทร สว่างเจิดจ้าไปทุกหนแห่ง และสาดส่องลงมาบนตัวสวี่ชิงที่เคร่งขรึมอีกด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงถอนหายใจยาว ตัวตนที่น่ากลัวใต้ทะเลตนนั้น หลังจากฟ้าที่สว่างก็หายไปจากสายตาเขาอย่างหมดจด
สวี่ชิงไม่รู้ว่ายักษ์ตนนั้นคืออะไร และยิ่งไม่รู้ว่าราชรถสัมฤทธิ์เป็นขบวนรถของใคร โถงค้นคว้าท้องสมุทรเองก็ไม่ได้เอ่ยถึง และเมื่อครู่นี้เขาก็เห็นยักษ์ตนนั้นไกลๆ เพียงผาดเดียวเท่านั้นก็สัมผัสถึงพลานุภาพที่แข็งแกร่งได้แล้ว นึกภาพออกเลยว่าตัวตนขนาดยักษ์ใต้ท้องทะเลนี้จะต้องน่าพรั่นพรึงแน่นอน
และสามารถใช้ตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาลากรถได้ สวี่ชิงนึกภาพไม่ออกเลยว่าเจ้าของราชรถสัมฤทธิ์นั่น จะเคยเป็นความรุ่งโรจน์เช่นไรกัน
ยังดีที่ยักษ์ตนนี้เหมือนจะไม่มีเจตนาร้าย หรืออาจบอกได้ว่าระดับของสวี่ชิงไม่มีทางก่อเจตนาไม่ดีขึ้นมาได้ในสายตาของตัวตนเช่นนั้น
“ทะเลต้องห้าม…” สวี่ชิงพึมพำ ดวงตาเผยความระแวดระวังออกมามากล้น
เขาตระหนักและได้สัมผัสถึงความอันตรายที่มีอยู่ทุกหนแห่งของทะเลต้องห้ามผืนนี้ด้วยตนเองแล้ว ดังนั้นระหว่างเดินเรือหลังจากนี้ เขาก็จะระมัดระวังให้มากขึ้น และจะเดินทางตามแผนที่ทะเล ไม่ให้เบี่ยงเอียงออกนอกเส้นทางแม้แต่น้อย
ผ่านไปหลายวัน
ในหลายวันนี้สวี่ชิงไม่พบกับใครเลย แต่กลับยิ่งคุ้นเคยกับทะเลต้องห้ามขึ้นเรื่อยๆ พบกับอสูรทะเลมามากขึ้น และลงมือไปแล้วหลายครั้ง
ทุกครั้งที่ลงมือ เขาก็ได้รับชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตในทะเลต้องห้ามมาบ้างเล็กน้อย ในส่วนนี้วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามของเขามีคุณประโยชน์อย่างมาก และการได้ลงมือหลายครั้งก็ทำให้สวี่ชิงคุ้นเคยการต่อสู้ในท้องทะเลมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนตัวตนที่น่ากลัวอย่างมนุษย์ยักษ์นั่น สวี่ชิงก็ไม่เจออีกเลย
กระทั่งถึงวันนี้ แสงตะวันช่วงกลางวันร้อนระอุ ลมทะเลพัดอากาศร้อนจัดเข้ามา สวี่ชิงที่สิ้นสุดการฝึกบำเพ็ญลืมตาขึ้น มองผ่านเกราะคุ้มกันออกไปลิบๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เป้าหมายของเขาคือเกาะกิ้งก่าทะเลที่อยู่ด้านหลังหมู่เกาะปะการังตะวันตก เขายังต้องใช้เวลาอีกเจ็ดวันจึงจะถึงที่หมายตามการนำทางของแผนที่ทะเล
ส่วนพื้นที่ที่เขาอยู่ตอนนี้ คือเส้นทางไปยังหมู่เกาะปะการังตะวันตกที่ค่อนข้างปลอดภัยเส้นทางหนึ่งตามที่บันทึกอยู่ในแผนที่ทะเลแต่เดิม แต่จากการแล่นเข้าใกล้ในเวลานี้ สวี่ชิงก็เริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว
เขตทะเลด้านหน้าเขา มีเถาวัลย์มากมายยื่นออกมาบนผิวน้ำทะเล ยิ่งเข้าใกล้เถาวัลย์ก็ยิ่งมากขึ้น ตรงปลายทางเหมือนจะมีเรือบางส่วนถูกพันรัดเอาไว้
แต่ระยะห่างค่อนข้างมากจึงมองไม่ชัด
ส่วนชายขอบของเขตทะเลผืนนี้ เถาวัลย์กลับค่อนข้างน้อย
เหมือนว่าก่อนหน้านี้ถูกอะไรบางอย่างดึงดูดจึงโผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล เวลานี้กำลังหดตัวกลับไปช้าๆ ราวกับอีกไม่นานก็จะดำดิ่งลงไปอีกครั้ง
แต่การมาเยือนของเรือสวี่ชิง ก็ทำให้เถาวัลย์ที่กำลังดำดิ่งเหล่านี้เหมือนได้พบเป้าหมายใหม่ จึงเข้าประชิดเรือของสวี่ชิงอย่างรวดเร็วแบบเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ทั้งหมดนี้ทำให้การระแวดระวังของสวี่ชิงสูงขึ้น เขาใช้สองมือประกบปางขณะยืนที่หัวเรือ ควบคุมเรือเวทให้ถอยหลัง คิดจะเลี่ยงเถาวัลย์ที่เข้าใกล้มาเหล่านั้น
แต่ความเร็วของเถาวัลย์ก็เร็วมาก แม้สวี่ชิงจะยังไม่ได้เข้าไปและไม่ทันได้เลี่ยงออกมา แต่เถาวัลย์ที่แผ่เข้ามาเหล่านั้นก็ยังเลื้อยเข้าพันตัวเรือไว้
สีของเถาวัลย์เหล่านี้ดำสนิท ขนาดใหญ่เท่าท่อนแขน ทั้งยังมีหนามแหลมงอกออกมา ดูดุร้ายยิ่ง และสิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือพลังดึงดูดบางอย่างที่แฝงอยู่ในหนามแหลมเหล่านั้น ทำให้การเรือเวทสูญเสียพลังถึงขั้นเลวร้ายในพริบตาจากการพันรัด
ยังดีที่จำนวนเถาวัลย์ไม่มากนัก การพันรัดในตอนนี้จึงไม่ส่งผลกับความเร็วของเรือเวท แต่สวี่ชิงยังสังเกตเห็นตอนที่สูญเสียพลังไปถึงระดับหนึ่งเหมือนกับว่าพลังวิญญาณถูกดูดออกไปอย่างชัดเจน
ในดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกายเย็น มือขวาพอยกโบกก็ปรากฏกริช จังหวะที่ร่างกายกระโจนขึ้น เถาวัลย์เหล่านั้นก็ทยอยถูกตัดขาดพร้อมกับแสงเย็นวาบ ประกอบกับแรงขับเคลื่อนของเรือเวทที่ฉุดดึงอยู่ จึงค่อยๆ หลุดพ้นออกมาจากอาณาเขตนี้
กระทั่งห่างออกมา สวี่ชิงมองไปยังพื้นที่ทะเลที่ห่างออกไป จากนั้นจึงก้มลงมองกระดานเรือ
ตรงนั้นมีเถาวัลย์ที่ถูกเขาตัดขาดหลายเส้น ลำต้นบิดงอราวกับงูทะเล ที่รอยตัดยังมีของเหลวสีเขียวที่มีพลังกัดกร่อนรุนแรงไหลออกมา หยดลงบนกระดานจนส่งเสียงชี่ๆ
สีหน้าสวี่ชิงขณะมองสิ่งเหล่านี้เริ่มดูไม่ได้ การตัดเถาวัลย์เมื่อครู่ เขาสัมผัสได้ถึงความเหนียวแน่นทนทานอย่างมาก ต้องใช้พลังกายทั้งหมดจึงตัดขาดได้
หลังจากครุ่นคิด มือขวาสวี่ชิงประกบปางขึ้นฉับพลัน ลวดลายค่ายกลใต้เท้าเขาก็เปล่งกระกายขึ้น เผยจุดศูนย์กลางของค่ายกลรวมวิญญาณออกมาทันที
