ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 810 ความมุ่งมั่นของเอ้อร์หนิว
บทที่ 810 ความมุ่งมั่นของเอ้อร์หนิว
ภายในศาลเจ้าโบราณ เจ้าวังเซียนคิมหันต์จ้องมองเมล็ดดอกผูกงอิงที่เป็นของสวี่ชิงแต่เพียงผู้เดียวในหน้าต่างที่ก่อจากแสงเทียน จนเมล็ดนี้ผสานเข้าไปในต้นกำเนิดแล้วหายไป
ผีเสื้อน้อยข้างๆ มองภาพนี้อย่างงุนงง สมองค่อนข้างยุ่งเหยิง แม้แต่จะกล่าววาจายังไม่รู้ความ
“หา? มีเพียง…นี่มันอะไรกันเนี่ย ท่านอาจารย์ เขา…เขาโกงเจ้าค่ะ!”
“หลายปีที่ผ่านมา ผู้มีความสามารถบางคนในพสุธาแดนดินคาดการณ์ไว้ว่าทุกวิชาล้วนมีต้นกำเนิด หากมีผู้ครอบครองต้นกำเนิด เช่นนั้นหากจะฝึกฝนวิชานั้นๆ ให้ถึงที่สุดจะยากเย็นยิ่งนัก”
เจ้าวังเซียนคิมหันต์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พวกเขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของต้นกำเนิดพลังเซียน นี่เป็นเพียงการคาดเดาและวิเคราะห์จากการสังเกตของพวกเขา
“การคาดเดานี้ถูก แต่ก็ไม่ถูก
“ส่วนวิชาของพสุธาแดนดินนั้นมีต้นกำเนิดอยู่จริง น้อยนักที่จะมีเพียงหนึ่งเดียว แต่หากมีผู้ใดทำได้ เช่นนั้นตราประทับก็จะฝังลึก ต้นกำเนิดพลังเซียนจะให้ความเคารพ ไม่อาจลบเลือน เก็บไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษา
“ซึ่งสวี่ชิงผู้นี้ทำได้แล้ว”
น้ำเสียงก้องสะท้อนของเจ้าวังเซียนคิมหันต์เบาลง แทนที่ด้วยความชื่นชม ยกมือขวาขึ้นโบก แสงเทียนกลางอากาศในศาลเจ้าโบราณหมุนวนกลับคืนสู่เทียนบนแท่นบูชา
กลิ่นอายจักรพรรดิก็เจือจางไป ผสานเข้ากับภาพจักรพรรดิต่างๆ ในภาพวาฝาผนังรอบด้าน
มีเพียงเสียงสะท้อนของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ที่ยังคงก้องอยู่ในศาลเจ้าโบราณ
ต่อให้ผีเสื้อน้อยจะโง่เพียงใด เมื่อรวมกับถ้อยคำเสียดายของอาจารย์ก่อนหน้านี้ และรับรู้ถึงความชื่นชม จึงรู้สึกร้อนรน กำลังจะแสดงให้เห็น
แต่ในตอนนั้นเอง สวี่ชิงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
แววตาเขาไร้ซึ่งความสับสน กลับเปล่งปลั่งสดใส มีแสงสีม่วงไหลเวียนอยู่ภายใน ส่องประกายราวกับดวงตากลายเป็นดวงดาว
บางที นั่นอาจเป็นดวงดาวจริงๆ
“ขอบพระคุณท่านเจ้าวังขอรับ!”
