ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 811 พี่น้องร่วมอุทร
“เสร็จสิ้นล่วงหน้า?”
นายกองมองประเมินสวี่ชิงอย่างระแวดระวัง ลูบคางพลางหยิบลูกท้อใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“อาชิงน้อย ช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้ามีสหายคนสนิทที่สำนักยอดจักรพรรดิดาราหรือ ผู้บำเพ็ญหญิงคนใด สวยหรือไม่ รูปร่างเป็นอย่างไร หรือกลิ่นเกสรดอกไม้บนร่างเจ้าจะมาจากนาง
“เรื่องนี้ข้าต้องตำหนิเจ้า เจ้าต้องจำไว้เสมอว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องข้า ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า!”
สีหน้านายกองขึงขังขึ้นเล็กน้อย
“ดังนั้น หากครั้งหน้ามีเรื่องแบบนี้อีก ให้ข้าจัดการเอง!”
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง แต่เดิมเขาตั้งใจจะบอกความจริง แต่ตอนนี้ไม่อยากบอกแล้ว จึงนั่งลงหลับตาอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจ
เห็นสวี่ชิงเป็นเช่นนั้น นายกองได้แต่กะพริบตาปริบๆ นั่งตรงข้ามสวี่ชิง แล้วเริ่มพูดจ้อไปเรื่อย
“ทำไมไม่พูดเล่า ไม่เป็นไรๆ เรื่องนี้ไม่ว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ ศิษย์พี่ใหญ่จะจดจำความดีของเจ้าไว้ ข้าเป็นห่วงร่างกายของเจ้านาอาชิงน้อย”
สวี่ชิงยังหลับตาเช่นเดิม
นายกองกระแอมไอ ทำสีหน้ามีลับลมคมในแล้วเอ่ยกระซิบ
“อาชิงน้อย เจ้าอยากรู้เรื่องที่มาเกี่ยวกับมหกรรมล่าเหยื่อในแผ่นดินเทวะของเผ่านภาคิมหันต์หรือไม่”
สวี่ชิงลืมตาขึ้นมองนายกอง
นายกองทำสีหน้าได้ใจ กินลูกท้อไปพลาง พูดไปพลาง
“เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าเผ่านภาคิมหันต์แข็งแกร่ง แต่ที่พวกเขายังไม่อาจรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้เช่นเผ่ามนุษย์ในอดีต
“มีเหตุผลด้วยกันสี่ข้อ
“ข้อแรก ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์แห่งนี้มีเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งเหมือนเผ่านภาคิมหันต์อีกสี่เผ่า กระทั่งในห้าเผ่านี้ เผ่านภาคิมหันต์อยู่อันดับสามเท่านั้น
“ข้อสอง ประเพณีและวิถีชีวิตของเผ่านภาคิมหันต์ พวกเขามีประชากรไม่มาก ซ้ำอาณาเขตกว้างขวางเกินไป จึงเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกันเสียส่วนใหญ่ ใช้วิธีการล่าอาณานิคม ต้อนเผ่าพันธุ์อื่นๆ มากมายมาเป็นเชลยและต่อสู้เพื่อพวกเขา
“ข้อสาม เทพเจ้าตะวันจันทราดวงดาราสามองค์ แต่ละองค์มีตำหนักเทพเป็นของตนเอง มีอิทธิพลทางโลก ทำให้ภายในเผ่านภาคิมหันต์ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แบ่งเป็นสามขั้วอำนาจ การต่อสู้ภายในกันรุนแรงมาก
“ในเผ่านภาคิมหันต์ ระดับสูงสุดคือเขาเทวะซึ่งเป็นที่ศูนย์กลางของตำหนักเทพทั้งสาม เมืองที่สร้างขึ้นรอบเขาเทวะ เป็นเมืองที่สูงส่งที่สุดในเผ่านภาคิมหันต์
“ต่อมา คือกระโจมเสนาสามแห่ง ตั้งอยู่รอบเขาเทวะ เป็นสามเสาหลัก”
“ข้อสี่ แม้ว่าเผ่านภาคิมหันต์จะมีเทพเจ้าสามองค์ แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของเผ่ายังด้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ ดังนั้น เพื่อความแข็งแกร่ง เผ่านี้จึงมีประเพณีมหกรรมล่าเหยื่อตลอด บ่มเพาะคนในเผ่าให้เหมือนเลี้ยงกู่ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นประเพณีที่รุนแรงขึ้น และผู้แข็งแกร่งจะได้รับการเคารพยกย่อง
“ยิ่งกำหนดให้จัดมหกรรมล่าเหยื่อทุกหกสิบปี แต่เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่าพวกเขาไม่พอใจมหกรรมล่าเหยื่อนี้นานแล้ว ดังนั้น เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่แผ่นดินเทวะ
“และในมหกรรมล่าเหยื่อครั้งใหญ่ทุกๆ สามร้อยปี เทพเจ้าทั้งสามจะสุ่มลงมือเปิดทางสู่แผ่นดินเทวะ ให้ชาวเผ่าเข้าไปล่าเหยื่อในแผ่นดินเทวะ”
นายกองมองสวี่ชิง
สวี่ชิงครุ่นคิด เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องจำพวกนี้ และเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเผ่านภาคิมหันต์มากขึ้นผ่านคำบอกเล่าของนายกอง
ตัดภาพไปยังเผ่ามนุษย์ปัจจุบัน สวี่ชิงนิ่งเงียบ
นายกองกินลูกท้อในมือจนหมด หยิบลูกใหม่ขึ้นมาอีกผลแล้วพูดต่อ
“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าทำไมถึงมีมหกรรมล่าเหยื่อในแผ่นดินเทวะ อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่า ทุกครั้งที่ถึงคราวล่าสัตว์ครั้งใหญ่ของเผ่านภาคิมหันต์ หลังจากผ่านการทดสอบหลายขั้นตอน สุดท้ายผู้ชนะจะได้รับตำแหน่งสูงส่งจากเขาเทวะ
“ขุนพลนภาทมิฬ!”