สวี่ชิงกวาดตามอง พบว่าหินวิญญาณบนนั้นมีสามก้อนเหมือนจะจางหม่นลง เหมือนถูกดูดพลังจนหมดเกลี้ยงในพริบตา
“ดูดพลังวิญญาณไปจริงๆ ด้วย” สวี่ชิงปวดใจ
โถงค้นคว้าท้องสมุทรมีบันทึกเกี่ยวกับเถาวัลย์มากมายนับร้อยชนิด ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะส่วนใหญ่ก็คล้ายคลึงกัน ดังนั้นสวี่ชิงจึงแยกประเภทของมันอย่างมั่นใจในคราแรกได้ยาก
โดยเฉพาะในเขตทะเลผืนนี้ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ทะเลของสำนัก หรือว่าแผนที่ทะเลที่เขาได้รับมาจากเด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็ล้วนไม่ได้ทำสัญลักษณ์เถาวัลย์เอาไว้เลย
“เดิมทีไม่มี เช่นนั้นก็น่าจะเป็นเถาวัลย์ที่เคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง เถาวัลย์ประเภทนี้ที่ชื่นชอบพลังวิญญาณ ก็มีเพียงเถาวัลย์กลืนวิญญาณเท่านั้น” สวี่ชิงย้อนนึกถึงเนื้อหาในโถงค้นคว้าท้องสมุทรพลางขมวดคิ้วเอ่ยเสียงต่ำ
“เถาวัลย์กลืนวิญญาณ ชอบพลังวิญญาณ วิชาเวททำลายไม่ได้ มีเพียงแรงกายเท่านั้นที่จะตัดขาด สามารถกลืนกินพลังเรือเวท วิญญาณของผู้บำเพ็ญได้ ถ้าหากถูกพันรัดจนตายสภาพจะน่าเวทนาอย่างมาก สิ่งนี้สัมผัสไวกับไอพลังประหลาด ร่อนเร่อยู่ในทะเลต้องห้าม สถานที่ที่อยู่มักเป็นสถานที่ที่ไอพลังประหลาดค่อนข้างเบาบาง”
สวี่ชิงครุ่นคิด เงยหน้ามองออกไป
นี่คือเส้นทางที่ตรงไปยังหมู่เกาะปะการังตะวันตกที่ใกล้ที่สุด ถ้าหากอ้อมล่ะก็ ต้องใช้เวลามากขึ้น
ยิ่งเขาไม่รู้ขอบเขตที่แน่นอนของเถาวัลย์กอนี้แล้วด้วย แต่จากที่โถงค้นคว้าท้องทะเลบันทึกเอาไว้ เถาวัลย์กลืนวิญญาณนี้เวลาปรากฏตัวมักจะลอยมาเป็นกลุ่ม ขอบเขตค่อนข้างกว้างขวาง
“ถ้าอ้อมก็จะใช้เวลานานเกินไป แต่ก็หาใช่เรื่องสุดวิสัยที่ต้องเลี่ยง และเถาวัลย์กลืนวิญญาณก็ใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้เลย”
สวี่ชิงคิดๆ หรี่ตาลง มือขวาลูบลงไปบนถุงเก็บของ พริบตาในมือก็ปรากฏยาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่ง
ยาลูกกลอนนี้ ก็คือลูกกลอนดำที่มีไอพลังประหลาดเข้มข้นนั่นเอง
เวลานี้สวี่ชิงหยิบลูกกลอนดำออกมา ยืนอยู่ที่หัวเรือ ควบคุมเรือเวทให้ไปทางพื้นที่ของเถาวัลย์ แล้วเข้าประชิดอีกครั้ง
และผิวทะเลก็ตีเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เถาวัลย์จำนวนมากโผล่พ้นผิวน้ำเข้ามาทางเรือเวทสวี่ชิงอย่างรวดเร็วด้วยความตะกละตะกลามยิ่ง
