ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 812 กู่เยวี่ยชิ่งจี้
บทที่ 812 กู่เยวี่ยชิ่งจี้
นอกเมืองหลวงจักรพรรดิ บนค่ายกลอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น นั่นเป็นกลิ่นอายของการเข่นฆ่าที่ทิ้งไว้บนตัวนายทหารกลุ่มนี้
เข้มข้นไร้ใดเปรียบ เป็นตะกอนอยู่บนชุดเกราะ บนผิวหนัง ในเลือดเนื้อและในจิตวิญญาณของพวกเขา รวมเข้าด้วยกัน แผ่ขยายทั่วทิศ สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆปกคลุม ม่านฟ้าในยามนี้ก็ถูกกลิ่นอายของพวกเขาอาบย้อมจนเลือนราง ยังมีสายฟ้าแลบโผล่มาลากผ่านขอบฟ้าเป็นสาย
มีชั่วขณะหนึ่งทับซ้อนกับเสียงระฆังในเมืองหลวงจักรพรรดิ ดังกึกก้องอยู่ในจิตใจคนทั้งหลาย
กองทัพใหญ่ที่กลับมากลุ่มนี้ ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอสุดในนั้นยังอยู่ในขั้นปราณก่อกำเนิด และทุกคนก็ไม่ใช่ธรรมดา ต่างเข่นฆ่าน่าหวาดกลัว อยู่รักษาการณ์ประตูสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ที่ชายแดนเผ่ามนุษย์ตลอดปี
ชีวิตของพวกเขาต่างกับผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ผู้บำเพ็ญมากมายในนี้ไม่ได้กลับมาหกสิบปีแล้ว
การสู้รบตลอดปีรวมถึงความเฉยชากับความตาย จึงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเย็นชาจากใบหน้าพวกเขาทุกคน
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ จิตสังหารยิ่งน่ากลัว และกลายเป็นสัญชาตญาณ แม้ยืนอยู่หน้าเมืองหลวงจักรพรรดิก็ไม่อาจหยุดยั้งได้
ราวกับ…กระทั่งอำนาจของจักรพรรดิก็ไม่ได้สำคัญกับพวกเขาขนาดนั้น สิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาตอบสนอง มีเพียง…ธงรบที่โบกสะบัดตรงหน้าขบวนทัพ
ธงมีสองด้าน ด้านหนึ่งสีทอง ปักคำว่ากู่เยวี่ย
ด้านหนึ่งสีดำสนิท คล้ายละเลงด้วยเลือด เขียนคำว่าเจิ้นเหยียน
พระนามอ๋องสวรรค์ลำดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์ ก็คือเจิ้นเหยียน
ใต้ธงรบ องค์ชายห้าในชุดเกราะสีดำมองทอดไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พระองค์จากที่นี่ไปสิบเจ็ดปีแล้ว
“ทุกสิ่งคงเดิม แต่คนเปลี่ยนแปลง”
ขณะองค์ชายห้าพึมพำเสียงค่อย เสียงระฆังเมืองหลวงจักรพรรดิดังเป็นครั้งที่เก้า ตามด้วยประตูตะวันออกของเมืองหลวงจักรพรรดิที่เปิดอย่างช้าๆ ขุนนางห้าวังทมิฬล่างออกมาปรากฏตัวต้อนรับเป็นส่วนใหญ่ ค้อมกายคารวะไปทางองค์ชายห้าหน้าประตู
“ถวายบังคมองค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ยังมีองค์ชายสี่ในชุดสีเหลืองลายมังกรสี่กรงเล็บเดินออกมาตรงกลาง