สวี่ชิงประสานมือคาระเจ้าวังเซียนคิมหันต์อย่างหนักแน่น
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าส่งมอบเมล็ดพันธุ์วิญญาณให้แก่ต้นกำเนิดพลังเซียน เดิมก็มีคุณูปการต่อพสุธาแดนดิน หลังจากนี้เมล็ดพันธุ์วิญญาณของเจ้าจะถูกแยกออกจากเจตจำนง กลายเป็นวิชา แพร่กระจายไปในอาณาจักรต่างๆ เพิ่มสีสันให้กับวิชาในพสุธาแดนดิน
“และด้วยคุณูปการของเจ้าในครั้งนี้ จึงได้สัมผัสรับรู้พลังวิเศษในต้นกำเนิดพลังเซียน ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผล
“แล้วตอนนี้ เจ้ามีอะไรอยากถามอีกหรือไม่”
เจ้าวังเซียนคิมหันต์พูดมากกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามาจากความชื่นชมต่อสวี่ชิงเป็นหลัก
สวี่ชิงครุ่นคิด มองม้วนภาพทั้งเก้าบนแท่นบูชา
“ท่านเจ้าวัง ผู้เยาว์อยากทราบว่าเหล่าผู้อาวุโสเซียนคิมหันต์ที่สร้างแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ กำเนิดวิถีสวรรค์ในตอนนั้น พวกท่านหายไปไหน และทำไมพวกท่านถึงไม่กลับมาหลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าปรากฏหรือขอรับ”
เสียงของสวี่ชิงล่องลอยไปทั่วศาลเจ้าเก่าแก่ คำตอบที่ได้ยินคือเสียงถอนหายใจเบาๆ ของเจ้าวังเซียนคิมหันต์
“ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเซียนคิมหันต์ทั้งหกในตอนนี้ บันทึกในวังเซียนคิมหันต์ก็มีข้อมูลเพียงเล็กน้อย
“บางคนไปยังส่วนลึกของนภาจรัส บางคนไปรักษาตัวในพสุธาแดนดิน ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากแล้ว”
น้ำเสียงของเจ้าวังเซียนคิมหันต์เต็มไปด้วยอารมณ์พิเศษบางอย่าง เมื่อพูดจบ ร่างของนางก็ค่อยๆ เลือนหายไป ผีเสื้อน้อยเองก็รู้สึกถึงความเศร้าสร้อยของอาจารย์ จึงเลือนหายไปด้วย
สวี่ชิงนิ่งเงียบ เขารู้ว่าเขาต้องไปแล้ว
จึงคารวะอีกครั้ง หันหลังเดินไปทางประตูศาลเจ้า ก่อนจะก้าวออกไป เขาหันกลับมามองศาลเจ้าเก่าแก่อีกครั้ง
สายตาของเขาไม่ได้จับจ้องไปที่เจ้าวังเซียนคิมหันต์ที่เลือนหายไปหรือแท่นบูชา หากแต่เป็นภาพฝาผนัง จักรพรรดิองค์แรกของเผ่ามนุษย์ หรือก็คือจักรพรรดิโบราณองค์แรก
เด็กหนุ่มคนนั้นมองขึ้นไปยังท้องฟ้าประดับดารา
หลังจากนั้น สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา ก้าวออกจากศาลเจ้าเก่าแก่
ทันทีที่ก้าวออกมา ศาลเจ้าด้านหลังเขาก็สลายไปเหมือนฟองสบู่ท่ามกลางคลื่นวนหลากสีสัน จนหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย
สวี่ชิงหันกลับไปมอง ก็เป็นพื้นที่โล่งกว้าง
ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด
ราวกับนี่เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง และตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าไกล เป็นเวลาเช้าตรู่พอดี จะเห็นว่าท้องฟ้าค่อยๆ สว่างไสวขึ้นจากความมืดมิด
แสงอรุณย้อมสีท้องฟ้าเป็นสีแดง งดงามเหลือจะเปรียบ
แผ่นดินปกคลุมไปด้วยไอหมอกจางๆ ราวกับมีคนคลุมผ้าโปร่งบางไว้ ให้ความรู้สึกลึกลับ
จนกระทั่งแสงอาทิตย์ส่องลงมายังพื้นดิน สายหมอกจึงสลายเหมือนหิมะ เบาบางลงเรื่อยๆ จางหายไป แสงแดดจึงส่องผ่านผืนฟ้าลงมาถึงพื้นดิน ตกกระทบร่างสวี่ชิง
ค่ำคืนผ่านพ้นไป
สวี่ชิงแหงนมองดวงตะวัน ลมหายใจกลายเป็นไอสีขาว ภาพวาดฝาผนังที่เขาได้เห็นสองครั้งผุดขึ้นมาในสมอง