แต่พริบตาที่พวกมันเข้ามาใกล้ สวี่ชิงก็โยนลูกกลอนดำในมือเหล่านั้นไปในท้องทะเลด้วยด้วยสีหน้าเฉยเมย เมื่อลูกกลอนดำละลายในทะเล ไอพลังประหลาดก็เข้มข้นขึ้นมาฉับพลัน
เพียงพริบตาเถาวัลย์ที่แผ่ซ่านเข้ามารอบทิศก็แข็งทื่อพร้อมกัน หดตัวกลับเบี่ยงออกห่างราวกับเจอสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดอย่างไรอย่างนั้น จนทำให้เรือเวทของสวี่ชิงแล่นต่อไปได้อย่างไร้อุปสรรค
สวี่ชิงสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ควบคุมเรือเวทเดินหน้าเต็มกำลัง แม้จุดที่แล่นผ่านจะเป็นพื้นที่ของเถาวัลย์ แต่จากการที่เขาโยนลูกกลอนดำลงไปทีละเม็ดๆ เถาวัลย์ที่พันรัดเข้ามาทั้งหมดก็ล้วนถูกพลังรุนแรงขับไล่ พากันถอยหนีไป
เรือเวทของสวี่ชิงจึงแล่นไปด้านหน้าตลอดทางเช่นนี้ และด้วยเขาโยนลูกกลอนดำไปมาก ทำให้รอบเรือของเขาจึงแผ่ซ่านไปด้วยไอพลังประหลาดเข้มข้น จนทำให้ไม่ต้องโยนลูกกลอนดำอีกต่อไปแล้ว เถาวัลย์ที่อยู่รอบด้านก็ล้วนหลีกหนีห่างด้วยสัญชาตญาณ
ดังนั้น ระหว่างที่ตรงไปด้านหน้า เรือเวทของสวี่ชิงจึงเข้าใกล้กับเรือที่ถูกเถาวัลย์พันไว้มากขึ้นเรื่อยๆ ลมทะเลก็ส่งเสียงคนผ่านมา
แม้จะแว่วๆ แต่เมื่อเป็นผู้บำเพ็ญย่อมได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายได้แจ่มชัด
“เจ้าจงเหิง เจ้านำทางอะไรของเจ้าเนี่ย!!”
“ศิษย์พี่หญิงติงใจเย็นก่อน…พื้นที่นี้ก่อนหน้าไม่มีเถาวัลย์อยู่ จะต้องเคลื่อนที่กันมาภายในไม่กี่วันนี้แน่ ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน แต่ข้าก็ขอความช่วยเหลือจากท่านปู่แล้ว อีกไม่นานคงมีคนมาพาพวกเราออกไป…”
คนที่พูดก็คือเจ้าจงเหิง เรือวิหคหงส์ของลำนั้นเวลานี้ถูกพันรัดเอาไว้ที่นี่อย่างสิ้นเชิง เรือของเขาจึงเคลื่อนที่ไปด้านหน้าได้อย่างยากลำบากด้วยการรัดพันของเถาวัลย์จำนวนมาก
ตอนที่แล่นอย่างเชื่องช้า คนติดตามที่มาด้วยกันรอบๆ ลำเรือก็ล้วนถูกพันรัดเอาไว้ทั้งสิ้น แต่ละคนสีหน้าร้อนรน แต่กลับไร้หนทางแก้ปัญหา ทำได้เพียงตัดเถาวัลย์ออกอย่างสุดกำลังเท่านั้น
เจ้าจงเหิงเองก็กลัดกลุ้ม เถาวัลย์ในพื้นที่นี้เหนือความคาดหมายของเขาไปจริงๆ ขณะที่คิดจะควบคุมเรือวิหคหงส์ทะลวงออกไปอย่างสุดกำลังเวลานี้ เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของศิษย์พี่หญิงก็ทำได้เพียงขอขมาสำนึกผิด ด้านหนึ่งคือเขากำลังไล่จีบอีกฝ่าย อีกด้านหนึ่งคือเบื้องหลังของศิษย์พี่หญิงติงนั้นไม่ธรรมดา
ดังนั้นเขาจึงรีบล้วงกล่องหยกใบหนึ่งออกมายื่นให้
