ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 814 นกทมิฬสีเลือด
บทที่ 814 นกทมิฬสีเลือด
Ink Stone_Fantasy
เสียงของสวี่ชิงราวคั่นด้วยกาลเวลา คล้ายเปล่งอยู่ใต้น้ำ สะท้อนก้องอยู่ในมิติแห่งนี้
ทุกคำล้วนแฝงไว้ด้วยความหมายเต๋า หลังจากรวมกันแล้วกลายเป็นหยาดน้ำกระตุ้นวิถีเต๋าลึกลับ หยดลงบนผิวน้ำ
ส่งเสียงเสียงใสกังวาน
ติ๋ง…
ขณะที่เสียงนี้ดังก้อง ระลอกคลื่นเป็นริ้วๆ ก็ปรากฏขึ้น แผ่ระลอกออกไป
ที่แห่งนี้…ก็กลายเป็นผืนน้ำโดยไม่ทันรู้ตัว
ส่วนองค์ชายห้าเหนือผิวน้ำ ร่างเงาทั้งแปดของพระองค์สั่นสะท้าน พระพักตร์ฉายแววตื่นตะลึง ในใจยิ่งโหมซัดถึงขีดสุด
พระองค์ไม่เคยเห็นพลังวิเศษประเภทนี้มาก่อน!
จึงไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่พระองค์สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายที่ในมิตินี้ทรงพลังอย่างยิ่ง กระทั่งทำให้เขารู้สึกถึงต้นกำเนิดเต๋า
สิ่งที่ทำให้ใจพระองค์ครืนครันมากที่สุดคือพระองค์สัมผัสได้ว่าในพริบตานี้ ตนเสียการควบคุมทั้งหมดไป ร่างกายของเขาขยับไม่ได้แม้แต่น้อย พลังบำเพ็ญของเขาคล้ายถูกแช่แข็ง วิชาเวทและทุกอย่างของเขา ล้วนถูกหยุดนิ่ง
สีหน้าตกตะลึง ราวกับกลายเป็นชั่วนิจนิรันดร์
มีเพียงความคิดที่ยังโลดแล่นได้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร จากนั้นฉากที่ยิ่งทำให้พระองค์พรั่นพรึงก็ปรากฏขึ้น ตามเสียงของสวี่ชิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“มีสรรพสิ่งซึ่งแฝงพลังวิเศษทั้งหมด ของวิเศษเวททั้งหมด สภาวะทั้งหมดเอาไว้ ล้วนคงอยู่ในบ่อน้ำนี้…และรวมถึงพระองค์ตัวจริงด้วย”
ขณะที่เสียงสะท้อนก้อง ระลอกคลื่นบนผิวน้ำก็ยิ่งแผ่ระลอก ในสายพระเนตรขององค์ชายห้าจะเห็นว่ามีเงาของตัวพระองค์เองปรากฏขึ้นบนผิวน้ำใต้พระบาท…
ไม่เพียงเงาของพระองค์เท่านั้น ยังมีของวิเศษเวททั้งหมดของพระองค์ กระทั่งเปลวเพลิงซึ่งเป็นวิชาเวทของเขาก็ลุกโชนอยู่ในนั้น
ไม่ใช่แค่นั้น วิชาเวทมากมาย รวมถึงการบำเพ็ญของพระองค์ทั้งชีวิต
กระทั่งวิถีสวรรค์ กฎเกณฑ์ที่พระองค์สัมผัสรับรู้มาทั้งหมด กระทั่งแท่นบูชารวมถึงโถอัฐิก็ปรากฏขึ้น
ความลับทุกอย่าง สิ่งของทั้งหมดของเขา ไม่ว่าจะวิชามายาหรือสิ่งของที่เป็นรูปธรรมล้วนปรากฏขึ้น
ฉากนี้ ทำให้ใจองค์ชายห้าส่งเสียงดังครืนครัน เขาพิจารณาได้ทันทีว่า…หากตัวตนที่อยู่บนผิวน้ำได้รับบาดเจ็บ จะต้องส่งผลกระทบกับร่างกายตนเป็นแน่
ลางสังหรณ์นี้ทำให้เขาพยายามดิ้นรน แต่ในยามนี้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
ร่างพระองค์บนผิวน้ำ ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
และขณะเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างเขากับสวี่ชิงครั้งนี้คล้ายอยู่ในมิติเอกเทศ ทว่าความจริงยังเกิดขึ้นในวังหลวง เพียงแต่ด้วยการแทรกแซงของค่ายกลในวังหลวง จึงถูกแบ่งแยกออกมา
ดังนั้น ทุกคนที่วังหลวงจึงเห็นการประมือของทั้งสองในสัมผัสรับรู้ได้อย่างชัดเจน
พวกเขาเห็นเพลิงศพพิสดารขององค์ชายห้า เห็นโซ่แปลกประหลาดที่แปรมาจากโถอัฐิ ยิ่งเห็นฉากที่องค์ชายห้าจะดึงจิตวิญญาณของสวี่ชิงออกมา
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เห็นการลงมือของสวี่ชิงด้วย
แม้การเสวนาเต๋าในวันนั้นสวี่ชิงจะลงมือเช่นกัน แต่สำแดงเพียงสภาวะเทพเจ้าออกมา ดังนั้นวันนี้ ยามที่สภาวะเทพเจ้าของเขาสำแดงวิชาออกมา ทำให้คนมากมายใจโหมซัด
การมาเยือนของภูเขาทั้งสาม เป็นเพียงส่วนหนึ่งในลูกคลื่น
ถึงอย่างไรการลงมือของสวี่ชิงกับผีเสื้อน้อยวันนั้น คนส่วนใหญ่ก็สัมผัสได้
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาโหมลูกคลื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง คือวิชาที่ปรากฏอยู่ตอนนี้
วิชานี้ ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน!