พระองค์รับพระราชโองการจากจักรพรรดิมนุษย์ เป็นตัวแทนราชวงศ์มาต้อนรับน้องห้าของตนกลับเมืองหลวง ยามนี้เดินมาถึงพันจั้งจากหน้ากองทัพใหญ่ขององค์ชายห้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตรัสเสียงดัง
“กู่เยวี่ยชิ่งจี้ รับพระราชโองการ”
เมื่อตรัสคำนี้ องค์ชายห้าที่นั่งอยู่บนมังกรดำสองหัวเบือนสายตาจากเมืองหลวงจักรพรรดิมาที่ร่างองค์ชายสี่ พลันเคลื่อนกายลงมาจากสัตว์ขี่ คุกเข่าข้างเดียว
กองทัพใหญ่ข้างหลังพระองค์คุกเข่าพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ
องค์ชายสี่พยักหน้าเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้นโบก หยิบพระราชโองการแผ่นหนึ่งออกมา
“องค์ชายห้าชิ่งจี้มีคุณูปการรักษาชายแดน มีคุณธรรมบู๊สูงส่ง เลิศล้ำกว่าเทพเจ้าบนฟ้า เฉียบแหลมหมั่นศึกษา พร้อมด้วยความสามารถโดดเด่น รับใช้กองทัพด้วยความถ่อมตน รับใช้บิดามารดาด้วยความกตัญญู รับใช้พี่น้องด้วยความใกล้ชิด รับใช้ลูกหลานด้วยความเป็นธรรม รับใช้ข้าราชบริพารด้วยความน่าเคารพยำเกรง มีคุณลักษณะเช่นบิดาของเจ้าในช่วงบั้นปลาย
“วันนี้ตกรางวัลองค์ชายห้าชิ่งจี้ ให้แต่งตั้งขุนนางใต้บังคับบัญชาที่จวนอ๋อง เพิ่มองครักษ์อีกหมื่นคน จบราชโองการ”
องค์ชายห้ายืนขึ้นในชั่วขณะที่อ่านจบ นายทหารด้านหลังก็ลุกขึ้นเช่นกัน ต่างยืนนิ่งเงียบ
“ยินดีกับน้องห้าด้วย” ใบหน้าองค์ชายสี่ไม่เคร่งขรึมอีกต่อไป แต่เผยรอยยิ้มอบอุ่น
“เสด็จพ่อรอเจ้าอยู่ ยังไม่ไปคำนับขอบพระทัยพระมหากรุณาธิคุณอีก”
องค์ชายห้าสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด เพียงเดินไปข้างหน้า ตอนผ่านข้างกายองค์ชายสี่ยังไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย เดินเข้าประตูตะวันออกแล้วก้าวขึ้นสะพานสายรุ้ง
ส่วนนายทหารข้างหลังพระองค์ กลับตั้งค่ายอยู่บนค่ายกล
ฉากนี้ทำให้ทางองค์ชายสี่มุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานก็มีรอยยิ้มบนหน้าอีกครั้ง อมยิ้มเดินเข้าเมืองหลวงจักรพรรดิตามอยู่ด้านหลังองค์ชายห้า
องครักษ์ส่วนพระองค์ทั้งหมดบนสะพานสายรุ้ง เห็นองค์ชายห้าแล้วต่างก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
ส่วนใต้สะพานสายรุ้ง บัดนี้ก็มีชาวเมืองหลวงจักรพรรดิจำนวนมากมารวมตัวกัน ต่างคนมององค์ชายห้าที่เดินอยู่บนสะพาน ไม่รู้ใครโห่ร้องยินดีเป็นคนแรก ไม่นานก็ร้องเรียกเป็นกลุ่มใหญ่ เสียงดังไปทั่วทิศ
คนไม่รู้สถานการณ์เห็นเข้าต้องนึกว่ากองทัพได้รับชัยชนะกลับมา หรือไม่ก็องค์รัชทายาทออกเดินทาง การร่วมใจของประชาชนเช่นนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง
ฝีเท้าองค์ชายห้าหยุดชะงัก มองไปยังกลุ่มคน หลังจากเงียบอยู่หลายอึดใจ ก็ค้อมกายคารวะไปทางราษฎรแล้วถึงเดินต่อ