“ศิษย์พี่หญิงติงอย่าเพิ่งโกรธเลย เชื่อข้าสิว่าจะไม่มีปัญหา ข้าจะต้องพาท่านไปยังหมู่เกาะปะการังตะวันตกได้แน่ ลูกกลอนใสกระจ่างเม็ดนี้เป็นยาชุบเลี้ยงจิตวิญญาณที่หาได้ยากมาก มูลค่าไม่ธรรมดา ท่านปู่มอบไว้ให้ข้า ข้ามอบให้ท่านเป็นการขอขมาก็แล้วกัน”
สาวงามในชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนความอดทนจะถูกบั่นทอนไปพอควรแล้ว เวลานี้ขมวดคิ้วงาม มองกล่องหยกในมือของเจ้าจงเหิง หลังจากรับไปก็ฝืนสงบตนเองเล็กน้อย ขณะกำลังจะพูดอะไร
ห่างออกไปตอนนั้นเองมีเสียงหวีดหวิวของเรือเวท นางมองไปตามสัญชาตญาณ เมื่อเหลือบตาไปก็เห็นเรือเวทลำหนึ่งลิบๆ กำลังแหวกคลื่นฝ่าลมเข้ามาอย่างรวดเร็ว
บนเรือเวทเหมือนมีคนผู้หนึ่งยืนสบายๆ ชุดนักพรตสีเทาทั้งร่างโบกสะบัดตามลม ขณะที่ผมยาวปลิวสยายแสงตะวันก็สาดลอดร่องผมจนกลายเป็นแสงงามวับจับตา
และใต้แสงนั้น เป็นใบหน้าที่ทำให้เพศตรงข้ามใจสั่นไหวได้ ใบหน้าเย็นชาที่ไร้ตำหนิ กระทั่งเถาวัลย์เองก็ยังถูกเขาสั่นไหว ราวกับกลายเป็นผักกระเฉดที่เหนียมอายม้วนหดกลับเพราะความหล่อเหลาของคนผู้นี้
ฉากนี้ทำให้ในดวงตาหญิงสาวเปล่งประกายวูบไหว บนใบหน้ามีรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ตะโกนไปทางสวี่ชิง
“ศิษย์น้องคนนั้นน่ะ เจ้าใช้วิธีใดถึงทำให้เถาวัลย์หลบเลี่ยงหรือ ช่วยพวกเราหน่อยได้หรือไม่”
รอยยิ้มนางหวานหยด เสียงก็หวานชื่น ทั้งตัวราวกับกลายเป็นลูกกวาด ทำให้เจ้าจงเหิงด้านข้างที่มองเห็นสวี่ชิงเช่นกันไม่สบายใจอย่างมาก
เขาเอาใจใส่มาตลอดทางนับครั้งไม่ถ้วนยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายยิ้มหวานและพูดจากเช่นนี้เลย
ความไม่สบายใจนี้ ทำให้สีหน้าเจ้าจงเหิงไม่ปลื้มนัก ในใจเกิดความอริศัตรู มองไปทางสวี่ชิง
พอเหลือบมองไป เขาก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตา พริบตาต่อมาก็จำได้ทันที
“เป็นเจ้าหรือ!” เจ้าจงเหิงจำสวี่ชิงได้ หากเป็นคนอื่นบางทีเขาคงจะลืมไปนานแล้ว แต่ว่าใบหน้าของสวี่ชิงน้อยคนนักที่เห็นแล้วจะลืมลง
และหลังจากที่จำสวี่ชิงได้ เจ้าจงเหิงก็สัมผัสได้ว่าคลื่นพลังวิญญาณของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าที่พบเจอเมื่อครั้งที่แล้วมาก แต่สำหรับเขาในฐานะศิษย์หลัก ความสูงส่งของฐานะ สามารถทำให้เขามองข้ามศิษย์ล่างภูเขาส่วนใหญ่ได้
ดังนั้นหลังจากเจ้าจงเหิงกวาดตาไปก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“เจ้ามานี่หน่อย ใช้วิธีการของเจ้าเปิดทางให้ข้าที”
สำหรับศิษย์ชุดนักพรตสีเทาด้านล่างภูเขาในวันปกติ เขาล้วนสามหาวเช่นนี้ ตอนนี้เองก็เช่นกัน จากที่เขารู้ พวกชุดนักพรตสีเทาด้านล่างภูเขาพอเห็นตนเอง ก็ล้วนเคารพเชื่อฟังคำสั่งกันทั้งสิ้น