อ๋องสวรรค์ทั้งสิบสามก็ใจสั่นสะท้าน จักรพรรดิมนุษย์ทางนั้นโน้มตัวมาเล็กน้อย ดวงตาฉายประกายประหลาด
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน ในมิติ เสียงสงบนิ่งของสวี่ชิงสะท้อนก้อง
“เขา ก็คือเจ้า”
ทันทีที่ประโยคนี้ดังออกมา สมองขององค์ชายห้าก็ลั่นครืนครัน โลกเบื้องหน้าพลันพร่าเลือน ราวกับมีสายน้ำไหลบ่าลงมาบดบังจนทุกอย่างเลือนราง
การค้นพบนี้ ทำให้ใจพระองค์สั่นอีกครั้ง ตระหนักได้ทันที…ว่าสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ร่างตนในผิวน้ำอีกต่อไป
แต่เป็นร่างที่อยู่เหนือผิวน้ำ
จิตสำนึกเขาก็ไม่ได้อยู่ในร่างเหนือผิวน้ำนั่นแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว ทว่า…ผสานกับร่างในผิวน้ำ
ไม่อาจต้านทาน ไม่อาจหยุดยั้ง!
ความรู้ความเข้าใจนี้ ทำให้ความคิดองค์ชายห้าแล่นเร็วจี๋ไร้ที่สิ้น เขาไม่ยอมแพ้ แต่ไม่มีวิธีแก้ อยากดิ้นรน แต่กลับไร้ความหมาย
จนกระทั่ง เขาเห็นมือข้างหนึ่ง
มือของสวี่ชิง ยกขึ้น ช้อนลงมาบนผิวน้ำเบาๆ
ท่าทางเรียบง่ายนี้แฝงไว้ด้วยวิชาเต๋าไร้ที่สิ้นสุด และวิชาของเขาก็ไร้ซึ่งกลิ่นอายของโลกีย์ ให้ความรู้สึกสุขสงบบางอย่าง
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ช้อนจันทราในบ่อน้ำสำหรับสวี่ชิง หลังจากสัมผัสรับรู้แล้วช้อนดวงจันทร์ในใจตนขึ้นมาได้ การจะช้อนจิตวิญญาณของผู้อื่นขึ้นมาจึงง่ายดายอย่างยิ่ง
กระทั่งช่วงนี้ เขาก็กำลังขบคิดถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอื่นๆ ของช้อนจันทราในบ่อน้ำ
วิชาเต๋านี้ สามารถช้อนสรรพสิ่งในใต้หล้าขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ได้จำกัดแค่ดวงจันทร์
ดวงจันทร์ เป็นเพียงการกล่าวถึงเอกลักษณ์ของวิชาเท่านั้น
ดังนั้น เขาในตอนนี้จึงยกมือขึ้นอย่างสุขุมเยือกเย็น ยื่นไปที่องค์ชายห้าในผิวน้ำแล้วช้อนขึ้นมาเบาๆ ขณะที่น้ำไหลลงมา วิญญาณขององค์ชายห้า ก็ปรากฏอยู่ในฝ่ามือสวี่ชิง
เกี่ยวกลับไปช้าๆ
มิติแห่งนี้ครืนครัน พังทลายลงทันที กระทั่งโซ่กระดูกที่ผนึกวิญญาณสวี่ชิงไว้ก็ไร้ผู้ควบคุม แตกเป็นเสี่ยงๆ
โซ่ที่ล้อมรอบร่างสวี่ชิงก็เช่นกัน
รวมถึงร่างเงาทั้งเจ็ดขององค์ชายห้ากลางอากาศก็สลายไปพร้อมกับมิตินี้
ด้วยเวลาที่ผันผ่านไป วังหลวงก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิง
องค์ชายห้ายืนอยู่ที่เดิมด้วยพระพักตร์ขาวซีด ดวงตาไร้ประกาย ไม่ขยับเขยื้อน
เขาสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงกายเนื้อที่คงอยู่ กลายเป็นคนเป็นที่ไร้จิตวิญญาณ
ส่วนสวี่ชิงก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก กำลังก้มหน้ามองฝ่ามือของตน
ไม่ใช่แค่เขาที่มอง สายตาของทุกคนในตำหนักใหญ่ล้วนก็จับจ้องมาที่นี่โดยมิได้นัดหมาย
ในฝ่ามือ คือจิตวิญญาณขององค์ชายห้า
“กู่เยวี่ยชิ่งจี้ ทรงเป็นองค์ชายที่คอยปกป้องชายแดน มีคุณูปการต่อเผ่ามนุษย์ไม่น้อย ทั้งไม่มีความผิดร้ายแรง ดังนั้น กระหม่อมจะไม่ทำให้พระองค์ลำบากใจ”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบ
“กระหม่อมจะเก็บวิชาพระองค์ไว้หนึ่งวิชา ยามใดที่พระองค์คิดว่าเอาชนะกระหม่อมได้ ก็ทรงมารับคืนไป!”