ดวงตาสวี่ชิงจ้องเพ่ง
ดวงตาของนายกองฉายแววปรารถนา
“ชาติหนึ่งข้าก็เคยไปร่วมมหกรรมล่าเหยื่อครั้งใหญ่ แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ไม่เช่นนั้นข้าก็ได้เป็นขุนพลนภาทมิฬไปแล้ว”
“ไม่ต้องเป็นคนเผ่านภาคิมหันต์ก็ได้หรือขอรับ” สวี่ชิงถาม
ฮ่วยเเปลเเปลกๆ คำว่า “ขอรับ” ก่อนหน้าบ่เห็นใช้@ริน
นายกองพยักหน้า
“ไม่ว่าจะเป็นคนเผ่านภาคิมหันต์เอง หรือเผ่าพันธุ์อื่นๆ หรือแม้แต่ผู้บำเพ็ญจากต่างแดน ตราบใดที่ได้รับสิทธิ์ ก็เข้าร่วมมหกรรมล่าเหยื่อครั้งใหญ่ได้ แต่บรรดาขุนพลนภาทมิฬที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดตั้งแต่โบราณกาลล้วนเป็นคนจากเผ่านภาคิมหันต์
“แผนของข้า คือใช้โอกาสในมหกรรมล่าเหยื่อใหญ่ของเผ่านภาคิมหันต์ครั้งนี้ แอบเข้าไปในแผ่นดินเทวะที่ถูกเปิดทาง…”
นายกองเลียริมฝีปาก มองไปทางประตูห้อง
“อาชิงน้อย ชู้รักของเจ้าผู้นั้นใช้ได้หรือ ข้ารอมาตั้งนานแล้ว มีข่าวอะไรบ้างหรือไม่”
“ที่นั่นเป็นหอถ่ายทอดเคล็ดวิชา ปีศาจเฒ่าที่อยู่ที่นั่นพลังบำเพ็ญน่าครั่นคร้ามยิ่ง สัมผัสรับรู้ก็ว่องไวมาก ทุกครั้งที่ข้าเข้าใกล้รู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยนับพันทิ่มแทงจิตวิญญาณ ชู้รักของเจ้าผู้นั้นจะช่วยข้าจัดการปีศาจเฒ่าได้หรือ”
นายกองกินลูกท้อหมดในคำเดียว สายตาหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง
“ไม่น่าเป็นไปได้ ปีศาจเฒ่านั่นออกจากหอถ่ายทอดเคล็ดวิชาไม่ได้ หรือว่านางจะพาข้าเข้าไป ถ้าทำไม่ได้ ข้ารีบกลับก่อนดีกว่า”
สวี่ชิงมองไปยังประตูห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มาแล้ว”
“หืม”
นายกองอยากรู้ กำลังจะเอ่ยปาก แต่ในขณะนั้นเองเสียงของผู้ครองกระบี่ก็ดังมาจากนอกประตู บอกสวี่ชิงว่ามีคนมาขอพบ
“เชิญเขาเข้ามา”
สวี่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผู้ใดหรือ” นายกองยิ่งอยากรู้ มองไปที่ประตูห้องอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานนัก ตอนที่เขาสัมผัสได้บ้างเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอก
สวี่ชิงยกมือขึ้นเปิดประตู ผนึกรอบด้านเผยทางเข้าทางหนึ่ง ชายชราปรากฏตัวนอกประตู ก้าวเข้ามาในห้องลับ
ชายชราผมขาว สวมชุดธรรมดา ดูไม่ออกว่าเป็นใคร แต่พลังบำเพ็ญของเขามหาศาล โดยเฉพาะดวงตาที่สว่างไสวยิ่ง
การมาถึงของเขา ทำให้นายกองระวังตัว
เมื่อเห็นสวี่ชิง ชายชราก็โค้งคำนับ หยิบถุงเก็บของออกมาวางไว้ตรงหน้าสวี่ชิง
“ทุกอย่างอยู่ในนี้ เจ็ดวันหลังจากนี้ค่อยคืนก็ได้ขอรับ”
กล่าวจบ ชายชราก็ถอยหลังออกไปจากห้องลับ หายวับไป