ก่อนหน้าสวี่ชิงก็สังเกตเห็นเรือวิหคหงส์ที่อยู่ไม่ห่างนักลำนี้แล้ว และมองเห็นศิษย์หลักกับชุดนักพรตสีม่วงอ่อนทั้งสองคนด้านบนด้วยเช่นกัน ทว่าตอนนี้เขาไม่ใส่ใจ เรือเวทที่อยู่ใต้เท้าไม่ลดความเร็ว หวีดหวิวผ่านพวกเขาไป
“หืม เจ้าหูหนวกหรือ ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไร!” เจ้าจงเหิงสีหน้ามืดมน โบกหยดน้ำผืนใหญ่กลายเป็นกระบี่น้ำตรงหน้าเขา พุ่งตรงเข้าหาเรือเวทของสวี่ชิง
แต่พริบตาที่เข้าใกล้ ม่านน้ำผืนหนึ่งก็โผล่ออกมากลางอากาศสกัดเอาไว้
กระบี่น้ำพังทลายลงท่ามกลางเสียงครืนครัน
เรือเวทใต้เท้าสวี่ชิงหยุดลงกะทันหัน เขาหันหลังกลับไปมองเจ้าจงเหิงที่ลงมือกับตนเองอย่างเย็นชา ในมหาสมุทรที่ห่างออกไปมีคลื่นตีเกลียว ผืนทะเลจู่ๆ ก็ระเบิดออก วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามขนาดยักษ์ตัวหนึ่งทะยานขึ้นเผยตัวออกมาครึ่งหนึ่ง ส่องแสงระยิบระยับใต้แสงตะวัน
มันส่งเสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตวิญญาณเสียงหนึ่งออกมา จากนั้นก็ฟาดลงไปบนทะเลแล้วดำลงไปอีกครั้ง แต่พลังอันบ้าคลั่งกลับแผ่ซ่านออกมาในเวลานี้
ฉากนี้ทำให้เจ้าจงเหิงหน้าถอดสี พวกผู้ติดตามข้างๆ เหล่านั้น ก็ล้วนถลึงตาโต ในใจเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมขึ้น และศิษย์พี่หญิงคนนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีในพริบตาเช่นกัน
“วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม!”
เจ้าจงเหิงสูดลมหายใจลึก ตอนมองไปยังสวี่ชิงสีหน้าก็เผยความไม่อยากเชื่อ แม้เขาจะเป็นศิษย์หลัก มีสถานะที่สามารถบดขยี้ศิษย์ด้านล่างภูเขาได้ แต่…นั่นไม่ใช่ความเด็ดขาด
ในกลุ่มศิษย์ที่อยู่ด้านล่างภูเขา ถ้าหากสามารถฝึกบำเพ็ญวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามออกมาได้ตอนคัมภีร์แปรสมุทรถึงขั้นแปด ก็จะกลายเป็นตัวแทนของคุณสมบัติที่น่าตกตะลึง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะขึ้นไปจนถึงสร้างฐานในอนาคต
บุคคลเช่นนี้ ต่อให้เป็นศิษย์หลักก็ไม่กล้าไปยั่วยุ มักจะเสวนากันอยู่ในระดับเดียวกัน ถึงอย่างไรเมื่ออีกฝ่ายขึ้นไปเป็นสร้างฐาน สถานะก็จะกระโจนทะยานทันที ต่อให้เป็นพวกเขาเมื่อเห็นก็ยังต้องคารวะอย่างนอบน้อมเช่นกัน
สวี่ชิงมองเจ้าจงเหิงที่หน้าเปลี่ยนสีอย่างเย็นชา เอ่ยขึ้นแช่มช้า
“เรือหนึ่งลำ ยี่สิบหินวิญญาณ ส่วนของเจ้าลำนี้ ต้องการหนึ่งร้อย”