ขณะที่พูด สวี่ชิงก็โบกมือขวา วิญญาณองค์ชายห้าในฝ่ามือเขาก็พลันแยกเป็นสายๆ พุ่งไปหาองค์ชายห้าด้านล่าง สุดท้ายเหลือไว้เพียงโถอัฐิ หลังจากสวี่ชิงกุมไว้ในฝ่ามือ จากนั้นก็เก็บลงไป
ส่วนองค์ชายห้าทางนั้นก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ดวงตาฉายประกาย ไม่นานก็ฟื้นกลับมา มองไปทางสวี่ชิงอย่างซับซ้อน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็โค้งคารวะ ถอยออกไปสองสามก้าว กลับไปประจำตำแหน่งของพระองค์ในตำหนักแล้วหลับตาลง
ในตำหนักเงียบสงัด ความคิดในใจทุกคนกลายเป็นลูกคลื่น สะท้อนก้องในทะเลความรู้สึก
เรื่องในวันนี้ทำให้ผู้มีอำนาจของเผ่ามนุษย์เหล่านี้ รู้สึกว่าสวี่ชิงดูลึกลับขึ้นอีกหลายส่วน แปรฟ้าดินเป็นผืนน้ำแล้วช้อนวิญญาณขึ้นมาฉากนั้น ทำให้รู้สึกยากจะเข้าใจจริงๆ
‘นอกจากจะมีพลังบำเพ็ญเหนือกว่าสวี่ชิงมาก หรือไม่ก็ต้องครอบครองของวิเศษล้ำค่า…’
‘พลังวิเศษเช่นนี้แฝงวิถีลึกซึ้ง ยิ่งเจือความเก่าแก่โบราณไว้ด้วย นี่คงไม่ใช่วิชายุคปัจจุบัน’
‘ความทรงพลังของพลังวิเศษนี้ หากเคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่อดีต ไม่มีทางที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย…’
ทุกคนในตำหนักพากันครุ่นคิด บางคนก็นึกถึงวังเซียนคิมหันต์
“วิชานี้มีชื่อหรือไม่” ในบรรดาอ๋องสวรรค์ใต้บังคับบัญชาจักรพรรดิมนุษย์ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ มีอ๋องสวรรค์ผู้บำเพ็ญหญิงที่รูปโฉมพร่าเลือน มองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงในชุดนักพรตองค์หนึ่ง เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ขณะที่พูด สายตาก็จับจ้องอยู่บนร่างสวี่ชิง
“ช้อนจันทราในบ่อน้ำขอรับ”
สีหน้าสวี่ชิงราบเรียบ ส่งเสียงต่ำทุ้มออกมา
“ชื่อดี”
อ๋องสวรรค์ผู้บำเพ็ญหญิงองค์นั้นพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ถามอะไรอีก
และการประชุมตอนนี้ก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว
ดังนั้นราชเลขาที่ดำเนินการประชุม หลังจากมองสีของท้องฟ้าด้านนอก ก็แจ้งกับเหล่าขุนนางในตำหนัก
“หากทุกท่านมีเรื่องใดก็กราบทูลมา หากไม่มีจะสิ้นสุดการประชุม”
ทุกคนพากันก้มหน้าลง
ราชเลขากวาดตา จากนั้นมองไปทางจักรพรรดิมนุษย์ รออยู่ครู่หนึ่ง
“เช่นนั้น…”
ราชเลขาพยักหน้า กำลังจะประกาศว่าสิ้นสุดการประชุมได้ แต่ตอนนี้เอง บนท้องฟ้านอกเมืองหลวงจักรพรรดิ เส้นแสงสีเลือดสะท้านฟ้าสะเทือนดินทางหนึ่ง ก็โดดเด่นขึ้นมาในครรลองสายตาของทุกคน
หลังจากมองเห็น ถึงมีเสียงหวีดหวิวประหนึ่งทะลวงเมฆทลายหินได้ดังขึ้นตามมา
เสียงนี้ดังสนั่นหวั่นไหวเข้าหูของทุกคนในเมืองหลวงจักรพรรดิ ก่อเป็นพลังอำนาจที่ระเบิดออกมา กระทั่งแผ่นดินของเมืองหลวงจักรพรรดิยังสั่นสะเทือน