จักรพรรดิโบราณองค์แรกของเผ่ามนุษย์ เด็กหนุ่มคนนั้น…ครั้งแรกที่เขาเห็นก็รู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง ยิ่งได้เห็นตอนก่อนจะออกมา ความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจน
‘เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาเดินเหยียบย่ำแสงตะวันแรกอรุณพร้อมกับความคิดนี้ ตรงไปยังที่จวนหนิงเหยียน
หนึ่งชั่วยามต่อมา ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว เมื่อเดินมาถึงทะเลสาบหน้าจวนหนิงเหยียน สวี่ชิงก็ชะงักฝีเท้า มองไปยังผืนน้ำในทะเลสาบ เขาก็หาที่มาของความคุ้นเคยได้เลาๆ แล้ว
“คล้ายกับท่านอาจารย์เลย”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เดินไปบนผิวน้ำทีละก้าว กลับไปยังจวนหนิงเหยียน
เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ตอนหนุ่ม แต่แววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นคล้ายกับท่านอาจารย์มาก
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองสวี่ชิง เมื่อเขากลับมา เหล่าผู้บำเพ็ญจากเขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหมดในจวนซึ่งรออยู่ในลาน เมื่อเห็นสวี่ชิงต่างก็ส่งเสียงโห่ร้อง
หนิงเหยียนอยู่ท่ามกลางฝูงชน รวมถึงข่งเสียงหลง อู๋เจี้ยนอู และหลี่อวิ๋นซาน เจ้าวังแห่งวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรที่นำทัพติดตามสวี่ชิงมายังเมืองหลวงจักรพรรดิด้วย
จื่อเสวียนก็กลับมา พร้อมส่งยิ้มจากที่ไกลๆ
แม้แต่นายกองก็มาปรากฏตัว กำลังกอดคออู๋เจี้ยนอูอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิง เขาก็ยิ้มกว้าง
ที่พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องเป็นเพราะสวี่ชิงเปิดเผยตัวตนในสายเซียนต่างวิถี เพราะชัยชนะในเสวนาเต๋า เพราะสวี่ชิงสร้างบารมีโดยการฆ่าองค์ชายเจ็ด ยิ่งเป็นเพราะการตายของไป๋เซียวจัว!
องค์ชายเจ็ดและไป๋เซียวจัวเป็นศัตรูตัวฉกาจองเหล่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร!
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้อง เห็นผู้คนที่คุ้นเคย สวี่ชิงงุนงงเล็กน้อย ในหนึ่งคืนนี้เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมายเกินไป จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้ตระหนักว่า…ที่แท้เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงคืนเดียวนับตั้งแต่เสวนาเต๋าเมื่อวาน
ประสบการณ์ในวังเซียนคิมหันต์ ในศาลเจ้าเก่าแก่ที่ปกคลุมไปด้วยกาลเวลาและการผันผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ดูเหมือนกาลเวลาจะส่งผลกับการรับรู้ของสวี่ชิง ทำให้เขารู้สึกคลุมเครือกับกระแสเวลาที่ไหลผ่านไป
ทว่าเขาก็ระงับความรู้สึกนี้ไว้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้ม โค้งคำนับผู้คนที่โห่ร้องสรรเสริญเล็กน้อย
ในฝูงชน ข่งเสียงหลงเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามา ดวงตาเขาแดงก่ำ ตรงเข้ามาหาสวี่ชิง กำลังจะคารวะ สวี่ชิงกลับก้าวเข้าไปกอดเขาไว้
ข่งเสียงหลงหยุดชะงัก จากนั้นจึงกอดสวี่ชิงตอบ
“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ…”
หลี่อวิ๋นซานทางนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจเช่นกัน จึงตรงเข้ามาคารวะสวี่ชิงสุดตัว
“ขอบคุณเจ้าแดนสวี่ที่ฆ่าไอ้โจรไป๋ ฆ่าองค์ชายเจ็ด แก้แค้นให้เขตปกครองผนึกสมุทร หากเจ้าวังผู้ล่วงลับรับรู้คงจะตายตาหลับขอรับ!”