กระทั่งเดินพ้นสะพานสายรุ้ง ตอนยืนอยู่หน้าประตูวังหลวง องค์ชายห้ามองธูปขนาดใหญ่สิบเอ็ดดอกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ยิ่งมองพื้นที่ตรงกลางที่ขาดธูปไปดอกหนึ่ง
สีหน้าฉายแววเศร้าสร้อย
“การตายของเจ้าเจ็ดไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของพวกเรา ตอนนั้นเขาขอถามระฆังเซียนเพื่อพิสูจน์ตนเองแล้ว แต่…”
เสียงอบอุ่นดังมาจากข้างหลังองค์ชายห้า น้ำเสียงเปี่ยมความเสียใจ
เป็นองค์ชายสี่นั่นเอง พระองค์ส่ายหน้าเดินมายืนเคียงองค์ชายห้า
องค์ชายห้านิ่งเงียบ เลื่อนสายตาออกจากจุดที่ไม่มีธูปของพระอนุชา มองไปยังตำหนักใหญ่โตเหนือขั้นบันไดเป็นชั้นตรงสุดลานกว้างในประตูใหญ่
“เข้าไปเถอะ เสด็จพ่อรวมถึงขุนนางใหญ่ โหวนภา อ๋องสวรรค์และเจ้าแดนล้วนอยู่ในนั้น”
องค์ชายสี่ตรัสเสียงค่อย
“เก็บความคิดของท่านไปเสีย” องค์ชายห้าตรัสเรียบนิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์ตรัสกับองค์ชายสี่หลังกลับถึงเมืองหลวงจักรพรรดิ
“การตายของเจ้าเจ็ดเป็นเรื่องของข้า ไม่ต้องให้ท่านมายุยง
“ส่วนการเตรียมราษฎรใต้สะพานไว้ร้องสรรเสริญ นี่ยิ่งเล่นเป็นเด็กน้อย
“ข้าไม่ได้นำชัยชนะกลับมา และเสด็จพ่อยังรุ่งโรจน์ คงไม่เกิดความคิดระแวงง่ายๆ ท่านก็ดี คนอื่นก็ดี การแสดงปาหี่เหล่านี้ไม่เหมาะสมกับฐานะเลยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายห้าตรัสจบ เงยหน้าสาวเท้าเดินไปยังวังหลวง
และยามนี้ในตำหนักใหญ่แห่งวังหลวง จักรพรรดินั่งตัวตรง อ๋องสวรรค์ทั้งสิบสามก็มาถึงหมดแล้ว นั่งอยู่เบื้องล่างพระองค์ โหวนภาทั้งหมดในเมืองหลวงจักรพรรดิก็เข้าร่วมเช่นกัน
ด้านล่าง ขุนนางห้าวังทมิฬบนเรียงแถวเป็นระเบียบ ต่างคนสีหน้าเคร่งขรึม
สวี่ชิงก็อยู่ในตำหนักใหญ่ นั่งอยู่บนตำแหน่งของเขา สีหน้าเรียบเฉย สายตาอยู่ที่ประตูใหญ่
เขาได้รับพระราชโองการเมื่อคืน วันนี้มาประชุมแต่เช้าตรู่ รู้เรื่ององค์ชายห้ากลับมาตั้งแต่แรก ทั้งยังรู้ความสัมพันธ์ขององค์ชายห้ากับองค์ชายเจ็ดจากหนิงเหยียน
‘พี่น้องร่วมอุทร’
ความสัมพันธ์เช่นนี้ เหนือกว่าทุกสิ่งในราชวงศ์ระดับหนึ่ง กระทั่งความรักของบิดรมารดา บางครั้งยังไม่สู้ความสนิทชิดเชื้อของพี่น้องท้องเดียวกันเช่นนี้
‘องค์ชายห้าคารวะเป็นศิษย์อ๋องสวรรค์ลำดับหนึ่ง เป็นศิษย์คนเดียวของอ๋องสวรรค์ลำดับหนึ่งที่ยังมีชีวิต ติดตามอ๋องสวรรค์เฝ้ารักษาการณ์ที่ชายแดนตลอดปี สำหรับเผ่ามนุษย์ พระองค์เป็นผู้มีคุณูปการมากที่สุดในบรรดาองค์ชาย
‘ในบรรดาองค์ชาย กำลังรบของพระองค์เป็นรองแค่องค์ชายใหญ่ที่มีสายเลือดเผ่านภาคิมหันต์ครึ่งหนึ่ง ห้าวหาญเชี่ยวชาญการรบเช่นเดียวกัน…’