มันพุ่งมาทางวังหลวงจากเส้นขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วของมันราวกับการเคลื่อนที่ชั่วพริบตา พลังอำนาจน่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าค่ายกลทั้งหมด สิ่งกีดขวางทั้งหมดไม่ส่งผลกระทบกับมันแม้แต่น้อย
กระทั่งค่ายกลใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่เพียงแต่ปล่อยมันไป แต่ยิ่งสนับสนุนมันจนความเร็วเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ถึงขั้นที่ในเส้นแสงสีเลือดนี้ยังแฝงกลิ่นอายดวงตะวันแห่งแสงอรุณ ให้ความรู้สึกไม่อาจต้านทาน ไม่อาจขัดขวาง หากฝืนกระทำการ จะต้องฟ้าถล่มดินทลาย ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นเถ้าธุลีแน่นอน
เพราะในเผ่ามนุษย์ มีวิธีส่งข่าวระดับสูงสุดวิธีหนึ่ง นั่นคือใช้นกทมิฬสีเลือดในการส่งสาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่บริเวณใดของเผ่ามนุษย์ ก็จะส่งข่าวลับสุดยอดมาให้ได้อย่างทันท่วงที
และเส้นแสงยาวสีเลือดที่ปรากฏ ณ เส้นขอบฟ้าเวลานี้ ก็คือการส่งข่าวนั่นเอง
กลิ่นอายอ๋องสวรรค์แต่ละคนปะทุขึ้นมาในพริบตา โหวนภาก็พากันหน้าเปลี่ยนสี ขุนนางคนอื่นๆ ต่างใจสั่นสะท้าน หันไปมองไปด้านนอกวังพร้อมกัน ทันทีที่มองไป เส้นแสงยาวสีเลือดนั้นก็พุ่งเข้ามาในวังหลวงพร้อมเสียงหวีดแหลม แปรเป็นนกทมิฬสีเลือดตัวหนึ่ง ร่อนลงบนฝ่าพระหัตถ์จักรพรรดิมนุษย์
ร่างเปล่งแสงสีเลือดวูบวาบ ก็กลายเป็นแผ่นหยกสีเลือดแผ่นหนึ่ง
จักรพรรดิมนุษย์ทอดพระเนตร หลังจากสัมผัสรับ สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึม แรงกดดันวูบหนึ่งแผ่ปกคลุมไปทั้งวัง ทุกคนพากันใจสั่นสะท้าน
และขณะเดียวกัน นกทมิฬสีเลือดก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้ามากกว่าเดิม บินมาไม่ขาดสาย
มีทั้งหมดเก้าตัวพุ่งเข้ามาในวังหลวง แปรเป็นแผ่นหยกเช่นเดียวกันรอบจักรพรรดิมนุษย์ ในนี้มีแผ่นหนึ่งที่เมื่อจักรพรรดิมนุษย์ดีดนิ้วก็ไปอยู่ในมือของราชเลขา
ราชเลขารับไว้ หลังจากสัมผัสรับรู้ ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกายทันที กำไว้แน่น เอ่ยปากด้วยเสียงแหบพร่า
“เผ่าคุมหายนะหนึ่งในสามเผ่าใต้อาณัติเผ่านภาคิมหันต์ นำทัพทหารสิบล้านนาย โจมตีชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเผ่าเรา เปิดฉากสงคราม!
“ขณะเดียวกันเผ่าไป๋เจ๋อในบรรดาเผ่าใต้อาณัติก็ทุ่มกำลังทั้งเผ่า ส่งข้ามมายังสนามรบระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าฟ้าทมิฬแล้ว โปรดเร่งมาที่ฟ้าทมิฬ อ๋องตงติ่งผู้บัญชาการสงครามฟ้าทมิฬ บาดเจ็บสาหัส
“สงครามฟ้าทมิฬ ฝ่ายเราตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือวิกฤตอย่างยิ่ง”