เหล่าผู้ครองกระบี่ต่างคำนับพร้อมกัน
หนิงเหยียนคารวะลงต่ำกว่าผู้ใด แม้ความตื่นเต้นจะแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ถึงขีดสุดเช่นกัน การตายขององค์ชายเจ็ด การประกาศศักดาของสวี่ชิง ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ หัวใจพองโตยิ่งขึ้น
สวี่ชิงคำนับกลับ ในเช้าวันนี้ที่เหล่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรมีความสุขเหลือล้น เขาเดินไปหาจื่อเสวียน
ร่างของจื่อเสวียนใต้แสงแดด ใบหน้าดุจดอกฝูหรง ดวงตาดุจธาราในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากแต้มสีชาด สงบเสงี่ยมราวดอกไม้ที่ส่องประกายบนผิวน้ำ สวมชุดสีม่วง ยามเยื้องย่างงามสง่าดุจเทพยดาลงมาจากสวรรค์ ไม่ก็ดอกหลัวหลัน[1]สีม่วงที่บานสะพรั่ง
คิ้วเหมือนเขาสูงหมอกปกคลุมที่อยู่ห่างไกล ดวงตาเหมือนคลื่นน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
“หายไปไหนมาทั้งคืน ทำไมถึงมีผงธุลีกาลเวลาติดตัวเช่นนี้ ไหนจะกลิ่นเกสรดอกไม้ด้วย”
จื่อเสวียนกวาดตาคู่งามมองทั้งร่างสวี่ชิงด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
สวี่ชิงกำลังจะเอ่ยปาก นายกองที่อยู่ไม่ไกลได้ยินดังนั้นก็ขยิบตา แล้วรีบร้อนตะโกนเสียงสูง
“ศิษย์น้องเล็กมานี่เร็ว ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอก เรื่องใหญ่ด้วย!”
ระหว่างที่พูด เขาก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงยังไม่ทันเอ่ยอะไรก็คว้าแขนสวี่ชิงไว้แล้วลากไป พร้อมกับพูดกับจื่อเสวียนอย่างเร่งรีบ
“น้องสะใภ้จอมเซียน พวกเจ้ายังมีเวลาถมเถ ไม่ต้องรีบร้อน คราวนี้ข้าอุตส่าห์ลำบากตรากตรำกลับมา ต้องคุยเรื่องสำคัญกับอาชิงน้อยก่อน”
พูดพลาง เขาก็ลากสวี่ชิงออกไปทันที
สวี่ชิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ถูกนายกองลากออกมา จนกระทั่งถึงห้องลับห้องหนึ่ง นายกองก็ทำปางมือปิดผนึกรอบด้าน จากนั้นก็มองสวี่ชิงด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“เป็นอย่างไรอาชิงน้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าตอบสนองว่องไวหรือไม่ ข้าขอบอกเลย เจ้าเพิ่งกลับมา กลิ่นเกสรดอกไม้นั่น ข้าได้กลิ่นมาแต่ไกลแล้ว
“เจ้าน่ะยังเด็ก ไร้ประสบการณ์ จำไว้ให้ดีถ้าจะแอบกินคราวหน้า ต้องเช็ดให้สะอาด!