ข้อมูลเหล่านี้ ส่วนหนึ่งมาจากองค์หญิงอันไห่ ส่วนหนึ่งมาจากหนิงเหยียน และตอนสวี่ชิงกำลังครุ่นคิด ก็มีเสียงร้องยินดีส่งมาจากภายนอก เสียงนี้ดังเข้าหูทุกคนในตำหนักใหญ่
ทว่า ไม่มีใครสีหน้าเปลี่ยนไปเพราะสิ่งนี้เลยสักนิด คล้ายไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
‘ดูท่าจะไม่ลงรอยกับองค์ชายองค์อื่น’
สวี่ชิงสายตาไร้คลื่น มองไปอย่างเรียบนิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เงาร่างสายหนึ่งสะท้อนเข้ามาในดวงตาเขา ทั้งสะท้อนเข้ามาในสายตาทุกคนในตำหนักใหญ่
ท่าทางองอาจผึ่งผาย ใบหน้างดงามหล่อเหลาเข้ากับชุดเกราะสีดำทั้งตัว ทำให้คนที่เดินมาอาจหาญกว่าทั่วไป โดยเฉพาะคลื่นพลังบำเพ็ญยิ่งเด่นชัด
นั่นคือหวนสู่อนัตตาขั้นที่สาม
ก่อนเดินมา รอบกายพระองค์ยังมีสายใยแห่งระเบียบและกฎเกณฑ์ปรากฏเลาๆ สะเทือนทั่วทิศและกลายเป็นเสียงพายุโหมพัด เป็นองค์ชายห้านั่นเอง
ภายใต้การจับจ้องจากทั่วสารทิศ เขาเดินผ่านกลุ่มขุนนางทีละก้าวมาปรากฏตรงหน้าบันได คุกเข่าคำนับไปทางจักรพรรดิมนุษย์ที่นั่งอยู่เบื้องบน เอ่ยคำเสียงทุ้ม
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
จักรพรรดิมนุษย์พยักหน้าเล็กน้อย
“ลำบากเจ้าแล้ว”
องค์ชายห้ายืนขึ้น สายตาอยู่ที่อ๋องสวรรค์ทั้งหลายและมองไปทางโหวนภา ที่สวี่ชิงก็แค่กวาดตาผ่านไป ไม่ได้เผยระลอกคลื่นเท่าใดนัก จากนั้นค้อมตัวคารวะไปทางจักรพรรดิมนุษย์
“เสด็จพ่อ สิบเจ็ดปีมานี้ ชายแดนนภาคิมหันต์สงบเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่
“ระหว่างนั้นเกิดสงครามเล็กทั้งหมดเก้าสิบเจ็ดครั้ง เผ่านภาคิมหันต์เองไม่ได้ปรากฏตัว พวกที่ทำให้เกิดเรื่องล้วนเป็นเผ่าในอาณัติพวกเขา
“ทุกอย่างคลี่คลายลงด้วยมีอ๋องเจิ้นเหยียนมาคุมบังเหียน
“ดูภาพรวม เผ่านภาคิมหันต์ยุ่งอยู่กับมหกรรมล่าเหยื่อครั้งใหญ่ ความคิดที่จะล่าเผ่าโดยรอบลดลงกว่าเดิมมาก
“ส่วนเผ่าในอาณัติพวกเขาที่บุกรุกเข้ามาก็เน้นฝึกและทดสอบทหารเป็นหลัก ไม่มีอะไรร้ายแรง
“เรื่องล้มตาย สิบเจ็ดปีมานี้ชายแดนเผ่านภาคิมหันต์ข้ารบตายไปสามแสนเจ็ดหมื่นเก้าสิบกว่าคน รายชื่ออยู่ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายห้ากล่าวพลางหยิบแผ่นหยกออกมายื่นให้องครักษ์ส่วนพระองค์ แล้วส่งต่อให้จักรพรรดิมนุษย์
“เทียบกับเมื่อก่อน ไม่ว่าจำนวนครั้งการบุกรุกหรือผู้บำเพ็ญที่เสียสละล้วนลดลงกว่าครึ่ง นี่มากพอจะยืนยันว่าดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่เสด็จพ่อวางแผนไว้หลายปีนั้น ได้สร้างความน่ายำเกรงในระดับหนึ่งแล้ว”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น กลุ่มขุนนางรอบด้านต่างเผยรอยยิ้มเป็นส่วนใหญ่