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาพูดเพียงประโยคเดียวโดยไม่หันมองนายกองที่อยู่ข้างๆ สวี่ชิงเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเขาจากไป นายกองจึงเกิดความสับสน มองยังทิศทางที่เขาจากไป แล้วมองไปยังถุงเก็บของ
“อาชิงน้อย คนผู้นี้เป็นใคร พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา ไหนจะที่เขาบอกว่าทุกอย่างอยู่ในนี้…ถุงเก็บของนี่ใส่อะไรไว้รึ”
นายกองหายใจหอบน้อยๆ เขาคาดเดาบางอย่างขึ้นมา แต่คิดว่าความเป็นไปได้คงจะไม่มากนัก
“แผ่นหยกในหอถ่ายทอดเคล็ดวิชาของสำนักย่อยยอดจักรพรรดิดาราอยู่นี่หมดแล้วขอรับ”
สวี่ชิงสะบัดแขนเสื้อ ถุงเก็บของลอยไปหานายกอง
“เป็นไปไม่ได้!” นายกองลุกขึ้นคว้าถุงเก็บของไว้ ใช้จิตเทพตรวจสอบ ตาเบิกโพลงมองสวี่ชิงทันที
สีหน้าของเขาฉายแววเหลือเชื่อ
เพราะเมื่อเขาใช้จิตเทพตรวจสอบ แผ่นหยกในถุงเก็บของนี้มีมากกว่าหมื่นแผ่น ครอบคลุมทุกเรื่องในสำนักย่อยยอดจักรพรรดิดารา และตามที่เขาเคยสืบมา ตำราเหล่านี้มาจากหอถ่ายทอดเคล็ดวิชาจริงๆ
ส่วนจำนวน…น่าจะเป็นทั้งหมด
ที่สำคัญที่สุด เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของตัวอักษรในตำราหินไร้อักษรจากแผ่นหยกหลายแสนแผ่น นั่นหมายความว่า…ตัวอักษรที่หนีไป ก็อยู่ในแผ่นหยกเหล่านี้
“นี่…” นายกองสับสน
เขาเข้าใจสำนักยอดจักรพรรดิดารา แต่ยิ่งเข้าใจ เขาก็ยิ่งรู้ว่าการขนตำราทั้งหมดในหอถ่ายทอดเคล็ดวิชาของสำนักย่อยออกมาให้คนนอกนั้นยากเพียงใด เรื่องเช่นนี้เว้นแต่เจ้าสำนักย่อยเป็นผู้อนุญาต ก็ต้องเป็นฝั่งสำนักหลักสั่งมา
และคนที่สั่ง ต้องมีตำแหน่งสูงมากอย่างแน่นอน
เมื่อมองถุงเก็บของตอนนี้ นายกองค่อนข้างสับสน นึกถึงความยากลำบากตรากตรำ เสียเงินไปมากมายก่อนหน้านี้ และต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าจะสำเร็จ แต่สำหรับสวี่ชิง…เพียงพูดคำเดียวเท่านั้น
ความรู้สึกนี้ ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นที่ทำสำเร็จก่อนกำหนดแต่อย่างใด กลับรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จึงมองสวี่ชิงด้วยแววตาขุ่นเคือง
“ทำไมถึงไม่บอกเร็วกว่านี้…”
“ก็ท่านเพิ่งบอกข้าวันนี้นี่ขอรับ” สวี่ชิงเรียบนิ่ง
นายกองยิ่งหงุดหงิด
“เจ้านั่นเป็นผู้ใด”
“น่าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักยอดจักรพรรดิดาราขอรับ” สวี่ชิงตอบ
“เป็นไปไม่ได้ ถึงจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักหลักก็ทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ คนผู้นี้ ต้องมีตำแหน่งสูงกว่าผู้อาวุโส!”
นายกองพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่สำคัญหรอกขอรับ ท่านได้ของก็พอนี่ เจ็ดวันหลังจากนี้ อย่าลืมส่งคืนด้วยเล่า”
สวี่ชิงกล่าวจบ ก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
ในห้องลับ นายกองถือถุงเก็บของ มองแผ่นหลังสวี่ชิงด้วยใจที่โหมซัด ไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็ก้มหน้า มองหาตัวอักษรในแผ่นหยก
ส่วนเรื่องกลับไปที่สำนักย่อยยอดจักรพรรดิดาราไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว
“ไม่ได้การ เป็นเช่นนี้ศักดิ์ศรีศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าเสียหายหมด…”
สายตานายกองแน่วแน่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
“ปวดหัวจริง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพลังบำเพ็ญ ข้าอุส่าคลายผนึกกู้หน้าศิษย์พี่ใหญ่กลับมาได้อีกครั้ง แล้วตอนนี้ข้าจะตามทันได้อย่างไร…”
นายกองมองหาตัวอักษรไปด้วย ขบคิดไปด้วย สุดท้ายจึงขบฟันแน่น
“หากไม่ได้จริงๆ ข้าคงทำได้เพียงใช้สถานะในชาติภพก่อนๆ เสียแล้ว!”
เวลาผ่านไปเช่นนี้อีกเจ็ดวัน
ในเจ็ดวันนี้ หลังจากเสวนาเต๋าจบลง การสอบสวนเกี่ยวกับสายผสานเทพก็เริ่มขึ้น ทุกวันมีผู้ร่ำเรียนสายผสานเทพถูกนำตัวไป ขั้วอำนาจต่างๆ ของเมืองหลวงจักรพรรดิต่างจับตาดูเหตุการณ์นี้
ส่วนการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายเจ็ด เนื่องจากความผิดของเขา และถูกกระบี่จักรพรรดิสังหาร จึงไม่มีพิธีศพอย่างองค์ และถูกปลดออกจากตำแหน่ง ไม่ให้นำเข้าสุสานราชวงศ์
นักประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ก็บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับองค์ชายเจ็ดเพียงเล็กน้อย
‘เหมันตฤดู ศักราชเสวียนจั้นที่สองเก้าสามหก องค์ชายเจ็ดกระทำการชั่วช้า ถูกกระบี่จักรพรรดิสังหาร’
จบลงเพียงเท่านี้
ธูปที่แทนตัวองค์ชายเจ็ดบนสะพานสายรุ้งกลายเป็นเถ้าถ่าน ตอนนี้เหลืออยู่เพียงสิบเอ็ดดอก
ชื่อเสียงของสวี่ชิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในและนอกเมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่มีใครไม่รู้จัก
และในขณะนั้น ข่าวการกลับมาขององค์ชายห้าที่จากเมืองหลวงจักรพรรดิไปนานหลังจากไปปกป้องชายแดนกับอ๋องสวรรค์ลำดับที่หนึ่งก็แพร่สะพัด เขาจะกลับมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานตัว
การแพร่กระจายของข่าวนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันของคนในเมืองหลวงจักรพรรดิมากมาย
โดยเฉพาะการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายเจ็ด ทำให้ผู้คนขบคิดเรื่องนี้กันไม่หยุดหย่อน
เพราะองค์ชายเจ็ดและองค์ชายห้าเป็นพี่น้องร่วมอุทรกัน
ผ่านไปอีกหลายวัน เช้าวันหนึ่งมีเสียงระฆังดังก้อง…
นอกประตูเมืองหลวงจักรพรรดิทางทิศตะวันออก เหนือค่ายกลโบราณ ท่ามกลางแสงสว่างที่ส่องประกายทั่วท้องฟ้า กองทัพหนึ่งส่งกลับมา มองไกลๆ เห็นธงปลิวไสว มีผู้คนจำนวนมาก รัศมีอำนาจประดุจสายรุ้ง ทำให้เมฆบนท้องฟ้าปั่นป่วนไม่หยุด
ด้านหน้ากองทัพ บนหลังมังกรทมิฬกลายพันธุ์สองหัวมีคนนั่งอยู่
คนผู้นี้สวมเกราะสีดำ ดวงตาเย็นชา มองมาทางเมืองหลวงจักรพรรดิ
ผมยาวปลิวตามลม เต็มไปด้วยปราณพิฆาต เห็นได้ชัดว่าเขาฆ่าคนมาแล้วมากมาย ทหารทุกนายด้านหลังต่างนิ่งเงียบ
“ข้า…กลับมาแล้ว”
คนสวมเกราะสีดำพึมพำเอ่ยเสียงแผ่วเบา