“ศิษย์พี่อย่างข้าช่วยเจ้าได้แค่ครั้งเดียว ข้าจะบังเอิญช่วยเจ้าทันทุกครั้งไม่ได้จริงหรือไม่”
สวี่ชิงพูดไม่ออก มองนายกองที่ดูภาคภูมิใจ แล้วเอ่ยถาม
“ช่วงนี้ท่านหายไปไหนมาหรือขอรับ”
เมื่อสวี่ชิงพูดออกมา นายกองที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ยกมือหยิบลูกท้อ แล้วโยนผิงกั่วให้สวี่ชิง กินไปพลางเอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
“ก็ไปทำการใหญ่อย่างไรเล่า
“ข้าจะบอกให้นะอาชิงน้อย ตอนนี้แม้เจ้าจะประกาศศักดาแล้ว แต่ก็แค่ในเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์เท่านั้น ไว้การใหญ่ของข้าเสร็จสิ้นเมื่อใด เจ้าจะต้องตะลึงจนอ้าปากค้างแน่นอน”
สวี่ชิงคุ้นเคยกับภาพนี้อย่างยิ่ง และรู้ว่านายกองต้องการอะไร จึงรับผิงกั่ว แสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
“การใหญ่แบบใดหรือขอรับ”
นายกองกระตือรือร้น แล้วโน้มตัวกระซิบ
“ช่วงนี้ข้าอยู่ที่สำนักย่อยยอดจักรพรรดิดารา ที่ข้าไปขโมยของนั่นแหละ ตอนนั้นน่ะ ข้าขโมยของไม่ได้ แต่ข้ายังไม่ยอมแพ้ จึงคิดวิธีเข้าไปเป็นศิษย์ของสำนักเสียเลย
“ตอนนี้ ข้าสอบผ่านเป็นศิษย์นอกสำนักแล้ว กำลังจะสอบเข้าเป็นศิษย์สายใน ข้ามั่นใจว่าจะสอบผ่าน ถ้าสอบผ่าน ข้าก็เป็นศิษย์สายใน!
“ถึงตอนนั้น ถ้าข้าทำได้ ข้าจะเข้าใกล้เป้าหมายของข้าได้!”
สวี่ชิงได้ยินแล้วก็เกิดสงสัยเล็กน้อย ถึงอย่างไรของที่ทำให้นายกองยึดติดเช่นนี้ ย่อมเป็นของที่ไม่ธรรมดา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะขโมยอะไรกันแน่ขอรับ”
“ตำราหินไร้อักษร!”
ดวงตาของนายกองเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความปรารถนา
“ยามนั้นสตรีลึกลับนางนั้นก็ขโมยของสิ่งนี้ เหมือนนางจะทำสำเร็จ แต่นางออกจะโง่ไปสักหน่อย ขโมยไปแต่เปลือกเปล่าๆ กับก้อนหินแตกๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น
“ที่ข้าต้องการคือตัวอักษรข้างใน!”
“ตำราหินไร้อักษรหรือขอรับ” สวี่ชิงมองนายกอง
“ใช่ ตำราหินไร้อักษร” นายกองคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
สวี่ชิงครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“เจ้าจะไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าทำไมตำราหินไร้อักษร ถึงมีตัวอักษร” นายกองคาดหวัง
สวี่ชิงมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่เห็นนายกองเป็นเช่นนี้ จึงเลือกที่จะตอบสนองความคาดหวังของเขาด้วยการถามตามที่เขาต้องการ
นายกองมีชีวิตชีวาขึ้น หัวเราะร่า แล้วพูดอย่างมีเลศนัย
“ตำราหินไร้อักษร นี่ก็เป็นตัวอักษรแล้ว แม่สาวซื่อบื้อนั่นขโมยไปแต่เปลือก แต่นางไม่รู้ว่าอักษรเหล่านี้กลายเป็นวิญญาณและหนีไปไปซ่อนอยู่ในแผ่นหยกที่ชั้นบนของหอถ่ายทอดเคล็ดวิชานานแล้ว ขอแค่ข้าเป็นศิษย์สายในก็ไปชั้นบนหอถ่ายทอดเคล็ดวิชาแล้วหาเจ้านั่นได้!
“ตัวอักษรเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับแผ่นดินเทวะ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินเทวะใดล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น และข้าได้ยินมาว่า ในเร็วๆ นี้เผ่านภาคิมหันต์จะล่าสัตว์กันในแผ่นดินเทวะ!”
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงจ้องเพ่ง
นายกองยิ่งได้ใจ
“เป็นอย่างไร สุดยอดเลยใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ยอมเปลืองแรงเปลืองเวลา เปลืองสมองขนาดนี้เพื่อเข้าสำนักยอดจักรพรรดิดาราหรอก เพื่อการนี้ข้าต้องทุ่มเทกายใจไปมาก
“แต่ไม่เป็นไร ความพยายามทั้งหมดลวนคุ้มค่า อีกหนึ่งเดือนให้หลังก็จะถึงวันสอบ ข้าต้องสอบเลื่อนขั้นผ่านแน่นอน แล้วเราจะไปที่เผ่านภาคิมหันต์ แอบเข้าไปตอนที่พวกนั้นล่าสัตว์ในแผ่นดินเทวะ!”
นายกองพูดอย่างมั่นใจ ดวงตาแน่วแน่ มุ่งมั่นอย่างยิ่ง
“ล่าสัตว์ในแผ่นดินเทวะหรือขอรับ”
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน เขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่านภาคิมหันต์ลึกซึ้ง แต่เห็นได้ชัดว่าการล่าสัตว์ในแผ่นดินเทวะนี้ยังมีรายละเอียดอีกมาก
“พอข้าได้มาแล้วจะเล่าให้เจ้าฟังโดยละเอียด” นายกองพูดจบ ก็กินลูกท้อจนหมด ลุกขึ้นปัดก้น
“ข้าไปก่อนล่ะ กลับมาคราวนี้ก็เพื่อบอกเจ้าไว้ก่อน เจ้าก็เตรียมตัวไว้ด้วย จากนี้ไป…ก็อวยพรให้ข้าทำสำเร็จด้วยเล่า”
นายกองหายใจเข้าลึกๆ กำลังจะจากไป
สวี่ชิงลังเลก่อนจะเอ่ยถาม
“จะไปเอาแผ่นหยกจากหอถ่ายทอดเคล็ดวิชายากขนาดนั้นเลยหรือขอรับ”
นายกองได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่สบอารมณ์
“อาชิงน้อย เจ้าชักจะเหลิงแล้วนะ นั่นคือสำนักยอดจักรพรรดิดาราเชียวนา แม้จะเป็นสำนักย่อยแต่หอถ่ายทอดเคล็ดวิชาเป็นศูนย์กลางของสำนัก ที่นั่นมีปีศาจเฒ่าอยู่ การป้องกันก็แน่นหนา ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็ขโมยไปนานแล้ว ไม่ต้องลำบากลำบนถึงขนาดนี้หรอก”
สวี่ชิงครุ่นคิด นึกถึงเฉินเต้าเจ๋อ จึงหยิบแผ่นหยกสื่อเสียงพยายามส่งจิตเทพไปหาเฉินเต้าเจ๋อ…
นายกองสงสัย
“เจ้าทำอะไร”
“รอประเดี๋ยวขอรับศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะดูว่าสามารถช่วยท่านทำให้เสร็จสิ้นล่วงหน้าได้หรือไม่”
สวี่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
นายกองงุนงง
[1] ดอกสต๊อค แมตทิ-โอลา (Matthiola) หรือโฮรีสต็อก (HoaryStock) ไม้ดอกที่มีถิ่นกําเนิดทางตะวันตกและตอนใต้ของทวีปยุโรป อยู่ในวงศ์ Brassicaceae เช่นเดียวกับพืชผักหลายชนิดที่คนไทยคุ้นเคยกันดี เช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ผักโขมจีน และหัวไชเท้า ส่วนไม้ประดับในวงศ์นี้ที่รู้จักกัน เช่น แคนดี้-ทัฟต์ (Candytuft) อลิสซัม (SweetAlyssum)