“แต่ว่า…ก็มีข่าวร้ายด้วย”
องค์ชายห้ากล่าวเสียงทุ้ม
“ข่าวแรก คือเผ่าในอาณัตินภาคิมหันต์เหล่านั้น ไม่รู้ภาพรวมมีกำลังรบเพิ่มขึ้นเพราะอะไร และไม่ได้เพิ่มขึ้นแค่เผ่าเดียว แต่ทั้งหมดกำลังแข็งแกร่งขึ้นรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
“มองในระยะยาว ไม่เป็นผลดีต่อเผ่าเราอย่างยิ่ง และเรื่องนี้ยังมีเงื่อนงำ ต้องให้กรมคำสั่งพิเศษตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ
“ข่าวที่สอง ทุกครั้งหลังจากมหกรรมล่าเหยื่อครั้งใหญ่ เผ่านภาคิมหันต์จะเลือกเผ่าในอาณัติมายกมาตรฐาน เรื่องนี้น่ากลัวจะมีเผ่าในอาณัติดึงความสนใจเพื่อให้ได้โอกาสเปิดสงคราม
“ข้ากลับมาครั้งนี้ ก็เพื่อทูลขอเสด็จพ่อให้เพิ่มกำลังทหาร เผ่าคุมหายนะที่แข็งแกร่งที่สุดในสามเผ่าอาณัติของนภาคิมหันต์น่าสงสัยว่าจะเตรียมลงมือ โดยดึงความสนใจจากนภาคิมหันต์มาที่เผ่ามนุษย์เราพ่ะย่ะค่ะ
“ข่าวที่สาม หลายปีนี้ไอพลังประหลาดในเขตนภาคิมหันต์เพิ่มขึ้นมากถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน อ๋องเจิ้นเหยียนสังเกตแล้วเคยบอกว่า…เหมือนนภาคิมหันต์กำลังเตรียมเทพเจ้าองค์ที่สี่!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ในตำหนักใหญ่เงียบสนิท กลุ่มขุนนางต่างเกิดคลื่นในใจ ที่จริงในวันปกติข่าวเกี่ยวกับชายแดนถือเป็นความลับสุดยอด คนที่รู้ทั้งหมดมีไม่มากนัก
สำหรับคนส่วนใหญ่ อย่างมากก็แค่เข้าใจภาพรวม นี่ยังเป็นครั้งแรกที่รู้ละเอียดทั้งหมดเช่นนี้
และขณะที่กลุ่มขุนนางต่างกำลังครุ่นคิด องค์ชายห้ารายงานเสร็จแล้วคำนับจักรพรรดิมนุษย์อีกครั้ง
ตามขั้นตอนปกติ ยามนี้เขาควรกลับไปตำแหน่งที่เป็นของเขาในตำหนักใหญ่ แต่หลังคำนับเสร็จองค์ชายห้ายังไม่ออกไป กลับเอ่ยเสียงค่อย
“เสด็จพ่อ เจ้าเจ็ดทำเรื่องชั่วช้า ถูกกระบี่จักรพรรดิสังหาร เพราะเขาทำผิด จึงสมควรถูกฆ่า!”
“แต่ข้าเป็นพระเชษฐาแท้ๆ ของเขา!
“หากข้าเอาแต่เงียบคงละอายแก่ใจ และเผ่ามนุษย์เราให้ความสำคัญกับการสืบทอดทางสายเลือด ครอบครัวสำคัญนัก เราถึงรวมเผ่าได้
“ดั่งในพระราชโองการของเสด็จพ่อ ตรัสว่าข้าดูแลพี่น้องด้วยความใกล้ชิด หากข้ามองข้ามครอบครัวก็จะไม่เหลือพี่น้องร่วมเผ่า ขัดต่อตั้งใจตั้งแต่เด็กของข้า
“ดังนั้น เสด็จพ่อ ลูกอยากขอสู้กับเจ้าแดนสวี่ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ความคิดในใจล้วนกระจ่างแจ้งทุกประการ!”
ตรัสจบ องค์ชายห้าก็กวาดสายตา พลันหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง
ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาเขาฉายประกายเฉียบขาด
“เจ้าแดนสวี่ เชิญ!”